จิตเกษม พรประพันธ์*
ในบทความตอนแรก[i] เราได้คุยกันถึงคุณลักษณะของภาวะผู้นำ (leadership competencies) ของชาวนาประเภท “หัวไวใจสู้” ที่ “นำการเปลี่ยนแปลง (change agent)” “สร้างความร่วมมือและเครือข่าย (participation and networking)” และ “วางแผนและความคิดเชิงกลยุทธ์ (planning and strategic thinking)” โดยเล่าถึงภาวะผู้นำของชาวนาจากหลายๆ จังหวัดที่ประสบความสำเร็จจากการปลูกข้าวด้วยวิธีสมัยใหม่ แต่เรามีผู้นำชาวนาไม่พอที่จะมาแก้วิกฤติข้าวไทย และตอนที่แล้วได้กล่าวถึง “พี่ติ๊ก” ที่ได้นำพากลุ่มนาแปลงใหญ่เดิมบางนางบวช สุพรรณบุรี ปรับเปลี่ยนกระบวนการปลูกข้าวจากแบบดั้งเดิมมาเป็นแบบลดโลกร้อน จนสร้างรายได้ให้กับสมาชิกกลุ่มทั้งจากการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุน และขายคาร์บอนเครดิต
บทความนี้จะเล่ารายละเอียดถึงกระบวนการปลูกข้าวลดโลกร้อน ซึ่งสอดคล้องกับ “มาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย หรือ Thailand Taxonomy ระยะที่ 2[ii]” เบื้องต้นขออธิบายเพียงว่า Taxonomy คือ หลักเกณฑ์ที่ช่วยให้ทุกภาคส่วนเศรษฐกิจพูดภาษาเดียวกันในเรื่องการลดโลกร้อน กล่าวคือ ถ้าแนวปฏิบัติหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจสอดคล้องกับ Taxonomy ผู้กำหนดนโยบายหรือนักลงทุนก็มั่นใจได้ว่ากิจกรรมที่ตนสนับสนุนช่วยลดโลกร้อนได้จริง ไม่ใช่การฟอกเขียว (green washing) อย่างแน่นอน สำหรับคำถามว่า Taxonomy คืออะไร เข้ามาเกี่ยวกับการลดโลกร้อนได้อย่างไร และถ้าเกษตรกรปรับกระบวนการเพาะปลูกให้สอดคล้องกับ Taxonomy แล้วจะได้รับผลดีอย่างไร ผู้เขียนจะขยายความในบทความถัดไป แต่ที่แน่ๆ ดีกับทั้งเกษตรกรและโลกดังตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ
สำหรับ “ข้าวลดโลกร้อน” ของกลุ่มเดิมบางฯ พี่ติ๊กเล่าด้วย passion ว่ากลุ่มมีกระบวนการปลูกข้าวลดโลกร้อนด้วยเทคนิค 4 ป. + 1 IPM[i] (Integrated Pest Management) ซึ่งนำไปสู่การลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 50% และสามารถขายคาร์บอนเครดิตให้กับภาคเอกชนได้ด้วย วิธีปลูกข้าวของทางกลุ่มสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่จากวิธีปกติได้ถึง 15%-20% โดยสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้ถึง 900-1,000 กิโลกรัม/ไร่ (ความชื้น 25%-28%) เทียบกับนาปกติให้ผลผลิตข้าวขาว 700-800 กิโลกรัม/ไร่ และได้ผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นและได้รับการรับรองมาตรฐาน Good Agriculture Practice (GAP) จึงขายได้มีราคาสูงขึ้น พร้อมทั้งลดต้นทุนลงได้จากการประหยัดเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา และพลังงานที่ใช้น้อยลง โดยกระบวนการปลูกข้าว 4 ป. ได้แก่ 1) ปรับหน้าดิน 2) เปียกสลับแห้ง 3) ปุ๋ยวิเคราะห์ และ 4) แปรสภาพฟางตอซัง
ภาพแสดงการปรับหน้าดินตามวิธีการ Laser Land Leveling
ในขั้นตอนแรก กลุ่มเดิมบางฯ ปรับหน้าดิน ใช้เทคโนโลยี Laser Land Leveling โดยใช้เครื่อง laser สำรวจแปลงนาเป็นจุดถี่ๆเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยหรือมาตรฐานระดับพื้นนาที่เหมาะสมและตั้งเครื่อง laser นั้นส่งสัญญาณให้รถไถที่ติดตั้งผาน (scraper) โดยมี receiver ตัวรับสัญญาณคอยควบคุมให้ให้รถไถและ scraper เกลี่ยพื้นนาปรับหน้าดินสูง/ต่ำให้ตรงกับค่าเฉลี่ยเริ่มแรกที่เครื่อง laser กำหนด ซึ่งช่วยให้พื้นนาเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระลุ่มๆดอนๆเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและวัชชพืช/ศัตรูพืช เมื่อพื้นนาราบเรียบก็ช่วยให้น้ำไม่ขัง ควบคุมระดับน้ำในแปลงนาได้ง่าย ประหยัดน้ำ ลดเวลาการปล่อยน้ำเข้าและสูบน้ำออกทำให้ลดค่าน้ำมันลงได้ ต้นข้าวเติบโตสม่ำเสมอกันลดการสิ้นเปลืองใส่ปุ๋ยและยา



ภาพแสดงลักษณะการเตรียมท่อ และการฝังท่อลงในแปลงนา
เมื่อพื้นนาราบเรียบเสมอกันดี ต่อมาการเป็นการทำนาเปียกสลับแห้ง (Alternate Wet and Dry Irrigation: AWD) คือ การปล่อยน้ำขังในแปลงนาในช่วงที่ข้าวต้องการน้ำมาก และระบายน้ำออกในช่วงที่ข้าวต้องการน้ำน้อย เป็นการแกล้งข้าวเพื่อให้ต้นข้าวออกรากหาอาหาร และแตกกอดี เพิ่มรวงตามธรรมชาติ วิธีนี้ช่วยประหยัดทั้งน้ำและน้ำมันในการสูบน้ำลงได้ สูงถึง 50% และ 30% ตามลำดับ การลดน้ำขังช่วยลดสิ่งหมักหมมและการระบาดของแมลงทำให้ลดค่ายากำจัดศัตรูพืชด้วย
นอกจากนี้ เป็นการลดก๊าซมีเทนลงได้ ในขั้นตอนนี้ เกษตรกรจะฝังท่อในแต่ละจุดของแปลงนาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือวัดระดับน้ำในช่วงสลับแห้ง ส่วน ป. ตัวที่สาม ปุ๋ยวิเคราะห์ นั้น เกษตรกรใช้เครื่องมือทางเคมีวิเคราะห์องค์ประกอบแร่ธาตุของดิน เพื่อจัดการธาตุอาหารในนาโดยการกำหนดสูตรปุ๋ยทั้งชนิด ปริมาณ และระยะเวลาที่ใส่เท่าที่จำเป็น และเสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้เป็นการลดการใช้ปุ๋ยสารเคมีที่ไม่จำเป็นทำให้ประหยัดต้นทุนแม่ปุ๋ยได้ด้วย
ป.ตัวสุดท้าย แปรสภาพฟางตอซัง ให้เป็นธาตุอาหารโดยใช้ใช้วิธีไถกลบแทนการเผาที่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ กอปรกับใช้จุลินทรีย์และเมล็ดปอเทืองช่วยบำรุงรักษาดินให้มีแร่ธาตุระดับที่เหมาะสม ส่วน IPM เป็นวิธีการป้องกันและกำจัดศัตรูข้าวแบบผสมผสานด้วยวิธีอินทรีย์ร่วมกับเคมีควบคุมความสมดุลของนิเวศแมลงดีและแมลงศัตรู ร่วมกับการสำรวจแปลงสม่ำเสมอและการใช้พันธุ์ข้าวที่ต้านทานโรคและแมลงได้ดี ทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนสารเคมีลงได้



ภาพแสดงการไถกลบตอซังและฟางข้าว ลดการเผาในนาข้าวรักษาความชื้นในดิน และเพิ่มจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน
นอกจากเทคนิคและกระบวนการ 4 ป. + 1 IPM พี่ติ๊กและชาวนากลุ่มเดิมบางฯ ที่ทำให้เพิ่มรายได้จากผลิตภาพที่สูงขึ้นแล้ว ยังรับผลพลอยได้จากการขายคาร์บอนเครดิตแบบ Over-the-Counter (OTC) ให้กับบริษัทเอกชน โดยสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ 800 บาท/ไร่/ปี (ทำนา 2 ครั้ง) โดยเกษตรกรมีข้อตกลงในการบันทึกข้อมูล และถ่ายภาพ Selfie ด้วยโทรศัพท์มือถือให้เห็นหน้าชาวนาเจ้าของแปลงและกิจกรรมในแปลง ได้แก่ พิกัดแปลง วันเริ่มเพาะปลูกพร้อมภาพการฝังท่อ ภาพการพ่นสารกำจัดศัตรูพืช ภาพระดับน้ำในท่อเปียก/แห้งในแต่ละช่วงการเพาะปลูก ภาพการใส่ปุ๋ยทุกครั้งพร้อมสูตรและปริมาณ แล้วส่งภาพถ่ายและข้อมูลทุกขั้นตอน upload ผ่านโทรศัพท์เข้า application ที่บริษัทฯ กำหนด โดยบริษัทฯสามารถตรวจสอบพิกัดแปลงนาจากดาวเทียม Global Positioning System: GPS) และใช้เครื่อง chromatograph ที่ติดตั้งไว้ในแปลงนาที่เก็บตัวอย่างก๊าซชนิดต่างๆในการติดตามรายงานประเมินผลสอบยันการปล่อยคาร์บอน ด้วยเทคโนโลยี internet of thing ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่ 3 (third party) เป็นผู้ตรวจประเมิน (verifiers) คาร์บอนเครดิตประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มาก และผลผลิตที่ได้กลายเป็น “ข้าวลดโลกร้อน” (Low-carbon rice)
ภาพแสดงการใช้เครื่อง Gas Chromatograph วัดปริมาณคาร์บอนในอากาศ
การปลูกข้าวลดโลกร้อนด้วยเทคนิค 4 ป. + 1 IPM สอดคล้องกับ Thailand Taxonomy ภาคเกษตรในหลายแนวปฏิบัติ เช่น การปรับหน้าดินให้เรียบด้วยเลเซอร์ การตรวจวัดธาตุอาหารในดินเพื่อใส่ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ฯลฯ ดังนั้น หากกลุ่มนาแปลงใหญ่ของพี่ติ๊กต้องการใบรับรอง Taxonomy-aligned ซึ่งสามารถใช้โปรโมทสินค้าของตนในกลุ่มผู้บริโภคที่รักโลกได้ทั่วโลก ก็เป็นเรื่องไม่ยากเพราะมีเอกสารและหลักฐานอยู่พอสมควรแล้ว
ตัวอย่างนาแปลงใหญ่เดิมบางฯแสดงให้เห็นว่าธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติ เมื่อชาวนาปรับกระบวนการเพาะปลูกให้สอดคล้องตามความต้องการของข้าวและบริบทของพื้นที่ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ย่อมได้อานิสงส์จากการปฏิบัติโดยตัวของมันเองทั้งผลผลิตต่อไร่ที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ลดลง และคาร์บอนเครดิตที่ขายได้ บทความหน้าจะเล่าให้ฟังว่า Thailand Taxonomy จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดการปรับกระบวนการเพาะปลูกเช่นนี้ในวงกว้างได้อย่างไรครับ
อ้างอิง
[i] ภาวะผู้นำ กับ วิกฤติข้าวไทย (ตอนที่ 1 ผู้นำชาวนาสร้างการเปลี่ยนแปลง) – ThaiPublica 30 พฤษภาคม 2568
[ii] 01_TH_Thailand_Taxonomy-Introduction.pdf
[iii] เทคนิคนี้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสำหรับการปลูกข้าวอย่างยั่งยืนในตารางที่ 10 ในภาคผนวก Thailand Taxonomy ภาคเกษตร