ThaiPublica > จับเท็จ: ประเด็น > สรยุทธ์ บอกปัด ไม่รู้จักชื่อ พิชชาภา เอี่ยมสะอาด พยานปากเอก “ไร่ส้ม”

สรยุทธ์ บอกปัด ไม่รู้จักชื่อ พิชชาภา เอี่ยมสะอาด พยานปากเอก “ไร่ส้ม”

21 กันยายน 2014


บริบท

ปมคดีไร่ส้ม

ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นมาจาก กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ได้ชี้มูล นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เจ้าของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด  มีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงาน อสมท.ยักยอกเงินโฆษณา 138 ล้านบาท

 

โดยทางบริษัทไร่ส้ม จำกัด ของนายสรยุทธ ได้ร่วมผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” กับทางบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีสัญญาเป็นลักษณะการแบ่งเวลาโฆษณา ที่ต่างฝ่ายต่างได้ส่วนแบ่ง ร้อยละ 50 เท่ากัน แทนการเก็บค่าเช่าเวลา 

 

ต่อมาทาง อสมท.พบความผิดปกติของรายได้โฆษณาส่วนเกินของรายการคุยคุ้ยข่าว เมื่อตรวจสอบจึงพบว่า บริษัทไร่ส้มมีรายได้โฆษณาส่วนเกินกว่า 138 ล้านบาท และโฆษณาที่ไม่ใช่ของ อสมท. ที่ดำเนินการโดยนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด เจ้าหน้าที่ธุรการ ฝ่ายสนับสนุนและบริหารลูกค้า ของ อสมท. เป็นมูลค่ากว่า 1.13 ล้านบาทยังตรวจพบว่ามีเจ้าหน้าที่ อสมท. เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายราย และผลจากกรณีนี้ ทำให้นายสรยุทธ ต้องยุติการทำรายการกับอสมท.

 

ภายหลังทางบริษัทไร่ส้ม ได้จ่ายเงินจำนวน 138 ล้านคืนแก่ อสมท. และคดีดังกล่าวได้เข้าสู่กระบวนการของ ปปช. ขณะเดียวกันบริษัท ไร่ส้ม ได้ยื่นเรื่องต่อศาลปกครองกลาง ให้พิจารณากรณีที่ไม่ได้รับส่วนลดค่าโฆษณา 30 % เมื่อปี 2551 เช่นกัน

 

20 กันยายน 2555 ปปช.ได้ชี้มูลความผิดและดำเนินคดีอาญา นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือบริษัทไร่ส้มที่โฆษณาเกินเวลาในสัญญา โดยไม่ได้เรียกเก็บเงินเพิ่มในส่วนที่เกินเวลานั้นแต่อย่างใด ซึ่งมีมูลค่า กว่า 138 ล้านบาท ผ่านไป 1 ปี มื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษา ให้ อสมท.จ่ายเงินค่าโฆษณาส่วนเกินที่เรียกเก็บไป คืนให้บริษัท ไร่ส้ม เป็นจำนวนเงิน 55 ล้านบาท  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง เป็นการให้ส่วนลดทางการค้า 30 % ที่บริษัท ไร่ส้ม จะต้องได้รับ

 

อย่างไรก็ตามทาง อสมท.ยื่นอุทธรณ์คดีนี้ต่อไป โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตีกลับสำนวนคดีนี้คืนแก่ ป.ป.ช. เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 สื่อต่างๆ ได้รายงงานความคืบหน้าล่าสุดว่า การทำงานร่วมกันระหว่างอัยการสูงสุด และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ทำการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 3 รายเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งคดีดังกล่าวให้ทางอัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่นฟ้องคดีปัจจุบัน บริษัท ไร่ส้ม และบริษัท ชัดถ้อยชัดคำ ของนายสรยุทธ ยังดำเนินธุรกิจตามปกติ 

                                                                                                                 

วิเคราะห์ข้อมูล

พยานปากเอก

 ตามรายงานของสำนักข่าวอิศรา ในเวลาต่อมา นาวสาวพิชชาภา เอี่ยมสะอาดพนักงาน อสมท.ได้เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมการสอบสวนคดีของ ป.ป.ช. ดังนี้

 

ขอยืนยันว่านายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ต้องทราบดี (เรื่องโฆษณาเกินเวลา) เพราะ  

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับตน (นางพิชชาภา) โดยตรง โดยใช้โทรศัพท์ของเลขานุการส่วนตัวของนายสรยุทธ ชื่อเล่นว่าคุณแก้ว โดยขอให้ช่วยเหลือไม่ต้องแจ้งโฆษณาส่วนเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ให้กับทาง อสมท และเพื่อเรียกเก็บเงินค่าโฆษณาส่วนเกินดังกล่าวจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดยนายสรยุทธรับปากกับตนว่าจะจ่ายค่าตอบแทนให้กับตนในจำนวนร้อยละ 2 ของค่าโฆษณาเกินเวลาที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ไม่ต้องชำระให้กับ อสมท

 

เมื่อตนดำเนินการช่วยเหลือตามที่นายสรยุทธและเลขาฯ ของนายสรยุทธ คือ คุณแก้วขอร้องแล้ว ในช่วงแรกนายสรยุทธก็จ่ายเงินค่าตอบแทนตามที่รับปากไว้ โดยนายสรยุทธลงนามจ่ายเป็นเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระรามสี่ และให้คุณแก้วฝากไว้กับพนักงานของ อสมท ชื่อนางศิริทิพย์ (จำนามสกุลไม่ได้) เป็นผู้นำมามอบให้กับตนอีกทอดหนึ่ง

 

โดยนายสรยุทธได้จ่ายเงินให้ตนประมาณ 8 ครั้ง ซึ่งทั้ง 8 ครั้งดังกล่าวก็ไม่ได้จ่ายให้ตนอย่างสม่ำเสมอ หรือตามจำนวนที่รับปากไว้ และเหตุที่ตนไม่ได้เรียกร้องให้จ่ายตามจำนวนที่ตกลงกันไว้เนื่องจากเห็นว่าเป็นการตกกระไดพลอยโจน ช่วยเหลือนายสรยุทธไปแล้ว จึงยอมๆ กันไป

 

หลังจากที่บริษัท อสมท ได้ตรวจพบว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีโฆษณาส่วนเกินเวลาในรายการคุยคุ้ยข่าว แต่ไม่แจ้งและชำระค่าโฆษณาเกินเวลาดังกล่าวให้ อสมท นายสรยุทธได้บอกให้เลขาฯ คือคุณแก้ว มาขอร้องให้ตนทำการลบรายการโฆษณาส่วนเกินของรายการคุยคุ้ยข่าวในใบคิวโฆษณา

 

 โดยบอกกับตนว่า “พี่สรยุทธ ขอร้องให้ช่วยเหลือ” และบอกอีกว่า หากมีอะไรนายสรยุทธก็จะช่วยเหลือไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน 

 

ภาพเช็คบริษัทไร่ส้ม โดยสำนักข่าวอิศรา

 

ตนจึงทำการลบรายการโฆษณาส่วนเกินของรายการคุยคุ้ยข่าวในใบคิวโฆษณาบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด ตามที่นายสรยุทธและเลขาฯร้องขอ แต่ภายหลังเมื่อ อสมท ได้ตรวจสอบอย่างเป็นระบบก็ให้นายสรยุทธมาชำระค่าโฆษณาเกินดังกล่าวให้กับทาง อสมท  และตนทราบภายหลังว่านายสรยุทธได้ยินยอมชำระค่าโฆษณาส่วนเกินให้กับทาง อสมท ในทันที

นอกจากนี้ตนยังเคยหาโฆษณามาขายให้กับบริษัท ไร่ส้ม จำกัด  เพื่อโฆษณาในรายการคุยคุ้ยข่าว ประมาณ 2 ครั้ง  ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด จะจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้ที่หาโฆษณาให้บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าโฆษณาที่ได้รับ สำหรับเงินค่าขายโฆษณาหรือค่าคอมมิชชันที่เคยขายโฆษณาให้กับทาง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด  จำนวน 2 ครั้ง ดังกล่าว บริษัท ไร่ส้ม จำกัด จ่ายเป็นเช็คของธนาคารธนชาต สาขาพระรามสี่ ต่างหาก ไม่เกี่ยวกับเงินค่าช่วยเหลือที่นายสรยุทธ และเลขาฯ (คุณแก้ว) จ่ายให้เป็นเงินค่าจ้างประสานงานโฆษณากรณี บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินเวลา

 

สรยุทธ ชี้แจง

ด้านนายสรยุทธได้ออกมาชี้แจงในประเด็นการจ่ายเช็คทั้ง 7 ใบ (จำนวนเงินกว่า 7 แสนบาท) ว่าเป็นความรับผิดชอบของนางสาวมณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของบริษัท ไร่ส้ม จ่ายเป็น “ค่าประสานงานโฆษณา” ซึ่งหมายถึงการจ่ายค่าคอมมิชชันในการหาโฆษณา

 

โดยหลังจากที่บริษัทได้รับค่าโฆษณามาจากลูกค้าแล้ว นางสาวมณฑาจะเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีว่าลูกค้าในส่วนที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของตนนั้นจะตัดแบ่งจ่ายค่าประสานงานโฆษณาให้กับตนเองและบุคคลใดบ้าง ซึ่งในการตัดจ่ายค่าประสานงานโฆษณาแต่ละครั้งนางสาวมณฑาจะทำการรวบรวมรายชื่อของบุคคลต่างๆ และทำการจ่ายค่าประสานงานโฆษณาให้

 

และเป็นไปได้ว่าบุคคลดังกล่าวจะมีส่วนร่วมในการหาโฆษณากับนางสาวมณฑาหรืออาจเป็นกรณีที่นางสาวมณฑาต้องการที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองต้องรับภาระภาษีจำนวนมากก็เป็นได้ จึงต้องกระจายให้บุคคลต่างๆ

 

ข้อกล่าวหาที่ว่า นายสรยุทธร่วมกับนางสาวมณฑาได้ใช้ให้นางพิชชาภาใช้น้ำยาลบคำผิดลบข้อความในใบคิวโฆษณารวมของบริษัท อสมท.โดยลบเฉพาะคิวโฆษณาในส่วนของบริษัทไร่ส้ม เพื่อปกปิดความผิดนั้น  นายสรยุทธปฏิเสธว่าไม่เคยใช้ให้นางพิชชาภาใช้น้ำยาลบคำผิดลบข้อความในใบคิวโฆษณารวมของบริษัท อสมท. และไม่เคยใช้ให้นางสาวมณฑาหรือพนักงานคนใดไปกระทำการตามพฤติการณ์ข้อกล่าวหาด้วย เพราะไม่มีเหตุผลและความจำเป็น

 

ข้อวิเคราะห์ ป.ป.ช.

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาคำกล่าวอ้างของนายสรยุทธแล้ว มีความเห็นว่าไม่อาจรับฟังได้ด้วยเหตุผล 5 ประการ

  1.  ป.ป.ช. มองว่าการที่นายสรยุทธเป็นถึงเจ้าของบริษัท เป็นผู้ดูแลเรื่องการจ่ายเงินเพื่อให้บริษัทมีผลกำไรสูงสุด คงไม่มีทางลงลายมือชื่อจ่ายเช็คให้กับใครก็มิทราบครั้งละประมาณ 1 แสนกว่าบาท โดยไม่ตรวจสอบอะไรเลย โดยเฉพาะครั้งล่าสุดที่สั่งจ่ายเช็คไปกว่า 3 แสนบาท โดยมิมีผลใดๆ ตอบแทน
  2. นางสาวพิชชาภา ได้ยืนยันด้วยตัวเองว่านายสรยุทธ และนางสาวมณฑาเป็นผู้ขอให้ช่วยเหลือในการปกปิดเรื่องโฆษณาที่เกิน และจ่ายเงินเป็นเช็คดังกล่าวให้เป็นการตอบแทน
  3. รายการ “คุยคุ้ยข่าว” เป็นรายการสด นายสรยุทธย่อมทราบดีถึงรายได้ และจำนวนโฆษณาในแต่ละวัน ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะอ้างว่าไม่ทราบ หรือลืมจ่ายค่าโฆษณาที่เกินเวลาให้ทาง อสมท.
  4. หากพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าผู้ที่ได้ประโยชน์จากค่าโฆษณาครั้งนี้คือทาง บริษัท ไร่ส้ม และตัวนายสรยุทธ ไม่ใช่นางสาวมณฑา
  5. กรณีที่อ้างว่ามีการมอบหมายงานด้านโฆษณาทั้งหมดให้นางสาวมณฑา และทำการจ่ายค่าประสานงานให้ 5% จากการตรวจสอบเอกสารต่างๆ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พบว่านางสาวมณฑาไม่ได้รับเงินค่าประสานงานดังกล่าว

 

สรุป

จากการตรวจสอบหลักฐานของทางคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคำยืนยันจากปากนางสาวพิชชาภาเอง ทำให้เห็นว่านายสรยุทธที่เป็นเจ้าของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ย่อมต้องรู้จักนางสาวพิชชาภา เพราะจำนวนเงินที่ได้รับการอนุมัติในเช็คทั้ง 7 ใบถือว่ามีจำนวนไม่น้อย รายได้จากการโฆษณาถือเป็นรายได้หลักทางเดียวของทางบริษัทฯ

 

ดังนั้นคำชี้แจงของนายสรยุทธที่ว่า “…ไม่เคยรู้จักหรือติดต่อกับนางพิชชาภา เอี่ยมสอาด มาก่อน และไม่เคยรู้ด้วยว่านางพิชชาภา เป็นเจ้าหน้าที่สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท. ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการประสานงานรับคิวโฆษณาจากบริษัทไร่ส้ม” จึงฟังไม่ขึ้น และจัดอยู่ในเกณฑ์ เป็นเท็จ”

ป้ายคำ :