เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หลังประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูกิจการ ครบทั้ง 4 ข้อ ได้แก่
1) การจดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน
2) การดำเนินการตามแผนฟื้นฟู โดยไม่เกิดเหตุผิดนัด
3) การมี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการย้อนหลัง 12 เดือนประมาณ 40,308 ล้านบาท (เดือน เมษายน ปี 2567 ถึง มีนาคม ปี 2568) ซึ่งสูงกว่าที่กำหนดไว้ที่ 20,000 ล้านบาทอย่างมีนัยสำคัญ และมีส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ เป็นบวกจากการปรับโครงสร้างทุน และ
4) ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 โดยหลังจากนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าขออนุญาตหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำหุ้นของการบินไทยกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทยพับลิก้า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ยืนยันว่า “การบินไทยในปัจจุบันแข่งขันได้” กระนั้นก็เตือนว่า แม้การบินไทยฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่หากยังปล่อยให้มีการแทรกแซงได้ การบินไทยก็อาจจะกลับไปสู่สภาพเดิม
ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้การบินไทยฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ต่อมาวันที่ 2 มีนาคม 2564 การบินไทยได้ยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
นายปิยสวัสด์กล่าวว่า สิ่งที่หนักใจมากที่สุดขณะนั้นคือเรื่องเงิน จึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เดินหน้าได้ต่อไป การปฏิรูปธุรกิจตามแผนก็ต้องเร่งดำเนินการ แต่วันนี้เงินสดที่ถืออยู่มีประมาณ 127,000 ล้านบาทโดยไม่ต้องกู้เงิน
นายปิยสวัสด์กล่าวว่าการปฏิรูปธุรกิจตามแผนฟื้นฟู ก็ทำไปได้พอสมควรแล้ว แทบจะหมดแล้ว โดยการปฏิรูปองค์กรในด้านการตลาดการบินไทยได้ลดการใช้ตัวแทน และมีการจำหน่ายตั๋วเครื่องบินแบบเป็นเครือข่ายมากขึ้น แทนที่จะเป็น Point to Point อย่างที่ทำมาโดยตลอด ส่วนการนำ Thai Smile กลับเข้ามารวมกับการบินไทยก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ผลดีมาก อาจจะมีบางเรื่องที่ยังต้องเดินหน้าต่อไป การที่จะขายตั๋วเป็นเครือข่ายเริ่มไปได้ดี ยังต้องทำต่อไป
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า“ผู้ที่ช่วยบริษัทให้ฟื้นฟูขึ้นมาได้ทุกวันนี้ก็คือพนักงานทั้งหลายทั้งนั้น คือพวกผู้บริหารระดับสูง” มีเฉพาะนายชาญศิลป์ ตรีนุชกรที่เข้ามาเป็น DD ปีแรก แต่หลังจากนั้นก็เป็นคนข้างในหมด ที่ช่วยกันทุกวันนี้แสดงเห็นว่า คนข้างในที่มีคุณภาพมีอยู่ในบริษัทเพียงแต่ว่าหาให้ถูก มองหาให้เจอเท่านั้น ให้เขาทำงาน ให้อิสระภาพของเขาในการคิด ในการทำ
สำหรับคำถามที่กังวลว่าถ้าเกิดออกจากแผนฟื้นฟูจะกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอีกหรือไม่ นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า คงไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ โดยเห็นว่ารัฐบาลเองก็บอกว่าไม่ต้องการให้เป็นรัฐวิสาหกิจ
“ประเด็นคือว่า ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจแล้วรัฐบาลยังเข้ามาแทรกแซงได้ไหม คำตอบก็คือได้ เพราะว่ากระทรวงการคลังถือหุ้น 38% บวกกับกรุงไทย ออมสิน กองทุนวายุภักษ์ EXIM ก็เป็น 48% ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ การแทรกแซงที่ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ เรื่องของการแต่งตั้งโยกย้าย เพราะถ้าจะเข้ามาแทรกแซงการจัดซื้อจัดจ้าง ต้องเอาคนเข้ามาก่อน เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มจากแต่งตั้งโยกย้ายก่อน แต่งตั้งโยกย้ายถึงไปนำไปสู่จัดซื้อจัดจ้าง อันนั้นก็คือจุดที่สำคัญ”
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่าการปิดช่องโหว่ไม่ให้มีการเข้ามาแทรกแซงก็ขึ้นอยู่กับพนักงาน และคณะกรรมการด้วยกันเองที่จะไม่ปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น รวมทั้งผู้ถือหุ้น
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า การบินไทยจะอยู่รอดในอนาคต เรื่อง “คน” สำคัญที่สุด และดูแลค่าใช้จ่าย
อ่านบทความฉบับเต็ม “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” ยัน “การบินไทย” กลับมาแข็งแกร่งและแข่งขันได้ อนาคต “พนักงาน-ผู้ถือหุ้น” ปราการกันการเมืองแทรกแซง ได้ที่เว็บไซต์ไทยพับลิก้า