ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ > KKP มองตลาดหุ้นไทย สดใสครึ่งปีหลัง ประเมินดัชนี SET ปลายปีโต 10 เปอร์เซนต์

KKP มองตลาดหุ้นไทย สดใสครึ่งปีหลัง ประเมินดัชนี SET ปลายปีโต 10 เปอร์เซนต์

22 กุมภาพันธ์ 2024


ข่าวประชาสัมพันธ์

บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ออกรายงานกลยุทธ์การลงทุนฉบับแรก โดยนายแดเนียล มาร์ค ไฟน์แมน นักวางแผนกลยุทธ์การลงทุนหุ้น มองว่าตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโต เเม้ภาพรวมการลงทุนในครึ่งแรกของปี 2024 อาจยังไม่สดใส แต่ผลตอบแทนจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี ตลอดจนการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บล.เกียรตินาคินภัทร ประเมินดัชนี SET ณ สิ้นปี 2024 ที่ 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้น 10% จากระดับในปัจจุบัน ด้วยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ ราคาหุ้นไทยที่ไม่แพง ผลประกอบการมีโอกาสเติบโตด้วยแรงหนุนจากปัจจัยเชิงวัฏจักร และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้

ดังนั้น บล.เกียรตินาคินภัทร แนะนำพิจารณาเลือกซื้อหุ้นที่

  1. กำไรในปัจจุบันยังอยู่ต่ำกว่ากำไรในอดีตมาก
  2. ได้ประโยชน์สูงจากการลดอัตราดอกเบี้ย
  3. มีอัตราการถือของนักลงทุนต่างชาติในระดับต่ำ
  4. อยู่อันดับต้นๆ ของการประเมินมูลค่าตาม valuation scorecard ของบล.เกียรตินาคินภัทร
  5. เป็นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากเทรนด์การลงทุนรถไฟฟ้า EV  โดยหุ้น large และ mid-cap ที่เลือกคือ CPALL, SCB, MINT, TOP, AWC  และหุ้น small-cap คือ WHA, OSP, PLANB, SPALI, DIF

อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีปัจจัยความเสี่ยงได้แก่ (1) การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน (2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (3) ธปท.ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ (4) การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน

ในรายงานกลยุทธ์การลงทุนดังกล่าว ซึ่งมีชื่อว่า A 2-3 Year Upcycleให้เหตุผลประกอบการวิเคราะห์ ดังต่อไปนี้

  1. ราคาหุ้นไม่แพง โดยหากไม่รวมช่วงโควิดและวิกฤติการเงินโลก P/E ของหุ้นไทยที่มีการปรับเชิงวัฎจักร (cyclically-adjusted P/E) อยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B) อยู่ระดับเกือบต่ำสุดในรอบ 20 ปี ในขณะที่ equity risk premium อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นไทยกำลังซื้อขายที่มูลค่าต่ำสุดในรอบหลายปี
  2. โอกาสการเติบโตของกำไร  Real GDP ของไทยในปีที่ผ่านมายังอยู่ในระดับต่ำกว่าแนวโน้มก่อนโควิดอยู่ 10% และกำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของ MSCI Thailand ยังตามหลัง GDP อยู่ถึง 26% ดังนั้น ในระยะข้างหน้า EPS น่าจะเริ่มเร่งตัวไล่ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตของ EPS เฉลี่ยต่อปี จะอยู่ที่ 12-15% ในระหว่างปี 2023-2026
  3. แรงหนุนจากปัจจัยเชิงวัฏจักร ถึงแม้เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายเชิงโครงสร้าง แต่ในระยะสั้นยังได้รับแรงส่งจากปัจจัยเชิงวัฎจักรที่จะกลับเป็นขาขึ้น โดยประเมินว่า 70% ของส่วนต่างระหว่างอัตรากำไรในปัจจุบันกับแนวโน้มก่อนโควิดมาจากปัจจัยเชิงวัฎจักรที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เช่น ภาคการส่งออก รวมถึงภาคการท่องเที่ยว และอัตราดอกเบี้ย และเนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีความสัมพันธ์ไปทางเดียวกับวัฎจักรเศรษฐกิจโลกมากที่สุดประเทศหนึ่งในเอเชีย ทำให้การเติบโตมีโอกาสเร่งขึ้นได้ในระยะปานกลาง รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐที่ล่าช้าไปในช่วงไตรมาสแรกของปี จะกลับมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกในช่วงครึ่งหลังของปี
  4. แรงกระตุ้นจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เราคาดว่าธปท.จะลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนสำคัญของตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมักมีผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงวัฎจักรขาลงของดอกเบี้ย  โดยประเมินเป้าหมายดัชนี SET ณ สิ้นปี 2024 ที่ 1,530 จุด หรือเพิ่มขึ้น 10% จากระดับปัจจุบัน และคาดหวังว่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้อีกในปีต่อไปเมื่อกำไรเริ่มปรับเป็นขาขึ้นที่ชัดเจน

ทั้งนี้ นายแดเนียล มาร์ค ไฟน์แมน นักวางแผนกลยุทธ์ ผู้นำการออกรายงานดังกล่าวของบล.เกียรตินาคินภัทร ทำงานวงการการเงินมากว่า 25 ปี ในบริษัทวาณิชธนกิจชั้นนำของโลก และเคยได้รับการเสนอชื่อจากนิตยสารวาณิชธนกิจให้เป็นนักวิเคราะห์หุ้นอันดับหนึ่งของไทย และนักวิเคราะห์หุ้นยอดเยี่ยมในเอเชียแปซิฟิก โดยก่อนมาร่วมงานกับบล.เกียรตินาคินภัทร รับผิดชอบการสรุปสถานการณ์การเงินในเอเชียให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังได้รับปริญญาเอกในภาควิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากมหาวิทยาลัยเยล และเป็นผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ไทยชื่อ “A Special Relationship”