ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Adaptation รับมือโลกเดือด > “อมตะ” นักพัฒนาเมืองอุตสาหกรรม ยึดหลัก “ALL WIN” ออกแบบพื้นที่และการบริการ ยืดหยุ่นรับวิกฤติโลกรวน

“อมตะ” นักพัฒนาเมืองอุตสาหกรรม ยึดหลัก “ALL WIN” ออกแบบพื้นที่และการบริการ ยืดหยุ่นรับวิกฤติโลกรวน

3 มกราคม 2025


นายสัทธา วนลาภพัฒนา รักษาการประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)

การดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความยั่งยืน เป็นบริบทที่ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานที่ต้องปฏิบัติในมิติต่างๆ ทั้งกรอบกติกาในประเทศและระดับโลก แม้หลายธุรกิจได้ยึดโยงความยั่งยืนมาแต่ตั้งแต่การเริ่มธุรกิจ แต่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกที่ไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจ ‘นิคมอุตสาหกรรม’ ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก นอกจากจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการ อาทิ น้ำ พลังงาน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ทำให้ผู้พัฒนาเมืองให้นักลงทุน/ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการนำแนวคิดเรื่องความยั่งยืนในกรอบ ESG มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับการดูแลผลกระทบที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ผ่านหลักปรัชญาที่เรียกว่า “ALL WIN”

นายสัทธา วนลาภพัฒนา รักษาการประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อมตะฯ กล่าวว่า “ความยั่งยืนของทุกฝ่ายเป็น Core Value ที่อมตะตระหนักและดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่ได้มองว่านิคมฯ หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นเพียงแค่ธุรกิจ แต่เรายังเป็นผู้พัฒนาเมืองที่มีศักยภาพในการให้บริการและดูแลลูกค้าอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

“Core Value ขององค์กรที่คุณวิกรม กรมดิษฐ์ (ประธานคณะกรรมการบริษัทฯ และปัจจุบันรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) ได้ให้เป็นคีย์เวิร์ดไว้คือ “ALL WIN” ทำให้ทั้งองค์กร ฝ่ายจัดการ รวมถึงหน้างานฝ่ายปฏิบัติการ มองเห็นผู้มีส่วนได้เสียของตนเอง ผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมโดยรวมด้วย เราพยายามทำอย่างไรก็ได้ให้มีผลกระทบในเชิงลบให้น้อยที่สุด และสร้างผลกระทบเชิงบวกในพื้นที่ให้มากที่สุด”

คำว่า “ความยั่งยืน” เป็นศัพท์ใหม่ในองค์กรนี้ แต่จริงๆ มันคือสิ่งที่ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เราเริ่มต้นธุรกิจ เป็นการมองภาพกว้างถึงสิ่งที่กำลังวางแผน การก่อสร้าง โดยเริ่มจากการตั้งคำถามพื้นฐานถึงข้อมูลต่างๆ ของพื้นที่ เช่น ชาวบ้านแต่เดิมเขาทำอะไรบ้าง เขาทำการเกษตร ปลูกอะไร เลี้ยงสัตว์อะไร แล้วชาวบ้านใช้น้ำจากไหน และตอนนี้เราไปสร้างผลกระทบอะไรต่อเขาหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ถูกปลูกฝัง เป็น Core Value ในองค์กรอยู่แล้ว สมัยก่อนไม่มีคำว่าโลกเดือด โลกร้อน เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากภูมิประเทศ พืชพรรณ ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เวลาเราเข้าไปในพื้นที่ เราจะเข้าไปดูก่อนว่าพื้นที่เป็นอย่างไร จากเรื่องพื้นฐาน เช่น ทางธรณีวิทยา หรือ Geology และ สภาพแวดล้อม เป็นต้น การดำเนินการต่างๆ ที่ได้ยกตัวอย่าง ถูกส่งผ่านมาทางกระบวนการของบริษัทฯ อยู่แล้ว แล้วก็ค่อยๆ ปรับปรุง เรียนรู้จากบทเรียนต่างๆ จนกระทั่งเริ่มมีกรอบแนวคิดและมาตรฐานต่างๆ ด้านความยั่งยืนเข้ามา

นายสัทธาอธิบายต่อว่า “เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นเครื่องมือ คือสิ่งที่เราเรียนรู้มา เข้าใจมา จากทุกๆ ปัจจัยรอบๆ ตัวเรา จะถูกนำมาเป็นกรอบการทำงาน โดยสรุปประเด็นสำคัญ เพื่อเข้าไปพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ครบถ้วนมากขึ้น แล้วก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาค่อยๆ จัดลำดับความสำคัญ อันนี้เราคงต้องดูทั้งในด้านสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ พร้อมทั้งความสามารถขององค์กรที่สามารถทำได้ โดยประเด็นความเร่งด่วนก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นเราจึงค่อยเลือกประเด็นเหล่านั้นมาจัดทำเป็นกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน แล้วสื่อสารกันภายในองค์กร เมื่อทุกภาคส่วนมีความเห็นตรงกันแล้ว ในส่วนสุดท้ายก็จะคือการลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถติดตามวิเคราะห์ได้ ซึ่งจะถูกใส่อยู่ในตัวชี้วัดของฝ่ายจัดการ เพื่อให้กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนหรือเรื่องของความยั่งยืนถูกดำเนินการ อย่างเป็นรูปธรรม”

ดังนั้นเมื่อโลกในปัจจุบันต่างให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น เราจึงมองว่างานที่เป็นความท้าทายของผู้พัฒนาเมืองอุตสาหกรรมก็คือ จะทำอย่างไรให้กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนหรือเรื่องของความยั่งยืนที่วางแผนไว้ถูกลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม

ถนนของโครงการอมตะทุกสายที่ยาวหลายร้อยกิโลเมตรเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กตามมาตรฐานกรมทางหลวง สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่า 21 ตันขึ้นไป

ออกแบบเมืองอุตสาหกรรม ยืดหยุ่นต่อโลกร้อน

ปัจจุบัน อมตะได้มีการติดตามสถานการณ์ด้านความยั่งยืนในทุกมิติอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในความท้าทายของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม

ดังนั้นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งก็คือ เราต้องออกแบบเมืองให้มีความยืนหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience City) และมีการบริหารจัดการเมืองในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ (Urban Development)

ขณะเดียวกัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการลงทุนในอนาคตอย่างยั่งยืน อมตะจึงได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สถานประกอบการสามารถประกอบกิจการได้อย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคใดๆ เช่น การจัดเตรียมแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อการขยายตัว ทั้งการเพิ่มกำลังการผลิตของสถานประกอบการ และรองรับสถานประกอบการที่เพิ่มขึ้น การจัดหาพลังงานสะอาดเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนเตรียมการบริหารจัดการเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป

นายสัทธาอธิบายกระบวนการก่อนจะเป็นเมืองอุตสาหกรรมว่า เนื่องจากแนวคิดของอมตะคือการพัฒนาเมืองที่ครบวงจร การที่มุ่งเน้นการพัฒนาเมืองที่ครบวงจร ขนาดของเมือง ความพร้อมของเมือง มีส่วนเป็นอย่างมากที่จะทำให้พื้นที่มีศักยภาพเป็นเมืองที่ครบวงจรได้ในอนาคต และจะเติบโตในระยะยาว ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาสำหรับการเตรียมการ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การเริ่มดำเนินการแต่ละโครงการ หรือการสร้างโครงการในพื้นที่ใหม่

“เวลาเราดูแลบริหารจัดการเมือง เราพยายามมองตัวเองว่าเราไม่ใช่แค่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หากเรามองว่าเราเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็จะมุ่งเน้นแค่การขายที่ดิน แต่กระบวนการก่อนที่เราจะดำเนินการเรื่องอสังหาริมทรัพย์ มีขั้นตอนที่ต้องทำ คือเราจะพูดคุยกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เข้าใจว่าลูกค้าผลิตอะไร และทำไมถึงเลือกมาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย นอกจากนี้เรายังต้องมองเรื่องของวัตถุดิบ และกระบวนการผลิต เช่น วัตถุดิบถูกส่งมาจากที่ไหน โดยวิธีใด ซึ่งทำให้เราเข้าใจเรื่องโลจิสติกส์ ที่แต่ละสถานประกอบการจะมีความต้องการในเรื่องของการจัดหาวัตถุดิบหรือสินค้าและเงื่อนไขที่ต่างกัน”

หลังจากนั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการผลิต และทำการศึกษาร่วมกับลูกค้าเกี่ยวกับกระบวนการผลิต เช่น ใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง มีการปล่อยมลพิษอะไรบ้าง จะมีผลกระทบอะไรบ้าง และความต้องการในการใช้สาธารณูปโภคเป็นอย่างไร เพื่อศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาพิจารณาในการตัดสินใจว่าเราจะสามารถต้อนรับนักลงทุนที่มีกระบวนการผลิตประเภทนี้ได้หรือไม่ และเพื่อให้เราเข้าใจตัวเองว่ามีศักยภาพในการดูแลลูกค้าหรือไม่ เนื่องจากการเป็นเมืองอุตสาหกรรมต้องดูแลในระยะยาว

นายสัทธากล่าวต่อว่า ช่วงเริ่มต้นการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรม เริ่มต้นจากการดำเนินการให้มีน้ำ มีไฟฟ้า ขั้นต่อมาก็คือการคิดว่าจะทำอย่างไรให้มีน้ำ มีไฟฟ้า ที่มีคุณภาพ แล้วมาถึงตอนที่คิดว่าจะทำอย่างไรให้มีน้ำ มีไฟฟ้าที่มีคุณภาพรวมถึงราคาจำหน่ายที่เหมาะสม วันนี้เราก้าวมาถึงเรื่องการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ขยายไปยังเมืองใหม่ อมตะ สมาร์ท ซิตี้ จากประสบการณ์และการเรียนรู้จากโครงการปัจจุบัน ทำให้เราเรียนรู้ว่าจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างไร และศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนได้อย่างไร สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือเราไม่ได้เจอกับความท้าทายในการทำให้โครงการใหม่ อมตะ สมาร์ท ซิตี้ ให้เป็นเมืองที่ใช้พลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบัน กระบวนการผลิตที่เปลี่ยนไปตามความต้องการและเทคโนโลยีการผลิตทำให้ความต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านความต้องการสาธารณูปโภค

“ลูกค้าที่ทำให้เราตื่นเต้นที่สุด เนื่องจากลูกค้าได้วางเป้าหมายการดำเนินการไปเกินกว่า Carbon Neutrality โดยลูกค้าได้มุ่งเน้นให้สินค้า และกระบวนการผลิต เป็น Carbon Negative ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการดำเนินงานไปบ้างแล้วในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต หรือวิธีการจัดการที่ไปในทิศทางดังกล่าว ซึ่งกระทบกับเราในฐานะเป็นผู้บริหารจัดการเมือง เพราะฉะนั้นต้องทำให้เมืองพร้อมที่จะช่วยเหลือให้เขาไปในทิศทาง Carbon Negative เป็นความท้าทายที่เราต้องทำให้เมืองมีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการทางด้านสาธารณูปโภคที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มุ่งสู่ Carbon Negative” นายสัทธา กล่าว

พลังงานหมุนเวียน ส่งเสริมความยั่งยืนและลดการปล่อยคาร์บอนในนิคมอุตสาหกรรม

ขับเคลื่อนเมืองอุตสาหกรรมสีเขียวที่ยั่งยืน

ปัจจุบันอุตสาหกรรมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนของลูกค้าและลูกค้าของลูกค้า ต่างให้ความสำคัญว่าสินค้าที่ออกมาต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้พัฒนาเมือง อมตะจึงต้องบริหารจัดการบริการโครงสร้างพื้นฐานตามความต้องการของลูกค้า

“กล่าวคือ ลูกค้าของลูกค้าเป็นความต้องการที่ทำให้ลูกค้ามาหาเรา ซึ่งในมิติเรื่องของลูกค้าปัจจุบัน นอกจากการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าปัจจุบันแล้ว ยังมีมิติของลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานใหม่ที่จะเข้ามา เราจะได้ยินบ่อยๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อความต้องการเปลี่ยนไป ห่วงโซ่อุปทานก็ต้องปรับตัว หรืออุตสาหกรรมใหม่ๆ ยกตัวอย่างเช่น เซมิคอนดักเตอร์ ที่จะเริ่มเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น มีห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนและความต้องการที่หลากหลาย ส่งผลต่อความต้องการเรื่องของระบบโลจิสติกส์และสาธารณูปโภคที่ต้องการพลังงานและน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นส่วนที่เมืองต้องเตรียมบริหารจัดการ”

ในเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภายในเมืองอุตสาหกรรมให้มีผลกระทบในเชิงลบน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อส่งเสริมกระบวนการผลิตและลดต้นทุนการขนส่ง โดยมีการนำข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้คำนวณการขนส่งที่มีความซับซ้อนได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น

ในเรื่องพลังงาน อมตะได้พยายามมุ่งเน้นการพัฒนาพลังงานสีเขียวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าในพื้นที่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ เช่น การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ แต่ยอมรับว่ายังไม่เพียงพอกับความต้องการในปัจจุบัน จึงเป็นความท้าทายที่จะต้องผลักดันอย่างเต็มที่ในด้านศักยภาพ เทคโนโลยี และกรอบกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้พลังงานสะอาดได้มากที่สุด

บริษัท อมตะ ฟาซิลิตี้ เซอร์วิส จำกัด (AFS) เป็นผู้ให้บริการจัดการของเสียและจัดการสิ่งแวดล้อมครบวงจรในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรีและอมตะซิตี้ ระยอง

ส่วนเรื่องการจัดการขยะ อมตะได้นำหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy มาปรับใช้ในกระบวนการจัดการขยะมูลฝอยและขยะอุตสาหกรรมทั่วไปที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี รวมทั้งส่งเสริมกระบวนการคัดแยกขยะรีไซเคิลและใช้ประโยชน์จากขยะรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด เพื่อลดปริมาณขยะที่ส่งกำจัดด้วยวิธีฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด ตามเป้าหมาย Zero Waste to Landfill ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา สามารถลดปริมาณขยะที่ส่งไปกำจัดด้วยวิธีฝังกลบเหลือร้อยละ 0 ของปริมาณขยะทั้งหมดที่จัดการในอาคารคัดแยกขยะของบริษัทฯ

ในส่วนของการบริหารจัดการน้ำ ปัจจุบันในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีฝนตกกระจุกในพื้นที่แคบๆ และในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้การดูแลเมืองแตกต่างไป การบริหารจัดการน้ำเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เงินหรือการลงทุนเพียงอย่างเดียว เพราะ ‘น้ำ’ ต้องจัดการในภาพรวม เพราะภาคตะวันออกมีอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร และการใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ทำให้อมตะเริ่มต้นผลักดันให้มีการนำน้ำที่ใช้ในอุตสาหกรรมแล้วมีการถูกนำกลับมาใช้ใหม่

“เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ เราจะเรียกว่าน้ำมือหนึ่งและน้ำมือสอง ซึ่งเรานำมาปรับใช้เพื่อให้ตอบโจทย์ ALL WIN อย่างสมดุล โดยที่โดยทุกคนสามารถใช้และบริหารจัดการได้ พร้อมทั้งรักษาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เช่น นำน้ำมือสองที่มีคุณภาพที่ดีกลับมารีไซเคิลเพื่อใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี ซึ่งมีโรงไฟฟ้าอยู่ 5 โรง ใน 5 โรงนี้ใช้น้ำที่เป็นน้ำมือสองในการหล่อเย็นโรงไฟฟ้า ส่วนที่เหลือใช้ในระบบอื่นๆ ช่วยลดภาระการพึ่งพาน้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติและลดความเสี่ยงจากภาวะภัยแล้ง หลังจากนั้นเรายังไม่หยุดคิด ทำยังไงให้มันดีกว่านี้ โดยการนำเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย เช่น ระบบ RO (Reverse Osmosis) คือเราเอาน้ำที่ได้รับการบำบัดแล้ว (น้ำมือสอง) มาใช้ส่วนหนึ่งกับระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้า และอีกส่วนหนึ่ง เราก็จะนำส่วนที่เหลือกลับไปผ่านระบบ RO แล้วกลับมาเป็นน้ำมือหนึ่ง ที่มีคุณภาพของน้ำที่ผ่านระบบนี้ดีกว่าน้ำประปาทั่วไป ทำให้เราพบว่ามีโอกาสทางธุรกิจ เพราะมีโรงงานที่เขามีความต้องการน้ำคุณภาพสูงนี้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นี่คือเรื่องของน้ำที่เราพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง”

“ต้องเล่าให้ฟังว่าปีที่ผ่านมามีความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะสำคัญ เพราะทุกคนเริ่มให้ความสนใจในเรื่องของ ESG กันมากขึ้น ทางลูกค้าที่เขารับน้ำมือหนึ่งไปใช้ จะนำไปใช้ในกระบวนการผลิตบ้าง ใช้ในการอุปโภคบริโภคบ้าง ปกติแล้วก่อนหน้านี้จะส่งน้ำเสียออกมาที่ระบบส่วนกลางทั้งหมด เพื่อให้เราไปจัดการต่อ แต่ตอนนี้ลูกค้าได้พัฒนากระบวนการจัดการให้มีการนำกลับไปหมุนเวียนใช้ใหม่ จนทำให้เราเห็นภาพใหม่ขึ้นคือ ปริมาณน้ำเสียที่เราจะนำไปผ่านกระบวนการนำกลับมาใช้ใหม่ มีปริมาณลดลง ซึ่งเป็นความท้าทายใหม่ที่เราเผชิญ ทำให้เราต้องเดินเข้าไปพูดคุยกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อวางแผนบริหารจัดการให้ระบบ Ecosystem มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”

พัฒนาและบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อรองรับการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรมอมตะ

องค์กรต้องพร้อมรับโลกที่เปลี่ยนแปลง

ท่ามกลางภาวะโลกเดือดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นายสัทธาเน้นย้ำว่า “ อมตะจึงต้องมีการปรับองค์กรให้พร้อม เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงในทุกวัน”

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ อมตะได้มีการตั้งหน่วยงานด้านกลยุทธ์ขึ้นมาเพื่อบูรณาการแนวคิดด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้ากับแผนธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญของโลก รวมถึงความเสี่ยงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายสัทธากล่าวว่า “แผนหรือกลยุทธ์ คือข้อมูลที่ยังอยู่บนกระดาษซึ่งต้องนำไปสู่การปฏิบัติจริง ความท้าทายคือจะทำยังไงให้แผนหรือกลยุทธ์ ถูกนำไปปฏิบัติจริงได้นั้นสำคัญมาก เพราะฉะนั้นจึงเกิดการบูรณาการในการนำเรื่องของแผน การบริหารจัดการความเสี่ยง และการบริหารจัดการความยั่งยืน มาอยู่ร่วมกันในแผนกกลยุทธ์ ทำให้เราสามารถเห็นภาพรวมที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกัน”

“ในอดีตปัญหามักจะถูกแก้ได้สำเร็จด้วยหน่วยงานเดียวหรือกลุ่มคนกลุ่มเดียว แต่ในปัจจุบันปัญหามีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นจนไม่สามารถแก้ได้โดยกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว ทุกคนต้องร่วมมือกันใช้แนวทางที่หลากหลายในการแก้ไข เพราะฉะนั้นความจำเป็นในการกำหนดแนวทางและเป้าหมายร่วมกันจึงมีความสำคัญมากขึ้น เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายสัทธากล่าว

ความท้าทายด้าน ESG

ในเรื่องความท้าทาย อมตะมองว่าสิ่งสำคัญที่บริษัทฯ จะต้องเผชิญในการพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืน คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) ซึ่งเกิดขึ้นหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องการจัดการน้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง

ถัดมาคือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพภูมิอากาศ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นความเสี่ยง (Transition Risk) ต่อทั้งบริษัทฯ และผู้ประกอบการในเมืองอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบกับองค์กรในภาพรวม

รวมถึงความตื่นตัวในเรื่องกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย และภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมกับลูกค้า ห่วงโซ่อุปทานของลูกค้า ซึ่งก็จะส่งผลกระทบกับเมืองอุตสาหกรรมเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องมีการบริหารจัดการและเตรียมเมืองให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้

นายสัทธายังมองว่า ที่ผ่านมา นิคมอุตสาหกรรมอมตะมีศักยภาพและสถานที่ตั้งที่เหมาะสมในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) แต่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ ในอาเซียนมีความพร้อมมากขึ้น ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถดึงดูดการลงทุนและแข่งขันได้

บริหารจัดการที่ตอบโจทย์ ALL WIN พัฒนาเมือง-ดูแลชุมชนโดยรอบ

ในปีนี้บริษัท อมตะฯ หรือ AMATA ได้รับรางวัล SET Awards 2024 “Sustainability Awards of Honor” ในกลุ่มรางวัล Sustainability Excellence จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับการรักษาสมดุลระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรอบให้อยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และสร้างคุณค่าที่สมดุลอย่างยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายภายใต้หลักปรัชญา “ALL WIN” เพื่อเป็นเมืองอุตสาหกรรมสีเขียวที่ยั่งยืน

นายสัทธากล่าวว่า “ทั้งหมดนี้เป็นความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูล ถ้าเราไม่จัดการ มันก็จะเป็นประเด็นในอนาคตอยู่ดี เราเป็นเมือง และเมืองเราต้องอยู่กับชุมชน แล้วชุมชนก็อยู่รอบเรา จะทำอย่างไรให้เรามีความเข้าใจกัน”

ดังนั้น สิ่งที่เราทำก็คือ ร่วมมือกับผู้ประกอบการในเมืองอุตสาหกรรม และพยายามใช้องค์ความรู้ที่มีไปอธิบาย แล้วก็ลงไปทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิด