เปิดชื่อเจ้านาย-ราชสกุล ใกล้ชิดรัชกาลที่ 7 ยุคการเปลี่ยนแปลง 24 มิถุนายน 2475
92 ปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจ-การเมืองอ่อนแอและตกต่ำอีกระลอก ในยุคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แม้ยุคสมัยการเมืองการปกครองเปลี่ยนแปลงไป แต่เรื่องราวในประวัติศาสตร์ และตัวบุคคล ทายาท ราชสกุล ยังโลดแล่นอยู่ในสังคมการเมืองไทย
ชวนย้อนอ่านใคร-เป็นใคร ในยุค 2475 ผ่านพระนิพนธ์ ของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ธิดาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีหลายตอน รวมทั้งบันทึกเรื่อง “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” ที่ทรงนิพนธ์ไว้จบสมบูรณ์ในปี 2486 มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ “ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475”
พระนิพนธ์ตอนหนึ่งระบุถึงตอนต้นรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ไว้ว่า “รัชกาลที่ 7 เสวยราชย์ก็คือเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำและการตัดทอนรายจ่ายของประเทศมีพิเศษในเรื่องจะตัดทางราชสำนัก ซึ่งค้างมาแต่ในรัชกาลที่ 6 ในตอนก่อนเสด็จสวรรคต”
ปัญหาทางเศรษฐกิจของราชสำนัก ในขณะนั้น ม.จ.พูนพิศมัยทรงบันทึกไว้ในบท “เศรษฐกิจตกต่ำและเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือ” ตอนหนึ่งว่า “ฉะนั้น ข้อแรกก็ต้องสางบัญชีในราชสำนัก ได้ความว่ารายจ่ายท่วมรายรับจนมีหนี้อยู่ราว 4-5 ล้านบาท บัญชีรายจ่ายมีหลักฐานอยู่ว่าเพียงค่าไฟฟ้าส่วนพระองค์ก็เดือนหนึ่งถึง 200,000 บาท และยังมีบ้านข้าราชการบางบ้านที่ใช้เปล่า โดยไม่ต้องเสียทั้งค่าติดและแรงไฟ”
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ในทศวรรษ 2470 เกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญคือ ราคาข้าวตกต่ำลงถึง 2 ใน 3 ชาวนาสูญเสียที่ดิน และภาวะหนี้สินเพิ่มขึ้น โรงงานและธุรกิจทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดปิดตัวลง การว่างงานเพิ่มขึ้น สถานการณ์ความยุ่งยากทางเศรษฐกิจส่งผลต่อวิกฤติการณ์การเงินและการคลังของทั้งรัฐบาลและราชสำนัก

เมื่อรัชกาลที่ 7 เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี 2468 ภาวะการเงินและการคลังของสยามอยู่ในภาวะตึงตัว ในปี 2469 มีการตัดงบประมาณของราชสำนักและงบประมาณที่จัดสรรแก่กรมพระคลังข้างที่ลงร้อยละ 37 รวมทั้งมีการลดจำนวนข้าราชการ ตัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย
นโยบายการคลังในช่วงปี 2474 จึงเข้มงวดการใช้จ่าย รัชกาลที่ 7 ทรงดำเนินพระราโชบายตัดรายจ่าย เช่น โปรดให้ลดเงินงบประมาณรายจ่ายส่วนพระองค์จากเดิมปีละ 9 ล้านบาท เหลือปีละ 6 ล้าน มีการปลดข้าราชการ ชาวราชสำนักออกจากตำแหน่ง ยุบมณฑลต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งงดจ่ายเบี้ยเลี้ยงและเบี้ยกันดารแก่ข้าราชการ และประกาศเพิ่มภาษีราษฎรบางรายการ
เหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำ และปัญหาที่ยุ่งเหยิงในการปรับ-ปลด-ลด ข้าราชการ ส่งผลสะเทือนต่อข้าราชสำนัก ทหาร และประชาชน จึงมีการกล่าวกันว่า ปัญหาเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการนำไปสู่การปฏิวัติการเปลี่ยนการปกครอง ในปี 2475
ม.จ.พูนพิศมัยทรงนิพนธ์ไว้ว่า “ในเรื่องราชสำนักนั้น ควรกล่าวได้ว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างตรงข้ามหรือที่ฝรั่งเรียกว่า re-action ของรัชกาลก่อนนั่นเอง เหตุด้วยคนโดยมากเห็นอย่างเดียวกันว่าในหลวงพระองค์ก่อนทรงถูกล้อมรอบไปด้วยขุนนางที่รู้จักแต่ความรักตัว ไม่เหมือนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงคลุกคลีอยู่กับเจ้านายพี่น้อง ซึ่งอย่างไรก็จะต้องมีส่วนได้เสียในคำว่า-จักรี-ผูกพันอยู่ด้วย”
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงหันไปทางเจ้าและกดข้าราชการ โดยเฉพาะในราชสำนัก เพื่อให้เห็นว่าจะเป็นอย่างในรัชกาลก่อนอีกไม่ได้”
“แต่เผอิญเจ้าในรัชกาลที่ 7 นี้ ผิดกันไกลกับเจ้าในรัชกาลที่ 5 กล่าวคือ ทั้งยศศักดิ์และการเล่าเรียนรู้เห็น เพราะเจ้าในรัชกาลที่ 5 เป็นน้องยาเธอที่ได้ทรงร่วมทุกข์เห็นสุขมากับสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ได้ทรงเล่าเรียนรู้เห็นมาในเมืองไทยนี้เองด้วยกัน ครั้นถึงเวลาทำงานก็ต้องรับผิดชอบเต็มสติปัญญาต่าง ๆ กันตามหน้าที่ ต้องรู้จักทั้งสถานที่และน้ำใจคนมาแต่ทรงพระเยาว์ ก็ย่อมจะต้องเป็นประโยชน์ยิ่งแด่สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอยู่เอง”
“ส่วนเจ้านายใน รัชกาลที่ 7 นี้เป็นนักเรียนนอกด้วยกันโดยมาก ที่ไม่ใช่นักเรียนนอก ก็เป็นพวกที่ไม่มี education เลย ความรู้ในเรื่องเมืองไทยจึงไม่มีพอที่จะมีสูงยิ่งกว่าคนสามัญ ทั้งทางยศศักดิ์ก็เป็นเพียง cousins และหลานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เคยมีทางที่จะได้ร่วมรู้ร่วมทุกข์หรือสุขกับพระเจ้าแผ่นดินมาเลย”
“ส่วนเจ้าที่ดี ๆ ก็มีแต่จะหมดไปตามอายุ แม้ที่เหลืออยู่ก็ต้องระวังรักษาผิว เพราะ…และ…เป็นยักษ์ยืนรักษาประตูอยู่อย่างวัดอรุณฯ จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ฉะนั้นพวกที่ล้อมรอบในหลวงอยู่เป็นประจำวันก็คือ…”

ในพระนิพนธ์ดังกล่าว ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล ระบุรายชื่อเจ้านายที่ใกล้ชิดรัชกาลที่ 7 ไว้ ดังนี้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ ม.จ.พูนพิศมัยทรงนิพนธ์ไว้ว่า “เป็นพวกหลาน และเด็กอื่น ๆ ที่ในหลวงทรงเลี้ยงไว้ในวังด้วย จนถึงเวลาไปยุโรปหรือแต่งงานไปก็หลายคน” เช่น
“และเด็กอื่น ๆ อีก 2-3 คน มีแขกประจำคือ พระธิดาทูลกระหม่อมบริพัตร 5 พระองค์ และพวกหม่อมเจ้าวังต่าง ๆ อีก 2-3 คนที่ไปมาได้เสมอ” พระนิพนธ์ระบุ

ทั้งนี้ ราชสกุลที่ใกล้ชิดรัชกาลที่ 7 ต่อมามีพระนามเป็นบุคคลที่ได้รับพระราชมรดกด้วย ทั้งพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต พระราชโอรสบุญธรรมในรัชกาลที่ 7 และพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช คำบันทึกของคุณหญิงมณี สิริวรสาร อดีตสะใภ้หลวง หรือ “หม่อมมณี” ที่เขียนไว้เป็นหนังสือ ชื่อ “ชีวิตเหมือนฝัน” เล่าว่า พระราชพินัยกรรมฉบับนี้เกี่ยวกับทรัพย์สินของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทรงยกทรัพย์สินที่เป็นผลประโยชน์ทั้งหมดให้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี และพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต ได้ส่วนแบ่งคนละครึ่งเท่า ๆ กัน
“เงินผลประโยชน์ทั้งหมดนี้ได้ทรงตั้งเป็นทรัสต์ฟันด์ (Trust Fund) ให้ทายาททั้งสองพระองค์แบ่งรายได้จากเงินต้นคนละเท่า ๆ กัน แต่ให้เก็บได้เพียงดอกเบี้ย มิให้ทายาทมีสิทธิแตะต้องเงินต้นได้ แต่เมื่อสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีสิ้นพระชนม์เมื่อใด ให้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดตกเป็นของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ หรือทายาทของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์แต่ผู้เดียว” บันทึกของคุณหญิงมณีระบุ “ส่วนตำหนักเวนคอร์ตนั้นทรงยกให้พระองค์เจ้าจิรศักดิ์ หรือทายาทของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ และสิทธิการเช่าระยะยาวของตำหนักคอมตันเฮาส์นั้นทรงยกให้พระองค์เจ้าวรานนท์ รวมทั้งเครื่องเรือนเครื่องใช้ทั้งหมดในตำหนักก็ให้ตกเป็นของพระองค์เจ้าวรานนท์ด้วย”
สำหรับกลุ่มเจ้านายที่ใกล้ชิดพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินี ในรัชกาลที่ 7 ประกอบด้วย นางสนองพระโอษฐ์ ดังนี้
1. คุณหญิงมโนปกรณ์นิติธาดา
2. คุณหญิงเนื่อง บุรีนวราฐ
3. หม่อมหลวงคลอง ไชยยันต์
4. หม่อมพร้อย กฤดากร ณ อยุธยา
อนึ่ง ชื่อ-สกุล ของคุณหญิงเนื่อง ที่สะกดในปัจจุบัน ตามบันทึกของบุตรหลานในหนังสือ “ชิต สงหเสนี ผู้บริสุทธ์” ระบุไว้ว่า “คุณหญิงเนื่อง บุรีนวราษฐ์ บุตรีพระยาสิงหเสนี ศรียามเมนทรสวามิภักดิ์ (สอาด สิงหเสนี) เป็นภรรยาพระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) มารดาหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน ชายาหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท”
สำหรับรายชื่อกลุ่มนางพระกำนัล พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินีในรัชกาลที่ 7 ประกอบด้วย
1. ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ เทวกุล
2. นางสาวกอบแก้ว วิเศษกุล
3. นางสาววรันดับ บุนนาค
4. นางสาวสดับ บุนนาค
5. นางสาวโพยม ณ นคร
ในบทที่กล่าวถึง “เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475” ม.จ.พูนพิศมัยทรงนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งว่า…
“เมืองไทยมีโรคหลายอย่างดังเล่ามา เหมือนคนที่เจ็บเป็นโรคเรื้อรรังไม่มีทางรักษา เพราะแก้การศึกษาไม่ทันเสียแล้ว พอหมดกำลังลงก็พอดีเชื้อโรคลุกลามมาทุกทิศทุกทางดังแกล้งให้เกิดขึ้น”
“ทางฝ่ายพระราชวงศ์ก็อ่อนแอลง เพราะการแข่งดีกันเอง โดยไม่ทำดีอะไรให้คนนับถือ ก็เลยเป็นเครื่องมือให้พวกก่อการยุยงคนให้เกลียดชังได้เร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เสียงเกลียดเจ้า ค่อย ๆ เริ่มขึ้นจนถึงแสดงกิริยาเปิดเผยขึ้นทุกที แล้วก็ลามขึ้นไปถึงพวกเสนาบดี กับอภิรัฐฯ มีเรื่องขุ่นเคืองกันแทบทุกประชุม เมื่อเถียงทะเลาะกนแล้วก็นำเอาออกมาเล่าด้วย เห็นว่าตัวเป็นฝ่ายถูก เรื่องเหล่านี้ก็กึกก้องต่อเติมกันยิ่งขึ้นทุกที…”
ในตอนท้ายสมัยรัชกาลที่ 7 ม.จ.พูนพิศมัย ทรงบันทึกไว้ว่า “ในเวลาที่ข้าพเจ้าเขียนหนังสือนี้ พ.ศ.2486 ได้เพียรวิ่งสืบถามถึงการศึกษาและการงานที่ได้ทรงทำไว้ก่อนเสวยราชย์ ยังไม่มีใครกล้าจะรับ หาหลักฐานไม่ได้…แต่ดูในราชกิจนานุเบกษา และถามจากพวกเจ้า และขุนนางเก่า ๆ ได้ 2-3 คน…ก็มีที่ซื่อตรงจงรักภักดีจริง ๆ เพียง 4-5 คน”
อนึ่ง ตัวสะกดรายชื่ออื่นที่ปรากฏ เป็นการสะกดตามต้นฉบับพระนิพนธ์ของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล
***ข้อมูลบางส่วน จากหนังสือ สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น พระนิพนธ์ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล และหนังสือ ชิต สิงหเสนี ผู้บริสุทธ์