ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกรัฐมนตรีใช้ “iSEE App” เรียกดู Big Data เด็กยากจนทั้งประเทศ แก้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา – โอนเงินรอบแรก 4 แสนคน 26 ธค.นี้

นายกรัฐมนตรีใช้ “iSEE App” เรียกดู Big Data เด็กยากจนทั้งประเทศ แก้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา – โอนเงินรอบแรก 4 แสนคน 26 ธค.นี้

25 ธันวาคม 2018


ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เยี่ยมชมนิทรรศการ “เปิดประตูสู่โอกาส ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา” และดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ “iSEE App” ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ลงในไอแพดของนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้เรียกดูข้อมูลรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำและจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษได้ทุกสถานที่และทุกเวลา ทั้งในรูปแบบกราฟฟิก ตารางสรุปข้อมูลสถิติ ข้อมูลภูมิสารสนเทศของสถานศึกษาทั้ง 30,000 แห่ง รวมถึงผลการเบิกจ่ายงบประมาณของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ทั้งในระดับภาพรวมของประเทศ จังหวัด สถานศึกษา ไปจนถึงระดับผู้เรียนมากกว่า 500,000 คน

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) กล่าวว่า กสศ.วิจัยพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Information System for Equitable Education) หรือ iSEE ระบบนี้ถือเป็นเครื่องมือช่วยให้รัฐบาล “มองเห็น” และ “ติดตาม” ข้อมูลสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างชัดเจนทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อมอบนโยบายบูรณาการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้มีเด็กเยาวชนคนใด ถูกทอดทิ้งจากความช่วยเหลือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกต่อไป โดยช่วงแรกระบบ iSEE จะทำหน้าที่รายงานข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ภายใต้โครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไขที่ กสศ. และสพฐ. เริ่มดำเนินงานในปีการศึกษา 2561

ดร.ประสารกล่าวต่อว่า จากบทเรียนการจัดสรรงบประมาณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ เช่น ประเทศบราซิลและเม็กซิโก พบว่าการใช้ระบบสารสนเทศสนับสนุนการจัดสรรเงินอุดหนุนผู้ยากจน และการกำหนด “เงื่อนไข” ในการรับเงินต่อเนื่อง จะช่วยให้มาตรการลดความเหลื่อมล้ำของรัฐบาลมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ รวมทั้งป้องกันความเสี่ยงในการรั่วไหลของงบประมาณ ซึ่งโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) หรือโครงการ CCT ของกสศ.ได้นำแนวทางดังกล่าวมาใช้ เพื่อวางแผนดำเนินงานอย่างรัดกุมเพื่อให้มั่นใจได้ว่า การจัดสรรเงินอุดหนุนของกสศ.สามารถป้องกันนักเรียนยากจนพิเศษไม่ให้หลุดออกจากการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการจัดสรรงบประมาณตรงตามข้อมูลความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างแท้จริง (Demand-side Financing) มิใช่การจ่ายแบบรายหัวทุกคนเท่ากันดัง เช่น การถัวเฉลี่ยจ่าย หรือการกำหนดโควตาจัดสรรแบบในอดีตที่ผ่านมา

ดร.ประสารกล่าวอีกว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรองความยากจนของนักเรียนและครอบครัวให้มีความเที่ยงตรง กสศ. สพฐ. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น CCT สนับสนุนการคัดกรองรายได้ทางอ้อม (Proxy Means Test: PMT) ช่วยให้ครูสังกัด สพฐ. มากกว่า 30,000 คนทั่วประเทศ ที่เข้าร่วมโครงการทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลนักเรียน โดยประหยัดเวลาและทรัพยากรในการบันทึก
จัดส่งข้อมูลประเภทต่างๆ ได้แก่ ข้อมูลรายได้ สถานะครัวเรือน และภูมิสารสนเทศของนักเรียนและครอบครัว รวมถึงครูใช้ในการติดตาม และบันทึกผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขการรับเงินอุดหนุนของนักเรียนยากจนพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ เงื่อนไขการรักษาอัตราการมาเรียนให้เกินกว่าร้อยละ 80 ตลอดปีการศึกษา 2561 และเงื่อนไขน้ำหนักส่วนสูงนักเรียนยากจนพิเศษ ให้มีพัฒนาการที่สมวัยตามเกณฑ์มาตรฐาน

กระบวนการทั้งหมดนี้ครูสามารถดำเนินการโดยไม่ใช้กระดาษแม้แต่แผ่นเดียว (Paperless) โดยครูและสถานศึกษาจะสามารถติดตามผลการจัดสรรเงินอุดหนุนของ กสศ. และ สพฐ. ของนักเรียนมากกว่า 500,000 คน ได้เป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี ช่วยให้รัฐบาลและประชาชนผู้เสียภาษีทราบได้ว่าการลงทุนของรัฐผ่าน กสศ. สามารถสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับนักเรียนยากจนพิเศษได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

“ล่าสุดกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้ประสานงานมาที่ กสศ. เพื่อขอจัดทำความร่วมมือเพื่อนำระบบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และแอพพลิเคชั่นดังกล่าว รวมทั้งนวัตกรรมการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนอย่างมีเงื่อนไขนี้ไปสนับสนุนมาตรการดูแลนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดของตนอีกราว 2,000 แห่งในปีการศึกษา 2563 ต่อไป” ดร.ประสาร กล่าว

ด้านนายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า ผลการบันทึกข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษที่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2561 พบว่ามีจำนวนนักเรียนที่จะได้รับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไขในรอบแรกจำนวน 397,493 คน ขณะที่อีก 75,363 คน จาก 416 โรงเรียนยังยื่นเอกสารไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น ขาดภาพการประชุมรับรองรายชื่อรวมถึงเลขที่บัญชีธนาคาร ซึ่งกลุ่มนี้คุณครูกรุณารวบรวมเอกสารยื่นเพิ่มเติม และอีกประมาณ 6,655 โรงเรียน ยังไม่มีการบันทึกข้อมูลเข้ามา โดยทางกสศ.ได้ขยายเวลาให้โรงเรียนกลุ่มหลังนี้บันทึกผลการรับรองข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษ (นร.05) ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสถานศึกษาแล้ว ผ่านระบบ CCTนร.05 ได้อีกครั้งระหว่างวันที่ 7 – 11 มกราคม 2562

“ทุกกระบวนการกสศ.ใช้เทคโนโลยีช่วยพิสูจน์ยืนยัน ตั้งแต่การค้นหา ตรวจสอบ การโอนเงิน การติดตามผลตามเงื่อนไข และยังผ่านการรับรองอย่างมีส่วนร่วมจากคณะกรรมการสถานศึกษา ชุมชนท้องถิ่น และผู้ปกครองรวมแล้วกว่า 150,000 คน เพื่อให้สังคมเชื่อมั่นในความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการทำงาน ล่าสุด กสศ.ได้ประสานไปยังสพฐ.เพื่อส่งรายชื่อของโรงเรียนที่ยังไม่ได้บันทึกข้อมูลใดใดเลยทั้ง 6,655 แห่ง ข้อมูลดังกล่าวจะชี้เป้าให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประสานติดตามไม่ให้มีเด็กนักเรียนคนไหนเสียโอกาสในการได้รับเงินอุดหนุนครั้งนี้ สำหรับรายชื่อที่นักเรียนที่ผ่านการรับรองแล้วทั้ง 397,493 คน กสศ.จะเริ่มโอนเงินอุดหนุนให้ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2561 โดยจะแล้วเสร็จภายใน 7 วัน ทั้งนี้จะดำเนินการให้กับจังหวัดที่มีจำนวนนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดก่อน สำหรับรายชื่อ 10 จังหวัดแรก ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก นราธิวาส ยะลา น่าน สตูล เชียงใหม่ ปัตตานี นครราชสีมา มหาสารคาม” นายสุภกรกล่าว

ป้ายคำ :