ThaiPublica > Native Ad > จับสัญญาณลงทุนทำกำไรในโค้งสุดท้ายปี64
รับตลาดการเงินโลกฟื้นตัว พร้อมเจาะลึกโอกาสใหม่นักลงทุนไทย สามารถซื้อขายกองทุนต่างประเทศผ่านแอปFinVestได้เองโดยตรง

จับสัญญาณลงทุนทำกำไรในโค้งสุดท้ายปี64
รับตลาดการเงินโลกฟื้นตัว พร้อมเจาะลึกโอกาสใหม่นักลงทุนไทย สามารถซื้อขายกองทุนต่างประเทศผ่านแอปFinVestได้เองโดยตรง

12 ตุลาคม 2021


เศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวหลังสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลงบ้างแล้ว หลายประเทศเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในประเทศไทยเอง คนก็ให้ความสนใจกับ ‘การลงทุน’ มากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์ปี 2563 จำนวนไม่น้อยเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการหาความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองผ่านการลงทุนรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะ ‘กองทุน’ เนื่องจากมีความเสี่ยงในระดับที่คนส่วนใหญ่ไม่เจ็บตัวนัก ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยภายใต้สภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังหดตัวถือว่ามีความผันผวนสูง ส่วนการลงทุนในเหรียญดิจิทัลก็มีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน

หนึ่งในเทรนด์การลงทุนที่เห็นได้ชัดเจนคือ การลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงมากกว่าการกระจุกการลงทุนเฉพาะในประเทศ

ปัจจุบัน ตลาดหุ้นและตลาดกองทุนต่างประเทศ มีความหลากหลายและเติบโตอย่างรวดเร็วมาก ทำให้นักลงทุนที่เข้าซื้อสามารถเติบโตได้ก้าวกระโดด เช่น กองทุน Healthcare ที่ลงทุนตรงในบริษัทที่ผลิตวัคซีนหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ หรือกองทุนด้านเทคโนโลยี พลังงานสะอาด ยานยนตร์อัจฉริยะ ฯลฯ ที่นวัตกรรมในต่างประเทศก้าวหน้ารวดเร็วกว่าในประเทศไทย

งานสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “ติดปีกการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ” จัดโดยแอปพลิเคชันเพื่อการลงทุน FinVest ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนไปตลาดหุ้นต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรในช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และเจาะลึกแนวโน้มการลงทุนในเทคโนโลยีที่พัฒนาตาม Megatrend ระดับโลกและกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลอดจนกระจายความเสี่ยงจากเศรษฐกิจไทยที่ยังหดตัว

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ประกอบด้วย นายกิตติ สุทธิอรรถศิลป์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงาน Strategic Initiatives & Industry Utility ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Robowealth และตัวแทนนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ. Proud Real Estate ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564

ทิศทางการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว และกระแสลงทุนทั่วโลกแบบ Thematic Investment ที่กำลังมาแรง

นายกิตติ สุทธิอรรถศิลป์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงาน Strategic Initiatives & Industry Utility ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายกิตติ สุทธิอรรถศิลป์ กล่าวว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา คนไทยตื่นตัวเรื่องการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเปิดพอร์ตฟอลิโอสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 200,000 รายการ และให้ความสนใจในตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างมาก ส่งผลให้มูลค่ากองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ FIF มีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของตลาดกองทุนรวม

นายชลเดช เขมะรัตนา เผยว่า สาเหตุที่นักลงทุนไทยสนใจลงทุนตลาดต่างประเทศกันมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่แล้ว มาจากที่ตลาดหุ้นโลกเริ่มรีบาวด์หลังจากที่เคยลงไปทำจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ทั้งนี้ จากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทั่วโลกในรูปแบบ K-Shaped recovery โดยประเทศที่จัดอยู่ในขาบนของตัว K ซึ่งฟื้นตัวได้เร็วก่อนเพื่อนคือประเทศจีน-อเมริกา รวมทั้งอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เฮลท์แคร์ พลังงานสะอาด EV เทคโนโลยี ในขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มขาล่างของตัว K เช่น ภาคการท่องเที่ยว สายการบิน รวมทั้งประเทศที่ GDP อิงกับอุตสาหกรรมดังกล่าว เช่นประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนา ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ได้ดีเท่าที่ควร ดังนั้น จึงทำให้แนวทางการลงทุนแบบ Thematic Investment ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเป็นรูปแบบการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับศักยภาพอุตสาหกรรมในแต่ละ Theme ตาม Megatrends โดยไม่จำกัดตลาดหรือประเทศที่จะลงทุน และไม่มี Home Bias ว่าต้องลงทุนเฉพาะในประเทศตนเองเท่านั้น

การลงทุนแบบนี้ทำให้นักลงทุนเข้าถึงรูปแบบการลงทุนที่หลากหลายทั่วโลก โดยเฉพาะบางธุรกิจเป็นกลุ่มที่ยังไม่ครอบคลุมในตลาดหุ้นไทย เช่น เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีการแพทย์

ทั้งนี้ สมัยก่อนการลงทุนแบบ Thematic ทำได้ค่อนข้างยากเพราะต้องลงทุนในหุ้น Offshore รายตัว ซึ่งต้องมีเงินหลักแสนหรือหลักล้านสำหรับการลงทุนขั้นต่ำ ส่วนการลงทุนแบบ Feeder Fund ที่เป็นการลงทุนในกองทุนรวมในประเทศไทยที่มีนโยบายไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศทำให้นักลงทุนต้องเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อให้ทั้งกองทุนแม่และกองทุน feeder fund ในไทยอีกด้วย และก็อาจไม่ตอบโจทย์กับเทรนด์การลงทุนยุคปัจจุบันเนื่องจากไม่ได้มี Theme ให้เลือกหลากหลายและได้ลงทุนในธุรกิจที่ตรงใจได้เท่ากองทุน Offshore
ตัวอย่างเช่น หากเราสนใจอยากลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศในหมวดเทคโนโลยีของบลจ.แห่งหนึ่ง แต่ไม่มีกองทุน Feeder Fund ในไทยที่ลงทุนอยู่ในกองทุนรวมต่างประเทศดังกล่าว หรือมีแต่ลงในสัดส่วนน้อยมาก ก็อาจไม่ตอบโจทย์ความสนใจของเราได้เต็มที่

แอปพลิเคชัน FinVest มิติใหม่สำหรับการซื้อกองทุนรวมต่างประเทศได้โดยตรง ทลายข้อจำกัดเรื่องค่าธรรมเนียม สกุลเงิน คนกลางและเงื่อนไขต่างๆ

นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรโบเวลธ์

ในปัจจุบัน FinVest นับเป็นแอปพลิเคชั่นเดียวในประเทศไทยในตอนนี้ที่สามารถซื้อกองทุนรวมต่างประเทศหรือ Offshore ได้โดยตรง นับว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องลงทุนตลาดต่างประเทศผ่าน Feeder Fund ทำให้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนให้ Feeder Fund ซึ่งปกติจะมีค่าบริหารจัดการกองทุนอยู่ที่ประมาณ 1-1.5% นอกเหนือจากค่าบริหารจัดการของ master fund โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนทั่วโลกได้กว่า 1,000 กองทุนจาก 33 บลจ.ชั้นนำ อาทิ Baillie Gifford, Schroder, BlackRock, UBS, Invesco, Matthews Asia, Nikko ARK, BNY Mellon ครอบคลุมกองทุนตามเมกะเทรนด์โลกเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรช่วงตลาดหุ้นโลกฟื้นตัว

ด้วยแนวคิดการเป็นแอปพลิเคชั่นด้านการลงทุนที่ ง่าย ครบ จบในแอปเดียว FinVest จึงสร้างระบบให้นักลงทุนสามารถใช้สกุลเงินบาทซื้อกองทุนรวมต่างประเทศได้โดยไม่ต้องแลกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศก่อน เหมือนการซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรงตามช่องทางเดิมทั่วไป ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการซื้อขายในทุกขั้นตอน และสามารถเริ่มเปิดบัญชีได้ทันทีผ่านสมาร์ทโฟน โดยลูกค้าเลือกผูกบัญชีได้หลายธนาคาร และเริ่มซื้อกองทุนรวมต่างประเทศได้โดยตรงด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 30,000 บาทเท่านั้น

นอกจากนี้ FinVest ยังมีบทความชี้เป้ากองทุนแนะนำมาอัปเดตประจำทุกสัปดาห์ ด้วยข้อมูลที่เป็นกลาง ทำให้นักลงทุนได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมุมมองจากนักวิเคราะห์มืออาชีพเพื่อไม่พลาดโอกาสการจับจังหวะเข้าลงทุน ที่ผ่านมา FinVest ชี้เป้าได้แม่นยำ อาทิ กอง ONE-UGG-RA แนะนำเมื่อ มกราคม 2564 ผลการดำเนินงาน YTD เติบโต 14.55%, กอง PWIN แนะนำเมื่อ กุมภาพันธ์ 2564 ผลการดำเนินงาน YTD เติบโต 8.72& กอง PRINCIPAL VNEQ-A แนะนำเมื่อ เมษายน 2564 ผลการดำเนินงาน YTD เติบโต 45.75% (ข้อมูลผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 13 กันยายน 2564)

นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บมจ. Proud Real Estate

นายพสุ ลิปตพัลลภ กล่าวว่า ข้อจำกัดที่ผ่านมาของนักลงทุนรุ่นใหม่คือ ไม่มีเวลาศึกษาและคัดกรองข้อมูลการลงทุนซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมหาศาล รวมถึงมีตัวเลือกมากอาจทำให้พลาดกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดี หรือไม่เจอแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับการลงทุนของตัวเอง ดังนั้นแอป FinVest จึงถือว่าเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์นักลงทุนอย่างตนที่ไม่ได้มีเวลามาก เพราะช่วยให้สามารถวางแผนยุทธศาสตร์การลงทุนโดยอาศัยข้อมูลผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

5 กองทุนเด่นน่าลงทุนตามเมกะเทรนด์โลกช่วงปลายปี 2564

สำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสเข้าซื้อกองทุนต่างประเทศช่วงปลายปี FinVest ได้คัดเลือกกองทุนรวมที่น่าสนใจ ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเมกะเทรนด์ระดับโลกมาแนะนำ 5 กองทุน ได้แก่

(1) กองทุน RobecoSAM Smart Mobility จาก Robeco เน้นลงทุน ในบริษัทด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ เติบโต 61.3% ในปี 2563 (YoY) โดยแบ่งการลงทุนเป็น EV Component 36%, EV Manufacturer 25%, Autonomous Driving & Share Mobility 24%, EV Infrastructure 15%
บริษัทที่กองทุนเลือกลงทุนมีทั้งรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Xpev, กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เช่น Maxim NXP ON Delta ที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการพลังงานในยานยนต์ไฟฟ้า, ผู้ผลิตระบบช่วยคนขับอย่าง Aptiv, แบตเตอรี่ไฟฟ้า lithium-ion อย่าง Samsung SDI และเคมีภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตอย่างเหมือง Albemarle เป็นต้น

(2) กองทุน Global Energy Transition จาก Schroder ISF เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลก เติบโต 91.9% ในปี 2563 (YoY) โดยกองทุนจะไม่ลงทุนในพลังงานเชื้อเพลิงแบบเดิม (fossil fuel) หรือพลังงานนิวเคลียร์
หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาดได้รับอานิสงค์การเติบโตจากหลายปัจจัย ทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐและการปล่อยกู้จากธนาคาร ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนลดลงจนเทียบเคียงได้กับพลังงานดั้งเดิม รถยนต์ไฟฟ้าและการติดตั้งหลังคาโซล่าร์ตามบ้าน เทคโนโลยีที่ส่งเสริมการ Energy Transition มีพัฒนาการที่ดีมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ ระบบกักเก็บพลังงานที่ใช้ในบ้าน รวมถึงไฟฟ้าจากไฮโดรเจนด้วย ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมและกำหนดเป้าหมายขององค์กรตัวเองที่จะลดคาร์บอนชัดเจนขึ้น

(3) กองทุน Blockchain Innovation จาก BNY Mellon เน้นลงทุนในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน เติบโต 46.19 % ในปี 2563 (YoY) โดยลงทุนทั้งกลุ่ม Capital Markets, IT services, Software, Banks, Semiconductors เช่น ลงทุนทั้งบริษัทที่ถือ Bitcoin โดยตรงอย่างบริษัท Grayscale รวมทั้งยังมีหุ้นใน ผู้พัฒนา application ที่ให้ผู้ใช้สามารถซื้อขาย Bitcoin ได้เช่น Square หรือ Coinbase ธนาคารที่ให้คนถือ Cryptocurrency กู้เงินอย่าง Silvergate ผู้ผลิตชิปประมวลผลเพื่อทำ mining อย่าง NVIDIA, และกลุ่มอุตสาหกรรม IT Social Energy เป็นต้น

(4) กองทุน Healthcare Innovation จาก Schroder ISF เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ รวมทั้ง Johnson & Johnson, AstraZeneca, Pfizer เติบโต 42.5 % ในปี 2563 (YoY)
ทั้งนี้ Schroder ISF มีประสบการณ์การลงทุนมายาวนาน มีทีมลงทุน วิจัย และผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่ลงทุน มีการนำการวิเคราะห์ข้อมูลสมัยใหม่อย่าง artificial intelligence และ machine learning มาสนับสนุนทีมวิจัย กองทุนมีการควบคุมและกระจายความเสี่ยงที่ดี และผลงานของบริษัทจัดการมีความสม่ำเสมอ

(5) กองทุน Worldwide Long Term Global Growth Fund จาก Baillie Gifford เน้นลงทุนในบริษัทที่มีโอกาสเติบโตโดดเด่นจากทั่วโลก และมีความสามารถในการแข่งขันสูง อาทิ Amazon, Alibaba, Netflix, Facebook, Spotify, Tesla ฯลฯ เติบโต 95.62% ในปี 2563 (YoY)
ทั้งนี้กองทุนมีนโยบายลงทุนในแต่ละบริษัทไม่เกิน 10% เน้นการลงทุนระยะยาวและตั้งเป้าหมายชนะดัชนีชี้วัดมากกว่า 3% ต่อปีอย่างสม่ำเสมอ

ผู้ที่สนใจซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศ สามารถโหลดแอปพลิเคชั่น FinVest ได้ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/fa2bbe86

สำหรับ ช่วงเปิดตัวฟีเจอร์ซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรงบนแอป FinVest ระหว่างวันนี้ – 15 พฤศจิกายน 2564 ฟรี! ค่าธรรมเนียมจากการขายหน่วยลงทุน (Front-end-fee) แบบไม่มีเพดาน สำหรับ 5 กองทุนแนะนำข้างต้น

สามารถดูงานสัมมนา “ติดปีกการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ” ย้อนหลังพร้อมติดตามข้อมูลเทรนด์การลงทุนทั่วโลกได้ที่ FaceBook FinVest และเว็บไซต์ https://bit.ly/3CrLgAD