ThaiPublica > ประเด็นร้อน > เลือกตั้งอย่างรับผิดชอบ 2566 > ไอลอว์ชี้มาตรา112 แค่ข้ออ้างไม่โหวต “พิธา”เป็นนายกฯ-วิวัฒนาการแก้ไขมาตรา 112 ในช่วง 200 ปี

ไอลอว์ชี้มาตรา112 แค่ข้ออ้างไม่โหวต “พิธา”เป็นนายกฯ-วิวัฒนาการแก้ไขมาตรา 112 ในช่วง 200 ปี

18 กรกฎาคม 2023


ไอลอว์เผยมาตรา 112 เป็นเพียงข้ออ้างของ ส.ว.ที่ไม่โหวตให้ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ระบุการแก้ไขมาตรา 112 มีวิวัฒนาการและการแก้ไขตามบริบทการเปลี่ยนของสังคมมาตลอด 200 ปี พร้อมระบุแก้ไขมาตรา 112 ควรเกิดขึ้นตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการไอลอว์ กล่าวถึงการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลว่าไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการโหวตไม่เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการแก้ไขกฎหมายเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติ และ ส.ส. พรรคก้าวไกลสามารถเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขได้

อย่างไรก็ตามแม้ว่าพรรคก้าวไกลจะเสนอแก้ไขมาตรา 112 ก็อาจจะไม่ได้รับความเห็นชอบในการแก้ไข โดยเฉพาะหากพรรคเพื่อไทยไม่ร่วมด้วยการแก้ไขก็เป็นไปได้ยากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ ส.ว.เองก็รู้กระบวนการเสนอกฎหมายอยู่แล้ว โดยเฉพาะนายคำนูณ สิทธิสมาน ทำหน้าที่ ส.ว.มานาน หลายปี ให้สัมภาษณ์ว่ารู้อยู่แล้วการเสนอแก้ไขกฎหมายเป็นกระบวนการฝ่ายนิติญัญัติ และแม้พรรคก้าวไกลเสนอเข้ามาอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะสภาไม่เห็นชอบ แต่ที่เขาโหวตงดออกเสียงไม่ให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสัญลักษณ์ว่าไม่เห็นด้วยกับการเสนอแก้ไข มาตรา 112

ดังนั้นการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ไม่ได้เป็นประเด็นหลักในการไม่โหวตให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่มีประเด็นอื่นๆมากกว่า ซึ่งเป็นที่ทราบว่า นโยบายพรรคก้าวไกลไม่ได้มีเพียงการแก้ไขมาตรา 112 แต่ที่การแก้ไขมาตรานี้ ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นหลักเพราะในช่วงการดีเบตที่ผ่านมาสื่อมวลชนให้ความสนใจในเรื่องนี้ ทำให้ทุกเวทีดีเบตมีคำถามว่าในเรื่องการแก้ไข มาตรา 112  และพรรคก้าวไกลก็ตอบชัดเจนว่าจะมีการเสนอแก้ไขมาตรานี้ จนทำให้กลายเป็นนโยบายหลักของพรรคก้าวไกล

นายยิ่งชีพเห็นว่าไม่เห็นด้วยหากพรรคก้าวไกลไม่เสนอแก้ไขกฎหมาย แม้ว่ามาตรา 112 เป็นนโยบายหนึ่งของพรรค และประชาชน 14 ล้านเสียงเลือกพรรคก้าวไกล แม้อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดที่ต้องการให้แก้ไขมาตรา112 แต่เมื่อได้สัญญากับประชาชนไว้ก่อนเลือกตั้งพรรคก้าวไกลต้องทำตามคำสัญญา และไม่เห็นด้วยหากพรรคก้าวไกลไม่ทำตามหลักการที่สัญญากับประชาชนไว้

วิวัฒนาการ “กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ในรอบ 200 ปี ตามบริบทสังคมการเมือง

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการแก้ไขมาตรา 112 เกิดขึ้นมาโดยตลอดจากบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยไอลอว์เสนอ บทความเรื่องวิวัฒนาการของ “กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์” ในรอบ 200 ปี ตามบริบทสังคมการเมือง

พบว่าในยุคการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ในยุคนี้พระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ พระมหากษัตริย์กับรัฐจึงเป็นเสมือนสิ่งๆ เดียวกัน โดยพระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวงในฐานะผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความความยุติธรรมในรัฐ ตามคติว่าด้วยสมมติเทพและธรรมราชา โดยเฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ การละเมิดต่อชื่อเสียงเกียรติยศของพระมหากษัตริย์จึงเท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายสูงสุดหรือทำลายความมั่นคงของรัฐ

โดยบทบัญญัตินี้กำหนดไว้ในกฎหมายตราสามดวง ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จากการชำระกฎหมายต่างๆ ในสมัยอยุธยา กฎหมายตราสามดวงกำหนดความผิดที่กระทำต่อพระมหากษัตริย์ไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะในพระอัยการอาชญาหลวง มาตรา 7 ได้บัญญัติความผิดฐานเจรจาหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัวและประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติและพระบันทูลโองการ เอาไว้ ความว่า

“ผู้ใดทะนงองอาจ์บ่ยำบ่กลัว เจรจาหยาบช้าต่อพระเจ้าอยู่หัว ประมาทหมิ่นพระราชบัญญัติ แลพระบันทูลพระโองการ ท่านว่าผู้นั้นเลมิดพระราชอาญาพระเจ้าอยู่หัว ท่านให้ลงโทษ 8 สถาน ๆ หนึ่งคือให้ฟันฅอ ริบเรือน ให้ตัดปากตัดหูตัดมือตัดตีนเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 25 ที 50 ที ให้จำไว้เดือนหนึ่ง แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ไหมจัตุระคูน แล้วเอาตัวลงเปนไพร่ ให้ไหมทวีคูน ให้ไหมลาหนึ่ง ให้ภาคทัณท์ไว้”

มาตรา 72 ความผิดฐานติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัว ความว่า

“ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่ากล่าวพระเจ้าอยู่หัวต่างต่าง พิจารณาเปนสัจ ให้ลงโทษ 3 สถานๆ หนึ่งคือ ให้ฟันฅอริบเรือน ให้ริบเอาสิ่งสีนแล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง ให้ทวนด้วยลวดหนังโดยสกัน 50 ที มิสกัน 25 ที”

และมาตรา 58 ความผิดฐานด่าผู้มีบรรดาศักดิ์ ความว่า “..ด่าท่านผู้มิบันดาศักดิ ท่านให้ลงโทษ 4 สถาน สถานหนึ่งคือ ให้แหวะปากลงโทษถึงสิ้นชีวิตร ให้ตัดปากเสีย ให้ทวนด้วยลวดหนัง 50 ที ไม้หวาย 25 ที ให้ไหมโดยยศถาศักดิ”

อย่างไรก็ตาม ลักษณะและโทษของการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ไม่ได้กินความหมายเพียงในมาตราดังกล่าวเท่านั้นแต่ยังปรากฏในบทบัญญัติอื่นๆกว่า 100 มาตราที่คุ้มครองการล่วงละเมิดต่อกษัตริย์ในด้านต่างๆ เช่น การมิได้ใช้ราชาศัพท์อันควร การโจมตีข้าราชการของกษัตริย์ หรือการกระทำใดๆต่อสัญลักษณ์ของกษัตริย์ เป็นต้น

พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118 ในสมัยรัชกาลที่ 5

ต่อมาเนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 การสื่อสารในรูปแบบเขียนและการพิมพ์เริ่มแพร่หลายในหมู่ประชาชน มีการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการบ้านเมืองหรือความประพฤติของข้าราชการ จึงมีการปรับปรุงกฎหมายเสียใหม่ให้เป็นระบบและมีอารยะมากขึ้น นำไปสู่การประกาศใช้ พระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดฤาเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ ร.ศ.118 ในสมัยรัชกาลที่ 5

พระราชกำหนดนี้ ระบุความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไว้ในมาตรา 4 ความว่า

“ผู้ใดหมิ่นประมาทพระผู้เปนเจ้าซึ่งดำรงสยามรัฐมณฑลฤาสมเด็จพระอรรคมเหษีฤาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ดี…โดยกล่าวเจรจาด้วยปาก ฤาเขียนด้วยลายลักษณอักษร ฤากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่เปิดเผยท่ามกลางประชุมชนทั้งหลาย ด้วยกายวาจาอันมิบังควรซึ่งเป็นที่ แลเห็นได้ชัดว่าเปนการหมิ่นประมาทแท้ …ให้จำคุกไว้ไม่เกินกว่า 3 ปี ฤาให้ปรับเปนเงินไม่เกินกว่า 1500 บาท ฤาทั้งจำคุกแลปรับด้วย…”

กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127

ด้วยกระแสรัฐสมัยใหม่จากตะวันตก ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีการปฏิรูปกฎหมายและศาลนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ซึ่งมีการเพิ่มโทษฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ให้สูงขึ้นด้วย กฎหมายนี้ กำหนดความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระบรมราชตระกูลไว้ในส่วนที่ 1 มาตรา 98 ความว่า

“ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระมเหษีก็ดี มกุฎราชกุมารก็ดี ต่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลารักษาราชการต่างพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินกว่าเจ็ดปี แลให้ปรับไม่เกินกว่า ห้าพันบาท อีกโสดหนึ่ง”

และมาตรา 100 ความว่า

“ผู้ใดทนงองอาจ แสดงความอาฆาฎมาดร้ายหรือหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ารัชกาลหนึ่งรัชกาลใด ท่านว่าโทษของมันถึงจำคุกไม่เกินสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาทด้วยอีกโสดหนึ่ง”

นอกจากนี้ยังมีการกำหนดความผิดจากการทำให้เกิดการดูหมิ่นและขาดความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ในหมวด 2 ว่าด้วยความผิดฐานกบฎภายในพระราชอาณาจักรมาตรา 104 ไว้ด้วย ความว่า

“ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ด้วยประการใดใด โดยเจตนาต่อผลอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ว่าต่อไปในมาตรานี้ คือ (1) เพื่อจะให้ขาดความจงรักภักดีหรือดูหมิ่น ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี ต่อรัฐบาลก็ดี หรือต่อราชการแผ่นดินก็ดี…ท่านให้เอามันผู้กระทำการอย่างใดใดโดยเจตนาเช่นว่ามานี้ ลงอาญาจำคุกไม่เกินกว่าสามปี แลให้ปรับไม่เกินกว่าพันบาทด้วยอีกโสตหนึ่ง”

กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 โทษจำคุกไม่เกิน 10ปี ปรับไม่เกิน5,000 บาท

ซึ่งต่อมาในพ.ศ. 2470 ปลายสมัยรัชกาลที่ 7 มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาคอมมิวนิสต์ จึงแก้ไขเพิ่มเติมใน (1) เป็นให้การสั่งสอนทฤษฎีการเมืองหรือเศรษฐกิจเพื่อให้บังเกิดความเกลียดชังดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือเกิดความเกลียดชังระหว่างชนชั้น เป็นความผิด มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จะเห็นได้ว่ากฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ให้ความคุ้มครองอย่างกว้างขวางกว่ากฎหมายฉบับก่อนๆ และมีการเพิ่มคำว่าแสดงความอาฆาตมาดร้ายเข้ามาเป็นครั้งแรกด้วย

พระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2470

ในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงมีการออกพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ.2465 มาตรา 5 กำหนดให้บทประพันธ์ที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อจะยุยงให้กระทำความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวและราชอาณาจักรเป็นบทประพันธ์ประเภท “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” ซึ่งเป็นความผิดกำหนดโทษกรณี “…เมื่อได้พิมพ์ขึ้นในกรุงสยาม…ผู้ประพันธ์บรรณาธิการและเจ้าของ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาทหรือทั้งจำและปรับทั้งสองสถาน”

ต่อมาในพ.ศ. 2470 มีการออกเป็นกฎหมายฉบับใหม่กำหนดคำว่าเสี้ยนหนามแผ่นดินในมาตรา 6(5) ว่าคือบทประพันธ์ “..อันมีความมุ่งหมายทางตรงหรือทางอ้อม คือโดยอนุมานก็ดีแนะก็ดี กล่าวกระทบก็ดีกล่าวเปรียบก็ดี โดยปริยายหรือประการอื่นก็ดี เพื่อจะ ให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฤารัฐบาล ฤาราชการแผ่นดิน…”

ยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

24 มิถุนายน 2475 เกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบรูณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยโดยคณะราษฎรที่ยืนยันว่าอำนาจสูงสุดในรัฐเป็นของประชาชน ตำแหน่งพระมหากษัตริย์จึงเปลี่ยนสถานะจากเจ้าของอำนาจรัฐผู้อยู่เหนือกฎหมายไปสู่ตำแหน่งประมุขของรัฐ เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่จำกัดภายใต้รัฐธรรมนูญ

แม้จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแล้ว แต่กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามกฎหมายลักษณะอาญาฯ ยังคงดำรงอยู่ต่อเนื่องมา และถูกใช้ในฐานะเป็นกฎหมายที่คุ้มครองชื่อเสียงเกียรติยศพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐซึ่งรวมถึงสมเด็จพระมเหษี มกุฎราชกุมาร และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วย

ในรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 ยังบัญญัติให้“องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ซึ่งหลักการนี้ส่งผลต่อการขยายขอบเขตในการตีความความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ในเวลาต่อมา และความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ยังคงผูกโยงเข้ากับความผิดต่อความมั่นคงของรัฐเช่นเดียวกับในระบอบเก่า

แก้ไขกฎหมายลักษณะอาญา ลดโทษและกำหนดบทยกเว้นความผิด

ในปี พ.ศ.2478 รัฐสภา ยกเลิกมาตรา 100 ของกฎหมายลักษณะอาญาฯ ที่กำหนดความผิดฐานหมิ่นประมาทต่อพระราชโอรส พระราชธิดา เป็นพิเศษ ทั้งนี้ตามหลักความเสมอภาคของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ2475ในขณะนั้นซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมเสมอภาคกันในทางกฎหมาย ฐานันดรศักดิ์ โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นก็ดี ไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิอย่างใดเลย”

ต่อมา ในปีพ.ศ.2477 มีการแก้ไขในมาตรา 104 (1) ของประมวลกฎหมายลักษณะอาญาฯ เป็นว่า “ผู้ใดกระทำการให้ปรากฏแก่คนทั้งหลายด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร หรือเอกสารตีพิมพ์ หรือด้วยอุบายอย่างใดๆ ดังต่อไปนี้ ก) ให้เกิดความดูหมิ่นต่อพระมหากษัตริย์ หรือรัฐบาล หรือข้าราชการแผ่นดินในหมู่ประชาชนก็ดี…. ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินกว่า 7 ปี และให้ปรับไม่เกินกว่าสองพันบาท ด้วยอีกโสตหนึ่ง

แต่ถ้าวาจา หรือลายลักษณ์อักษร หรือเอกสารตีพิมพ์ หรืออุบายอย่างใดๆ ที่ได้กระทำไปภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต หรือเป็นเพียงการติชมตามปกติวิสัย ในบรรดาการกระทำของรัฐบาลหรือของราชการแผ่นดิน การกระทำนั้นไม่ให้ถือว่าเป็นความผิด” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ปรากฎบทบัญญัติยกเว้นความผิดที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ โดยเป็นการให้คุณค่ากับสิทธิเสรีภาพของประชาชน การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ

ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 จุดเริ่มต้นมาตรา 112

ในช่วงทศวรรษ 2490 กลุ่มอำนาจฝ่ายนิยมสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามฟื้นฟูสถานะและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในฐานะความเป็นชาติดังเช่นระบอบเก่า ขณะที่คณะราษฎรเริ่มหมดอำนาจทางการเมือง และการเมืองของโลกอยู่ในช่วงสงครามเย็นที่มีการโจมตีระบอบกษัตริย์โดยแนวคิดคอมมิวนิสต์

จึงมีการตราประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ.2499 ขึ้นใช้แทนกฎหมายลักษณะอาญา ฉบับเดิม โดยย้ายบทบัญญัติมาตรา 98 ของกฎหมายลักษณะอาญาไปอยู่ในมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายใหม่ โดยยกเลิกบทยกเว้นความผิดพร้อมแก้ไขเนื้อความเป็นว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี” โดยมาตรา 112 ถูกบัญญัติไว้ในหมวดความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

ในยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ช่วงทศวรรษ 2500 การหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ถูกนำไปผูกเข้ากับความผิดต่อความมั่นคงแห่งรัฐ เช่น การเป็นคอมมิวนิสต์ นำไปสู่ดำเนินการกำจัดและกวาดล้างศัตรูทางการเมือง เช่น กรณีการประหารชีวิตนายครอง จันทดาวงศ์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีแผนร้ายในการทำลายประเทศชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ลบหลู่พระบรมเดชชานุภาพอย่างร้ายแรงความมั่นคงของรัฐกลายเป็นวาทกรรมใหม่ที่รับรองการใช้ข้อหาหมิ่นฯในลักษณะที่ขยายความหมายให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังการปฏิวัติซ้ำของจอมพลสฤษดิ์ 20 ตุลาคม 2501 คดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นถูกดำเนินคดีในศาลทหารอีกด้วย

ต่อมายุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มีการสถาปนาบทบาทใหม่ของกษัตริย์ ผ่านวาทะกรรมที่เชื่อมกษัตริย์เข้ากับประชาธิปไตยนอกจากชาติด้วย เรียกว่า ราชาชาตินิยมประชาธิปไตยซึ่งได้สร้างสถานะกษัตริย์ที่อยู่เหนือการเมืองขึ้นใหม่ที่มองว่าการเมืองเป็นสิ่งที่มีลักษณะที่ฉ้อฉลสกปรก พระราชกรณียกิจและพระราชอำนาจต่างๆ ไม่ถูกเข้าใจเป็นเรื่องทางการเมืองไปด้วยการคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์บทบาททางการเมืองของสถาบันตามปกติจึงอาจถูกให้ความหมายเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ได้เช่นกัน บริบทช่วงนี้ความหมายของ การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ยังซ้อนทับเข้ากับการกระทำ คอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้นจนแทบเป็นสิ่งเดียวกันด้วย ความหมายของการหมิ่นฯจึงมีแนวโน้มจะถูกตีความอย่างกว้างขวางเท่ากับเป็นการมุ่งล้มล้างทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ไปด้วย

แก้ไขเพิ่มโทษสูงสุดเป็น 15 ปี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519

ข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ขึ้นสู่จุดที่รุนแรงที่สุดในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จากกรณีการแสดงละครแขวนคอของนักศึกษา อันเป็นที่มาของการปลุกระดมและนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ภาพลักษณ์ของคอมมิวนิสต์และขบวนการนักศึกษาประชาชน และความกลัวต่อการคุกคามสถาบันกษัตริย์จากสงครามเย็นในช่วงเวลานั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวบทของมาตรา 112

หลังการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งอ้างในแถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยึดอำนาจว่ามี “กลุ่มบุคคล…ได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันเป็นการเหยียบย้ำจิตใจของคนไทยทั้งชาติ โดยเจตจำนงทำลายสถาบัน…ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนคอมมิวนิสต์ที่จะเข้ายึดครองประเทศไทย…”

และต่อมาได้ออกคำสั่งให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็น “มาตรา ๑๑๒ ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”