ThaiPublica > Native Ad > กสิกรไทยตั้ง “Beacon Impact Fund” เงินลงทุน 1.2 พันล้านบาท อัดฉีดสตาร์ทอัพ-ธุรกิจด้าน ESG

กสิกรไทยตั้ง “Beacon Impact Fund” เงินลงทุน 1.2 พันล้านบาท อัดฉีดสตาร์ทอัพ-ธุรกิจด้าน ESG

10 มีนาคม 2023


นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี)

จากความสำเร็จของ บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (บีคอน วีซี) ในฐานะ Corporate Venture Capital Fund หนึ่งในผู้นำด้านการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ จากธนาคารกสิกรไทย กับกองทุน Synergistic Fund ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้าง Synergy กับธนาคาร (กองทุน 1) และ กองทุน Opportunistic Fund ที่เน้นลงทุนในสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยี (กองทุน 2) สู่การประกาศจัดตั้งกองทุนที่ 3 ในชื่อ Beacon Impact Fund ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 1,200 ล้านบาท หรือประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (ESG)

นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) กล่าวว่า บีคอน วีซี เห็นถึงโอกาสในการสนับสนุนสตาร์ทอัพที่มุ่งแก้ปัญหาที่โลกและมนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ บนความเชื่อว่าผู้บริโภคมีความต้องการที่จะสนับสนุนสินค้าและบริการที่สอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืนและ ESG

ขณะเดียวกัน หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการเงิน และองค์กรขนาดใหญ่ล้วนกำลังมองหานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยให้องค์กรของตนสามารถปรับตัวเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการสร้างสมดุลของโลก โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม

จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้ บีคอน วีซี จึงได้จัดตั้งกองทุน Beacon Impact Fund พร้อมประกาศเป็นผู้นำด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน ESG ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 1,200 ล้านบาท หรือประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อแสวงหาบริษัทสตาร์ทอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืน วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และมีศักยภาพที่จะสามารถขยายผลไปในวงกว้าง สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ และเจตนารมณ์ของธนาคารกสิกรไทย ที่มีความมุ่งมั่นจะยกระดับการดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืน

นายธนพงษ์ ให้ข้อมูลว่า กองทุน Beacon Impact Fund มีนโยบายลงทุนในบริษัทที่อยู่ในช่วง Post-revenue หรือสามารถสร้างรายได้แล้ว มีฐานลูกค้าที่ชัดเจน และสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์เม็ดเงินลงทุน 1-2 ล้านเหรียญต่อบริษัท มุ่งเน้นบริษัทสตาร์ทอัพแสวงหาผลกำไร ที่มีแนวคิดดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างผลกระทบเชิงบวกมิติต่างๆ ในด้าน ESG อาทิ

ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment): มุ่งเน้นธุรกิจที่ช่วยลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านการลดการใช้พลังงานฟอสซิล (Decarbonization) การลดขยะและการผลิตเกินความจำเป็น (Waste Reduction) และการลดผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Adaptation)

ด้านสังคม (Social): มุ่งเน้นธุรกิจที่สร้างความเท่าเทียมและการเข้าถึงด้านการเงินและเทคโนโลยี (Financial and Digital Inclusion) การสร้างความรู้ความเข้าใจและวินัยด้านการเงินและเทคโนโลยี (Financial and Digital Literacy) และการสร้างการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ (Access to Health Care)

ด้านธรรมาภิบาล (Governance): มุ่งเน้นธุรกิจที่ปกป้องสิทธิผู้บริโภค (Consumer Protection) การสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Visibility) และการสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ (Business Transparency)

นายธนพงษ์ เสริมว่า บีคอน วีซี จะมองหาโอกาสในการสร้างร่วมมือและพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่ได้ลงทุนไปแล้ว หรือ Portfolio Company ต่างๆ ครอบคลุมธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) เพื่อผลักดันแนวคิดแห่งความยั่งยืนและสนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวกให้แก่บริษัทสตาร์ทอัพและพนักงานของสตาร์ทอัพเหล่านั้นอีกด้วย

ที่ผ่านมา บีคอน วีซี ได้พูดคุยกับสตาร์ทอัพจากโครงการ KATALYST STARTUP LAUNCHPAD และได้เจรจากาารลงทุนถึง 10 บริษัท ทั้งหมดดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและ ESG โดยตัวอย่างบริษัทที่บีคอน วีซี เข้าไปลงทุน คือ ธุรกิจแปลงเครื่องยนต์น้ำมันเป็นรถ EV

ทั้งนี้ นายธนพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า บีคอน วีซี จะเป็นกุญแจสำคัญในการสนับสนุนสตาร์ทอัพที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้ประเทศไทยและโลกได้ จึงมีความหวังว่าการหันมาเริ่มลงทุนในธุรกิจกลุ่ม ESG ของบีคอน วีซี และธนาคารกสิกรไทย จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับองค์กรและหน่วยงานลงทุนต่างๆ ในทุกระดับความสามารถ ให้หันมาสร้างนโยบายการลงทุนเชิงรุกในหมวดธุรกิจ ESG โดยให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงบวกต่อโลกและสังคม