เหว่ยเฉียง
สารคดีเดือนนี้อาจจะหน้าตาแปลกต่างกว่าที่เคยเห็นกันอยู่ทั่วไป เพราะมันจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกกันว่า ‘film essay’ อันหมายถึงหนังที่ให้ความสำคัญกับไอเดียหรือเนื้อหา มากกว่าจะเล่าดำเนินเรื่องราว หนังประเภทนี้มีความคาบเกี่ยวระหว่างสารคดี เรื่องแต่ง และหนังทดลอง โดยอาศัยลีลาการตัดต่อเพื่อสื่อความคิดของตัวผู้เล่า (ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือตัวผู้กำกับเอง) หนังในกลุ่มนี้จึงเป็นข้อถกเถียงซึ่งไม่อาจฟันธงได้ว่า ตกลงแล้วมันเป็นสารคดี หรือเป็นเรื่องแต่งกันแน่ เพราะเต็มไปด้วยความคิดเห็นหรือความรู้สึกส่วนตัวของผู้เล่ามากกว่าจะมาจากตัวละคร ด้วยวิธีสดใหม่ สร้างสรรค์ และมีบุคลิกเฉพาะตัว
ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังจะชี้ชวนให้ดูอยู่นี้ จะเรียกว่าสารคดีอย่างเต็มปากเต็มคำก็ไม่เชิง แต่หากจะปฏิเสธว่ามันไม่ใช่สารคดีก็ไม่ได้อีกเช่นกัน แล้วที่เราอยากจะหยิบมาให้ดูก็เพราะมันเป็นโปรเจกต์น่าสนใจของนักร้องปอปแดนซ์ตัวแม่ ‘มาดอนนา’
‘มาดอนนาและสตีเวน ไคลน์ ขอเชิญคุณมาปฎิวัติด้วยความรักตามแนวทางของคุณเอง เราได้สร้างสรรค์พื้นที่นี้เพื่อให้ผู้คนในโลกมีโอกาสหาคำตอบของคำถามที่ว่า: อิสรภาพมีความหมายอะไรกับคุณบ้าง?’ นั่นคือคำเชื้อเชิญของพวกเขาบนเว็บhttp://artforfreedom.com ที่มาดอนนาบอกว่า
“ฉันอยากปลุกผู้คนให้ตื่นรู้สู่เหตุการณ์ที่พวกเขาอาจจะรู้อยู่แล้วล่ะว่ามีการกดขี่เกิดขึ้นตามที่ต่างๆ ทั่วโลกในตอนนี้ แต่ฉันอยากให้เราขยับลุกขึ้นสู้…ฉันเรียกตัวเองว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ดังนั้น ความสำเร็จของฉันจึงเป็นการปลุกให้ผู้คนสู้เพื่ออิสรภาพ เพื่อสิทธิของตนเอง เล่าเรื่องของพวกเขา และให้พวกเขารู้ด้วยว่ายังมีคนอื่น ๆ อีกมากที่กำลังร่วมต่อสู้อยู่ด้วยกัน” เว็บนี้จัดทำโดยบิททอร์เรนต์ (เว็บแชร์ไฟล์ละเมิดลิขสิทธิ์) ร่วมกับนิตยสาร VICE เพื่อเป็นที่ทางให้ผู้คนมาระบายความคับข้องใจ ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลก จะอัพโหลดวิดีโอ คลิป เพลง บทกวี หรือภาพถ่าย เพื่อบอกเล่าความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมที่คุณอยู่ คล้ายๆ เป็นนิทรรศการศิลปะออนไลน์ขนาดย่อม โดยตัวมาดอนนาและสตีเวน ไคล์น (ช่างภาพโฆษณาชาวนิวยอร์ก) ได้ทำหนังสั้นในรูปแบบ film essay ขึ้นมาเรื่องหนึ่งเพื่อเป็นตัวอย่างในชื่อว่า secretprojectrevolution
หนังสั้นเรื่องนี้เปิดด้วยเสียงพูดของมาดอนนาว่า “เศรษฐกิจกำลังกัดกินให้ผู้คนล่มสลาย คนทั่วโลกต่างทุกข์ทนและตกอยู่ในความหวาดกลัว พวกเขาต่างตะโกนชี้หน้าใส่กันว่า ‘แกนั่นแหละคือตัวซวย!’ ‘แกมันตัวป่วนสร้างความวิบัติ!’ ‘ออกไปให้พ้นจากประเทศนี้ซะ!’ …แท้จริงศัตรูมิใช่ใครอื่น แต่ศัตรูอยู่ภายในตัวเรา” แล้วมาดอนนาก็เดินเข้ามาในฉากที่มีผู้คนอยู่ในอิริยาบถส่วนตัว เธอค่อยๆ จ่อยิงพวกเขาตายทีละคน เสียงปรบมือเกรียวกราว
ผู้หญิงถูกกักขัง คนดำถูกทรมาน เสียงยิงปืนดังสนั่น ผู้หญิงถูกข่มขืนแล้วฆ่าทิ้ง เสียงสวดมนต์ เสียงโหยหวน เสียงผู้นำปลุกระดมให้ฆ่ากันโดยอ้างศีลธรรมและเสรีภาพ กล้องวงจรปิดที่กำลังส่ายขยับจับจ้อง คุกคุมขัง คนเอเชีย เกย์ เลสเบียน คนยิว คนมุสลิม คนออทิสติก ผู้คุม นักโทษ น้ำตา แทรกปนเสียงปราศรัยของเธอบนเวทีคอนเสิร์ตว่า “คุณไม่สมควรจะทำร้ายคนอื่นด้วยเหตุผลเหล่านี้ เพราะความจริงผู้คนสมควรจะได้รับความรักต่างหากล่ะ”
หนังสั้น 17 นาทีเรื่องนี้มาพร้อมคลิปสัมภาษณ์ที่เธอบอกว่า “เราทุกคนล้วนถูกแบ่งแยก ถูกชี้หน้าตัดสิน ป้ายสี กล่าวร้าย เหยียดหยาม พิพากษาอย่างไร้ความเป็นธรรม และหลายครั้งตัวเราเองนั่นแหละที่กักขังตัวเอง ลงโทษทรมานตัวเอง ฉันเองก็เหมือนกัน ฉันเองก็เยียวยาตัวเองเพื่อเยียวยาคนอื่นด้วย”
![การประหารชีวิตแขวนคอประจานชาวเกย์ในอิหร่าน](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/10/4-2010-11-22-iran_gayexecution.jpeg)
“ทัวร์คอนเสิร์ตคราวที่แล้วของฉัน ทริปแรกเริ่มต้นที่เทลอาวีฟ ช่วงที่อิสราเอลกำลังทิ้งระเบิดใส่อิหร่าน แฟนเพลงของฉันส่วนหนึ่งเป็นเกย์ แม้ในอิหร่านพวกเขาจะจับเกย์มาฆ่าก็เถอะ แต่ประเทศอิหร่านก็ไม่สมควรจะโดนบอมบ์เช่นกัน ตอนฉันอยู่ที่ยูเครน แฟนเพลงเล่าให้ฟังว่านายกรัฐมนตรีคนก่อนของพวกเขา เธอเป็นผู้หญิง (ยูลิยา ทีโมเชนโก) เธอสวยและเก่ง ได้รับความนิยมถึงขั้นอาจได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไป) และถูกส่งเข้าคุกด้วยเหตุผลว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันไม่ชอบขี้หน้าเธอ มันฟังดูงี่เง่ามาก บ้าคลั่งมาก ฉันถามกลับไปว่าพวกเขาสามารถต่อสู้เรียกร้องเพื่อเธอ (ประธานาธิบดีคนก่อน) ได้ไหม ‘ไม่ เพราะพวกเราจะถูกจับเข้าคุกเหมือนกันถ้าลุกขึ้นต่อต้าน’”
![ยูลิยา ทีโมเชนโก ขณะถูกจองจำในคุกยูเครน](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/10/5-yulia-tymoshenko-006.jpg)
“หรืออย่างกรณีพุซซี ไรออต (Pussy Riot) ในรัสเซีย กลุ่มนักร้องหญิงที่มี 3 คนจากทั้งหมดในวงนั้น ต้องโทษจำคุกว่าเป็นอันธพาลและหมิ่นศาสนา ทั้งที่บทเพลงของพวกเธอแฝงการปลดแอกให้มีเสรีภาพจากการถูกกดขี่ด้วยข้ออ้างทางศีลธรรมและการเมือง และที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในรัสเซียเองก็มีการออกกฎหมายห้ามให้ชาวเกย์แสดงความเห็นหรือเรียกร้องสิทธิ ซึ่งพอฉันประกาศจุดยืนต่อต้านกฎหมายนี้บนเวทีคอนเสิร์ต ฉันกลับถูกฟ้องว่าทำผิดกฎหมายนั้น”
![Pussy Riot ขณะถูกพิพากษาคดี](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/10/6-PussyRiot.jpg)
“ในแต่ละคอนเสิร์ต ฉันมักจะวาดรอยสักชื่อของบุคคลต่างๆ เพื่อให้แฟนเพลงได้เห็น ครั้งนึงฉันเขียนชื่อของ มาลาลา ยูซาฟไซ (นักเรียนหญิงชาวปากีสถานอายุ 16 ผู้เรียกร้องให้ตัวเองได้มีสิทธิ์เรียนหนังสือ -แต่ข้อห้ามของกลุ่มตอลิบานกีดกันมิให้สตรีเรียนหนังสือ- ด้วยการเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวนี้ให้เว็บไซต์ของบีบีซี ซึ่งนำไปสู่การที่เธอโดนลอบยิงจนอยู่ในอาการโคมาตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2555) ไว้กลางหลัง แต่กลับมีพวกอเมริกันใจคับแคบหาว่าฉันสนับสนุนพวกตอลิบาน ฉันไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเป็นศาสนาไหน จุดประสงค์ของฉันคือต้องการจะยกย่องผู้คนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ”
![มาลาลา ยูซาฟไซขณะอยู่ในอาการโคมา](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/10/7-Malala-Yousafzai-1387357.jpg)
แต่จริงๆ แล้วหนังสั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาดอนนาใช้วิธี film essay เพราะในคอนเสิร์ตของเธอมักจะมีวิดีโอคั่นระหว่างการแสดง (interlude) ซึ่งเป็นไฮไลต์ในทุกทัวร์การแสดงของเธอ โดยเริ่มแทรกประเด็นการเมืองมาตั้งแต่คอนเสิร์ต Confessions ที่เธอสารภาพกับแฟนเพลงว่าเธอคิดเห็นอย่างไรต่อโลกนี้ด้วยเพลง Sorry ซึ่งในเนื้อหาของเพลงอันที่จริงก็เป็นเพียงหญิงสาวตัดพ้อชายหนุ่มทำนองว่าเบื่อหน่ายเหลือเกินกับคำขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกจับมารีมิกซ์ใหม่และตัดต่อเข้ากับคลิปสารคดีราวกับเธอพึมพำว่า ‘เบื่อหน่ายเหลือเกินแล้วกับบรรดาผู้นำโลกที่ดีแต่พูด ปากก็อ้างคำขอโทษ แต่ตาขยิบข่มเหงฆ่าประชาชนอยู่ตลอด’ แถมมีนัยแฝงต่อไปอีกว่าแท้จริงเราทุกคนเองก็กำลังดีแต่พูด ทำลายสิ่งแวดล้อมและทำร้ายสรรพสัตว์อื่นๆ ที่อยู่ร่วมกับพวกเราด้วยเช่นกัน
รวมถึง interlude เพลง Get Stupid ที่ประณามความงมงายของผู้คนคลั่งชาติ ศาสนา บริโภคนิยม ทำลายสิ่งแวดล้อม และสงคราม ที่เธอบอกว่า ‘มันถึงเวลาแล้วที่จะลุกขึ้น คุณเลือกได้นะว่าจะทำลายหรือจะเปลี่ยนแปลงโลกนี้’ และ interlude เพลง Nobody Knows Me ที่ตัดต่อบรรดาภาพหน้าของผู้นำเผด็จการทั่วโลกด้วยเนื้อหาที่ส่อนัยว่า “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตัวมันเอง คนพวกนี้กดขี่ประชาชนแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า” รวมถึงในคลิปยังมีภาพนักต่อสู้เรียกร้อง หรือบรรดาผู้คนที่ตายไปโดยไม่มีใครจดจำ (แต่พวกเขาก็ไม่ควรถูกลืมด้วย) ระหว่างเหตุการณ์อาหรับสปริง
และMV เพลง American Life ซึ่งให้ภาพต่อต้านสงคราม ด้วยทหารอเมริกันเท่ๆ เดินอวดแฟชั่นบนแคทวอล์ค สลับกับเด็กชาวมุสลิมที่ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด แต่คนดูก็กลับปรบมือดีใจที่ได้สำแดงพลังทำลายล้างแก้แค้นต่อเหตุการณ์ 9/11 โดยไม่สนใจเลยว่ากำลังผลาญชีวิตผู้คนอีกมากมาย แม้ว่าสุดท้ายเธอจะเซ็นเซอร์ตัวเองด้วยการปลดเพลงนี้ลงจากการออกอากาศก็ตาม
งานเอสเสเหล่านี้ของมาดอนนาก็เหมือนเสียงร้องของเธอนั่นแหละ ไม่ได้ไพเราะเสนาะหูเหมือนอย่างนักร้องเสียงดีคนอื่นๆ ตัวมาดอนนาเองนั้นก็ผ่านการถูกวาติกันล่าแม่มด ถูกกล่าวหาว่าเป็นนังโง่ไร้สมอง หรือไม่ก็แค่สร้างเรื่องอื้อฉาวเพื่อโปรโมทตัวเอง แต่สิ่งที่เธอทำก็กล้า บ้าบิ่น และท้าอำนาจต่างจากศิลปินอีกมากที่ไม่แม้แต่จะยืนหยัดต่อสู้ เพราะไม่อยากสุ่มเสี่ยงอย่างที่เธอเคยโดน
“ฉันอยากเริ่มต้นปฏิวัติ พวกคุณจะมาเข้าร่วมกับฉันไหม?” แล้วหากคุณสนใจก็ขอเชิญไประบายความอัดอั้นกันได้ที่ http://artforfreedom.com