ThaiPublica > ข่าวประชาสัมพันธ์ > KCG ประกาศแผนลงทุนหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุ่มงบกว่า 1,270  ล้านบาท ผุดศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบแช่แข็งครบวงจร

KCG ประกาศแผนลงทุนหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุ่มงบกว่า 1,270  ล้านบาท ผุดศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบแช่แข็งครบวงจร

10 สิงหาคม 2023


ข่าวประชาสัมพันธ์

‘บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น’ หรือ KCG เดินยุทธศาสตร์สู่การเติบโตยั่งยืน หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมลงทุนกว่า 1,270 ล้านบาท  สร้าง ‘KCG Logistics Park’ ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแห่งใหม่ พร้อมลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักรอัตโนมัติ ขยายกำลังการผลิตเนยและชีส ขานรับครึ่งปีหลังอุตสาหกรรมอาหารตะวันตกและเบเกอรี่เติบโต หลังภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวเร็วกว่าคาดการณ์และตลาดก้าวสู่ช่วงไฮซีซั่น หนุนความต้องการผลิตภัณฑ์ของกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มผู้ประกอบการพุ่ง ดันรายได้เติบโตตามเป้าหมาย ด้านบล. บัวหลวง ชี้เป้าราคาหุ้นปี 2567 พุ่ง 12.0-14.6 บาท/หุ้น

ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าแผนการดำเนินงาน 3 ปี (2566-2568) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบการลงทุนกว่า 1,270 ล้านบาท โดยปี 2566-2567 ลงทุน 297 ล้านบาท เพื่อสร้าง “KCG Logistics Park” หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบกระสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient)  และคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจรที่สุด ณ โรงงาน เทพารักษ์ คาดจะแล้วเสร็จในปี 2567 ทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน จะใช้เงินลงทุน 47 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อรองรับแผนขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีสและเนย ที่โรงงานเทพารักษ์ รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่ โรงงานบางพลี รองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ  นอกจากนี้แผนงานครึ่งปีหลังของ KCG ได้ตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์เนยและชีส สอดรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและตอบโจทย์ความสะดวกสบาย รวมทั้งขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ร้านสะดวกซื้อ ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งกลุ่มผู้บริโภค (B2C) และกลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) อย่างต่อเนื่อง

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารตะวันตกและเบเกอรี่ในช่วงครึ่งปีหลังมีศักยภาพเติบโตสูง จากปัจจัยบวกของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร  จัดเลี้ยง  (HORECA) เพิ่มขึ้น อีกทั้งในช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม อาทิ ผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากนม กลุ่มผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต (Biscuits) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์คุกกี้ ผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ และผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ ของกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (B2C) และกลุ่มผู้ประกอบการ (B2B) ขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่ารายได้เติบโตได้ตามเป้าหมาย

ล่าสุด บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ของ KCG ที่ 6,518-7,936 ล้านบาท หรือเทียบเป็นราคา 12.0-14.6 บาท/หุ้น จากแผนงานสร้างการเติบโตอย่างชัดเจนในช่วงระยะ 2-3 ปีข้างหน้า  ประกอบกับธุรกิจมีความมั่นคงและยืดหยุ่น ฟื้นตัวเร็วจากวิกฤตโควิด รวมถึงมีผลิตภัณฑ์หลากหลายที่มีคุณภาพ และมีราคาที่สอดรับกำลังซื้อของทุกกลุ่มเป้าหมาย โดย Euromonitor คาดการณ์การเติบโตเฉลี่ย ของมูลค่าตลาดเนยและชีสในประเทศไทยปี 2566-2569  อยู่ที่ 6-8% ต่อปี จึงคาดการณ์กำไรที่มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2566-2568 อยู่ที่  20.3% จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์กลุ่มเดิม (organic growth) รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัว