ThaiPublica > คอลัมน์ > ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน: บทเรียนและความท้าทายของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และข้อเสนอแนะในการจัดการปลาหมอคางดำ

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน: บทเรียนและความท้าทายของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และข้อเสนอแนะในการจัดการปลาหมอคางดำ

9 สิงหาคม 2024


ดร.เพชร มโนปวิตร

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive alien species: IAS) กำลังกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ และความเป็นอยู่ของมนุษย์

รายงานการประเมินล่าสุดถึงผลกระทบของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน ขององค์การระหว่างรัฐบาลว่าด้วยนโยบายวิทยาศาสตร์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและบริการจากระบบนิเวศ (IPBES) ในปี 2023 ชี้ว่าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน เป็น 1 ใน 5 สาเหตุโดยตรงสำคัญที่ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพถูกคุกคาม โดยมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นกว่า 37,000 ชนิด ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก และมีอัตราการรุกรานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกภูมิภาค ปัญหานี้รุนแรงกว่าที่หลายคนเข้าใจ และนับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในปัจจุบัน

ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานกำลังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพแบบถาวร บางครั้งถึงขั้นไม่สามารถย้อนกลับได้ มีรายงานการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลกอันเนื่องมาจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ทั้งยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหาร และสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น ยุงลายสายพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเข้ามา ทำหน้าที่เป็นพาหนะของไวรัสไข้เลือดออก ซิกา และไข้เหลือง ส่งผลคุกคามต่อสุขภาพของผู้คนโดยเฉพาะในเขตร้อน หรือปลาหมอคางดำที่ระบาดในไทย ทำลายพันธุ์ปลาท้องถิ่นที่ชาวประมงจับมาประกอบอาชีพ กระทบต่อรายได้และวิถีชีวิตของชุมชน มีการประมาณการความเสียหายทางเศรษฐกิจจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานทั่วโลก คิดเป็นมูลค่าถึง 4.23 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2019 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 เท่าในทุกๆ ทศวรรษ

ศาสตราจารย์ Ana María Hernández Salgar อดีตประธานคณะกรรมการ IPBES กล่าวไว้ในคำนำรายงานว่า “ความรุนแรงในการแพร่ระบาดของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเป็นภัยคุกคามสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพ การพัฒนาสังคม และวัฒนธรรมของเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ รายงานฉบับนี้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกระจายตัวและวิธีจัดการกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งจะช่วยให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจกำหนดนโยบายที่เหมาะสมทั่วโลก”

ข้อมูลที่น่าสนใจจากรายงานชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานของ IPBES พบว่า

ชนิดพันธุ์

  • ปัจจุบันมีการพบชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien species) กว่า 37,000 ชนิดตั้งถิ่นฐานทั่วโลก
  • มีการค้นพบชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien species) ใหม่ๆเพิ่มขึ้นกว่า 200 ชนิดทุกปี
  • สายพันธุ์พืชต่างถิ่นทั้งหมด), สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 1,852 ชนิด (22%), สัตว์มีกระดูกสันหลัง 461 ชนิด (14%) และจุลินทรีย์ 141 ชนิด (11%)
  • 37% คือสัดส่วนของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รู้จักซึ่งถูกรายงานตั้งแต่ปี 1970
  • กว่า 35% ของปลาน้ำจืดต่างถิ่นที่พบในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนมีที่มาจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

    ผลกระทบ

  • 60% ของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปทั่วโลก มีสาเหตุมาจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเป็นปัจจัยหลักหรือปัจจัยร่วม
  • 16% ของการสูญพันธุ์ที่ถูกบันทึกไว้ทั่วโลกมีสาเหตุหลักมาจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน
  • 90% ของสาเหตุหลักของการสูญพันธุ์ทั่วโลกบนเกาะเกิดจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน
  • 75% ของผลกระทบที่ถูกรายงานเกิดขึ้นในระบบนิเวศทางบก
  • 14% ของผลกระทบที่ถูกรายงานเกิดขึ้นในระบบนิเวศน้ำจืด
  • 10% ของผลกระทบที่ถูกรายงานเกิดขึ้นในระบบนิเวศทางทะเล
  • การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต 1,215 เกิดจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน 218 ชนิด (32.4% เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง, 50.9% สัตว์มีกระดูกสันหลัง, 15.4% พืช, 1.2% จุลินทรีย์)
  • 27% ของผลกระทบของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ (24% จากการแข่งขัน; 18% จากการล่าเหยื่อ และ 12% จากการกินพืช)
  • ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำและความมั่นคงทางอาหารในหลายพื้นที่ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความยากจนและความเหลื่อมล้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้น
  • 85% ของผลกระทบที่เกิดจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นสร้างผลเสียหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่นเป็นพาหะนำโรค ส่งผลคุกคามต่อสุขภาพของผู้คน หรือกระทบต่อรายได้และวิถีชีวิตของชุมชน

    นโยบายและการจัดการ

  • 80% หรือ 156 จาก 196 ประเทศมีเป้าหมายในกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการด้านความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP – National Biodiversity Strategy Action Plan) ในการจัดการการรุกรานทางชีวภาพ
  • 200% คือการเพิ่มขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมาของจำนวนประเทศที่มีบัญชีรายชื่อสายพันธุ์ต่างถิ่นระดับชาติ และฐานข้อมูล (196 ประเทศในปี 2022)
  • 83% คือประเทศที่ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับเฉพาะสำหรับชนิดต่างถิ่นที่รุกราน
  • 88% คืออัตราความสำเร็จของโครงการกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (1,550) ที่ดำเนินการบนเกาะ 998 แห่ง
  • 60% คืออัตราความสำเร็จของโครงการควบคุมทางชีวภาพสำหรับพืชและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังต่างถิ่นที่รุกราน

    รายงานการประเมินผลกระทบของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานและจากจัดการควบคุมของ IPBES

    นักวิชาการเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็น “การรุกรานทางชีวภาพ (Biological invasions)” ซึ่งเป็นคำที่ใช้อธิบายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งหรือการเคลื่อนย้ายสายพันธุ์ออกนอกพื้นที่ธรรมชาติของมันโดยกิจกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา และการนำเข้าไปในภูมิภาคใหม่ ซึ่งสายพันธุ์เหล่านั้นอาจตั้งถิ่นฐานและแพร่กระจายออกไป

    ตัวเลขที่น่าสนใจมากคือการคาดการณ์ในอนาคต หากไม่มีมาตรการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายในปี 2050 จำนวนของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานจะเพิ่มขึ้นอีก 36% เมื่อเทียบกับปี 2005 และจะยิ่งทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละนับล้านล้านเหรียญสหรัฐ

    ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงและความเร่งด่วนของปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเพิ่มความพยายามในการป้องกันและควบคุม ในขณะเดียวกันก็ต้องเร่งศึกษาเติมเต็มช่องว่างทางความรู้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อให้มีข้อมูลที่ครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น อันจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการจัดการปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป

    “หากเรามีทรัพยากร เจตจำนง และความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันในระยะยาว การป้องกันและควบคุมชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเป็นเป้าหมายที่บรรลุได้ ซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อมนุษย์และธรรมชาติในระยะยาว รายงานการประเมินชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานของ IPBES ได้ให้ข้อมูลพื้นฐาน เครื่องมือ และทางเลือกต่างๆ เพื่อช่วยลดการนำเข้าและการตั้งถิ่นฐานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่สำคัญให้ได้อย่างน้อย 50% ภายในปี 2050” Anne Larigauderie เลขาธิการบริหาร IPBES กล่าวไว้

    รายงาน IPBES ได้เสนอแนวทางการจัดการแก้ไขปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานอย่างเป็นระบบ ด้วยมาตรการใน 3 ระดับ คือ

    1. การป้องกันการนำเข้าหรือควบคุมเส้นทางการแพร่กระจาย ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด โดยอาศัยการบังคับใช้กฎระเบียบการนำเข้าอย่างเข้มงวด การเฝ้าระวังและตรวจสอบ ณ จุดผ่านแดนและท่าเรือ รวมถึงมาตรการจัดการเส้นทางที่มีความเสี่ยง

    2. เมื่อตรวจพบชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ต้องมีการตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อขจัดในระยะเริ่มต้น ก่อนที่มันจะตั้งถิ่นฐานและแพร่กระจาย ซึ่งจะทำให้การกำจัดทำได้ยากขึ้น

    3. สำหรับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ตั้งรกรากและแพร่ระบาดไปแล้ว จำเป็นต้องมีมาตรการควบคุม จำกัดการแพร่กระจาย และฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับคืนมา โดยต้องมุ่งเน้นไปที่พื้นที่และชนิดพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง

    มาตรการเหล่านี้จำเป็นต้องดำเนินการอย่างบูรณาการ ต่อเนื่อง และอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการออกนโยบาย บังคับใช้กฎหมาย สนับสนุนงบประมาณ และกระตุ้นความตระหนักของสังคม

    องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ได้จัดอันดับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ร้ายแรงที่สุด 100 อันดับแรก 100 of the World’s Worst Invasive Alien Species ซึ่งเลือกจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีผลกระทบรุนแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพและ/หรือกิจกรรมของมนุษย์ในหลากหลายสภาพแวดล้อมทั่วโลก โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจและกระตุ้นให้เกิดการป้องกันการแพร่กระจายของชนิดพันธุ์เหล่านี้

    รายชื่อนี้ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่างๆ ได้แก่ พืช สัตว์ เห็ด รา และจุลินทรีย์อื่นๆ ซึ่งบางชนิดพันธุ์ที่น่าสนใจอาทิ
    1. Rattus rattus (black rat) – หนูท้องดำ แพร่กระจายไปทั่วโลก ทำลายพืชผลทางการเกษตร เป็นพาหะนำโรค คุกคามสัตว์พื้นเมืองโดยเฉพาะในเกาะแปซิฟิก
    2. Acacia nilotica (prickly acacia) – กระถินเทพา ไม้พุ่มหนามจากแอฟริกา รุกรานทุ่งหญ้าในออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และอเมริกากลาง รบกวนปศุสัตว์
    3. Lantana camara (lantana) – ผกากรอง เถาวัลย์จากอเมริกากลาง ปกคลุมพื้นที่กว้างขวางจนกลายเป็นวัชพืชร้ายแรงในหลายส่วนของโลก
    4. Eichhornia crassipes (water hyacinth) – ผักตบชวา พืชน้ำจากแอมะซอน แพร่พันธุ์รวดเร็ว อุดตันทางน้ำ ปกคลุมผิวน้ำในแหล่งน้ำจืดทั่วเขตร้อน
    5. Bemisia tabaci (silverleaf whitefly) – แมลงหวี่ขาวยาสูบ ตัวอ่อนดูดน้ำเลี้ยงทำให้ใบพืชร่วง เป็นพาหะนำไวรัสพืชหลายชนิด ระบาดหนักในเขตอบอุ่น
    6. Dreissena polymorpha (zebra mussel) – หอยเซบราม้าลาย หอยสองฝาจากเขตยูเรเชีย ปกคลุมโครงสร้างใต้น้ำจนเกิดความเสียหาย คุกคามหอยพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือ
    7. Bufo marinus (cane toad) – คางคกยักษ์ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพิษจากอเมริกากลาง ปล่อยสารพิษทำร้ายผู้ล่า แข่งอาหารกับสัตว์พื้นเมือง แพร่ขยายพันธุ์ไปทั่วเขตร้อนและกึ่งร้อน
    8. Bactrocera dorsalis (oriental fruit fly) – แมลงวันผลไม้ ทำลายผลไม้หลากหลายชนิด เป็นแมลงศัตรูพืชกักกันที่สำคัญระดับโลก
    9. Aedes albopictus (Asian tiger mosquito) – ยุงลายเสือเอเชีย พาหะนำไวรัสไข้เลือดออก ไข้ซิก้า ไข้เหลือง ไข้ชิคุนกุนยา กระจายไปทั่วโลก
    10. Ophiostoma ulmi (Dutch elm disease) – โรคราน้ำค้างที่ต้นยูคาลิปตัส ทำให้ต้นไม้ยืนต้นยุโรปหลายชนิดยืนต้นตายจำนวนมาก

    รายชื่อชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ร้ายแรงที่สุด 100 อันดับนี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่สามารถเข้าไปแพร่กระจายในสภาพแวดล้อมใหม่ได้ และแม้ชนิดพันธุ์เหล่านี้มีเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งหมดในโลก แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่มีต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสุขภาพของมนุษย์ การติดตามเฝ้าระวังและควบคุมชนิดพันธุ์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมโลก

    รายงานชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ร้ายแรงที่สุด 100 ชนิด

    แม้ปลาหมอคางดำ (Blackchin tilapia หรือ Sarotherodon melanotheron) จะไม่ได้อยู่ในรายชื่อชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่ร้ายแรงที่สุด 100 อันดับ ของ IUCN แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปลาหมอคางดำจะไม่เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่สร้างผลกระทบรุนแรง เนื่องจากรายชื่อนี้เลือกมาจากหลากหลายปัจจัย และมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นตัวแทนให้เห็นภาพรวมของผลกระทบจากชนิดพันธุ์รุกรานในระดับโลก ดังนั้นจึงมีชนิดพันธุ์ที่สร้างปัญหารุนแรงในระดับประเทศหรือภูมิภาคอีกมากมายที่ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในรายชื่อนี้

    สำหรับกรณีของปลาหมอคางดำในประเทศไทยนั้น ถือเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานที่สร้างผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง แม้จะเป็นการยากในการที่ระบุสาเหตุที่ทำให้ปลาหมอคางดำแพร่ระบาดไปแล้ว 17 จังหวัด แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่ปลาหมอชนิดนี้ถูกนำเข้ามาเพาะเลี้ยงเพื่อพัฒนาพันธุ์ปลานิล และเกิดหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะในหลายประเทศการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการปรับปรุงพันธุ์ปลาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาต่างถิ่นโดยไม่ตั้งใจ

    อย่างที่ทราบกันดีว่า ปลาหมอคางดำกำลังทำลายพันธุ์ปลาท้องถิ่นอย่างหนัก สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจการประมง จนรัฐบาลต้องประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และทุ่มเททรัพยากรในการกำจัดอย่างมหาศาล แต่ปลาหมอคางดำก็ยังคงแพร่ขยายต่อไปจนกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการจัดการแก้ไข

    กรณีนี้สะท้อนปัญหาในการบังคับใช้ความรับผิดต่อภาคธุรกิจที่นำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ซึ่งแม้จะมีกฎหมายให้อำนาจแก่รัฐ แต่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับบริษัทมักทำได้ยาก เนื่องจากข้อจำกัดด้านหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ผู้รับภาระจึงมักจะเป็นรัฐและประชาชน อย่างไรก็ตาม ก็มีความพยายามผลักดันให้มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สามารถเรียกร้องความรับผิดและเยียวยาจากผู้ก่อมลพิษทางชีวภาพได้มากขึ้น แม้ว่าในทางปฏิบัติจะยังมีความท้าทายอยู่ก็ตาม

    หากพิจารณาถึงแนวทางการแก้ปัญหาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานตามหลักวิชาการและแนวทางของ IPBES และ IUCN ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะต่อการจัดการปลาหมอคางดำในประเทศไทยดังนี้

    1. การป้องกันและเฝ้าระวัง (Prevention and early detection)

  • เสริมสร้างความเข้มงวดในการควบคุมการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น ผ่านการบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบ ณ ด่านชายแดน ท่าเรือ และสนามบิน
  • จัดทำการประเมินความเสี่ยง (Risk assessment) ก่อนอนุญาตให้นำเข้าสัตว์น้ำชนิดใดๆ
  • พัฒนาระบบติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ
  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ นักวิชาการ และชุมชน ในการสอดส่องและแจ้งเตือนเมื่อพบการระบาด

    2. การกำจัดในระยะเริ่มต้น (Early eradication)

  • เมื่อตรวจพบการระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่ใหม่ ต้องดำเนินการกำจัดโดยเร็วที่สุด ก่อนที่มันจะแพร่ขยายเป็นวงกว้าง
  • ใช้วิธีการจับ สามารถใช้วิธีการทางกายภาพ การใช้สารเคมี หรือวิธีทางชีวภาพที่เหมาะสมในการกำจัดประชากรปลาหมอคางดำให้หมดไปจากแหล่งน้ำนั้นๆ
  • ติดตามตรวจสอบพื้นที่ที่ได้ดำเนินการกำจัดแล้ว เพื่อมั่นใจว่าปลาหมอคางดำถูกกำจัดหมดไปอย่างสิ้นเชิง

    3. การควบคุมและจัดการในพื้นที่ที่มีการระบาด (Management of established populations)

  • ในพื้นที่ที่ปลาหมอคางดำได้แพร่ระบาดไปอย่างกว้างขวางแล้ว ให้ดำเนินมาตรการเชิงควบคุมประชากร เช่น การส่งเสริมการจับเพื่อบริโภคและทำลาย การใช้กับดักจับ การปล่อยศัตรูธรรมชาติ (เช่น ปลากินเนื้อ)
  • ฟื้นฟูและเสริมความแข็งแรงให้กับระบบนิเวศ เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อการรุกรานของปลาหมอคางดำ
  • กำหนดเขตพื้นที่ควบคุมและติดตามการระบาดของปลาหมอคางดำ โดยร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น

    4. การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้

  • ส่งเสริมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชีววิทยา พฤติกรรม ผลกระทบ และการควบคุมจัดการปลาหมอคางดำในบริบทของไทย
  • พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการกำจัดและควบคุมประชากรปลาหมอคางดำ เช่น เหยื่อล่อพิเศษ การใช้โดรนติดตามตรวจสอบ การใช้นวัตกรรมกับดักรูปแบบต่างๆ
  • สร้างเครือข่ายการจัดการความรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ

    5. การส่งเสริมความตระหนักและการมีส่วนร่วมของประชาชน

  • จัดทำแผนสื่อสารความเสี่ยงและสร้างความตระหนักต่อผลกระทบของปัญหาปลาหมอคางดำแก่ประชาชน
  • กระตุ้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและอาสาสมัคร ในการเฝ้าระวังและจัดการกำจัดปลาหมอคางดำ
  • ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากปลาหมอคางดำอย่างคุ้มค่า เช่น ทำเป็นอาหาร ปุ๋ย และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
  • ใช้กลไกทางสังคมและเศรษฐศาสตร์ในการสร้างแรงจูงใจให้คนร่วมจับปลาหมอคางดำ เช่น การประกวดจับปลา การให้รางวัล

    การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำจะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การบูรณาการระหว่างมาตรการเชิงนโยบาย กฎหมาย วิชาการ และการจัดการในระดับพื้นที่ ต้องมีการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม และดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำบรรลุผลสำเร็จอย่างยั่งยืน

    โดยสรุปชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานกำลังเป็นภัยคุกคามระดับโลกที่มีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเร่งปฏิบัติการในทุกระดับ ทั้งในเชิงนโยบาย กฎหมาย งบประมาณ เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่เพียงแค่เพื่อการป้องกันการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต แต่ยังรวมถึงการปกป้องฐานทรัพยากรที่มนุษย์เราต้องพึ่งพา หากเราร่วมมือกันจริงจังในการรับมือกับความท้าทายนี้ เราก็ยังมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในกอบกู้ความสมดุลของโลกให้กลับมาได้

    กรณีตัวอย่างความสำเร็จในการแก้ปัญหาปลาต่างถิ่นที่รุกรานในต่างประเทศ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปัญหาปลาหมอคางดำในไทย

    1. ปลา Bluegill sunfish (Lepomis macrochirus) ในญี่ปุ่น

  • ปลา Bluegill sunfish เป็นปลาสวยงามที่ถูกนำเข้าไปในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1960 และหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ กลายเป็นปลาต่างถิ่นที่รุกรานรุนแรงในทะเลสาบและแม่น้ำของญี่ปุ่น
  • รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปลาชนิดนี้ โดยออกกฎหมายควบคุม Invasive Alien Species Act ในปี 2005
  • มีการจับปลาซันบลูกิลล์เพื่อกำจัดโดยชาวประมง ประชาชน และนักดำน้ำ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่น
  • มีการใช้สารเคมีเช่น rotenone เพื่อกำจัดปลาซันบลูกิลล์ในบางพื้นที่ที่มีการระบาดหนัก
  • ผลจากมาตรการอย่างเข้มข้น ทำให้ประชากรปลาซันบลูกิลล์ในญี่ปุ่นลดลงอย่างมากจนอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

    2. ปลาคาร์พ (Common carp/ Cyprinus carpio) ในออสเตรเลีย

  • ปลาคาร์พเป็นปลาต่างถิ่นที่ถูกนำเข้าไปในออสเตรเลียตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1850 เพื่อส่งเสริมการตกปลา และแพร่กระจายไปทั่วแหล่งน้ำ ทำลายพืชน้ำและสิ่งมีชีวิตพื้นเมือง
  • รัฐบาลออสเตรเลียได้กำหนดให้ปลาคาร์พเป็น “สายพันธุ์ที่เป็นภัยคุกคาม” ภายใต้กฎหมาย Environment Protection and Biodiversity Conservation Act
  • มีโครงการ National Carp Control Plan ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น ชุมชน และนักวิจัย เพื่อหาทางกำจัดปลาคาร์พ
  • มีการศึกษาการใช้เชื้อไวรัสกำจัดปลาคาร์โป้โดยเฉพาะ คือ CyHV-3 ซึ่งอยู่ระหว่างการทดลองและประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม
    มีแผนที่จะใช้เชื้อไวรัสนี้ควบคู่กับวิธีอื่นในการกำจัดปลาคาร์พให้หมดไปจากระบบแม่น้ำเมอร์เรย์-ดาร์ลิงภายในปี 2045

    3. ปลากะพงแม่น้ำไนล์ (Nile Perch) ในทะเลสาบวิกตอเรียในแอฟริกา

  • ปลากะพงแม่น้ไนล์เป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ ที่ถูกนำเข้ามาในทะเลสาปวิกตอเรียในปี 1950 ซึ่งหลังจากนั้นได้แพร่ระบาดและกินปลาพื้นเมืองจนแทบหมด ทำให้ปลาหมอสี (Chichidae) ท้องถิ่นจำนวนมากมากสูญพันธุ์
  • มีการวิจัยอย่างกว้างขวางเพื่อทำความเข้าใจระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงไปและหาแนวทางจัดการ ซึ่งต้องใช้ความพยายามในระยะยาว
    มีความพยายามใช้ประโยชน์จากปลากะพงแม่น้ำไนล์เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง ในขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มประชากรปลาท้องถิ่นควบคู่ไปด้วย

  • มีโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงปลาหมอสีท้องถิ่นในฟาร์ม ซึ่งได้ผลดีระดับหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูประชากรปลาพื้นเมือง

    จากกรณีศึกษาทั้ง 3 ชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาชนิดพันธุ์ปลาต่างถิ่นที่รุกรานต้องใช้ความพยายามและความอดทนในระยะยาว โดยการผสมผสานมาตรการทั้งการกำจัดโดยตรง การควบคุมประชากร การจัดการแหล่งอาศัย และการฟื้นฟูสิ่งมีชีวิตท้องถิ่น โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนทางนโยบายและกฎหมายที่เข้มแข็ง ซึ่งประเทศไทยน่าจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ หากมีการวางแผนและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง