ThaiPublica > Sustainability > Contributor > ขยะไทยก็เอาไม่อยู่: จะนำเข้าขยะต่างประเทศเข้ามาอีก?

ขยะไทยก็เอาไม่อยู่: จะนำเข้าขยะต่างประเทศเข้ามาอีก?

28 กันยายน 2021


วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา รองประธานคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา

ขยะนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีเมืองไหน ประเทศใดปรารถนาหรอก แต่มันก็มีขึ้น มากน้อยตามปริมาณการบริโภค และค่านิยมการทำตลาดของสินค้านั่นคือลักษณะของขยะธรรมดา แต่ถ้าเป็นขยะพลาสติก นอกจากมีลักษณะข้างต้นครบถ้วน แต่ที่หนักกว่าคือจะอยู่ทนทานนานร้อยๆ ปี แม้แต่ตอนที่สลาย มันก็ยังไม่หมดอิทธิฤทธิ์ เพราะแค่แตกตัวให้เล็กลงๆ จนตามองไม่เห็นและเล็กลงจนไปอยู่ในห่วงโซ่อาหารของสิ่งมีชีวิต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเป็นพลาสติกที่ผลิตจากปิโตรเลียม ขยะจึงเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และร้ายแรง

รัฐบาลนายกฯ บรรหาร (ศิลปอาชา) ในปี 2539 จึงได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ห้ามนำเข้าเศษพลาสติกหรือสิ่งใดที่ใช้ไม่ได้แล้วและทำจากพลาสติก เข้ามาในประเทศ เว้นแต่จะอนุญาตโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมก็ออกประกาศกรมโรงงานว่า เศษพลาสติกที่จะนำเข้ามาขออนุญาตนั้นต้องมีขนาดที่ตัดแล้วยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร และต้องสามารถใช้ส่งเข้ากระบวนการหลอมได้โดยไม่ต้องมีการทำความสะอาดอีก

10 ปีต่อมา จึงยกระดับจากประกาศกรมโรงงานมาเป็นระดับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม แปลว่าควบคุมโดยมีเงื่อนไขมาตั้งเกิน 20 ปีแล้ว ซึ่งก็ราบรื่นดี เมื่อไม่มีการนำเข้ามาเยอะเกินไป ราคาขยะในประเทศก็พอไปไหว ซาเล้งและคนเก็บขยะจึงสามารถเก็บเศษพลาสติกทั้งถุงทั้งขวด ทั้งเครื่องใช้พลาสติก มาชั่งน้ำหนักขายให้ร้านรับซื้อของเก่า รับซื้อขยะเพื่อรวบรวม แยกแยะตามหมวดวัสดุ ขายส่งเป็นวัตถุดิบให้โรงงานในไทยบ้าง ส่งไปขายในตลาดรับซื้อวัสดุเหลือใช้ในต่างประเทศบ้าง

จนมีตลาดกลางระหว่างประเทศที่มีราคากลางของเศษวัสดุชนิดต่างๆ ให้อ้างอิง คนจีนเรียกว่า หั่งเช้ง เสมือนเป็นดัชนีดาวโจนส์บอกสถานการณ์ตลาดของเรื่องนั้นๆ

คนคุ้ยขยะออกมาจากซากจากกอง จึงนับว่ามีคุณต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไทยอยู่ไม่น้อย เพราะช่วยลดขนาดและปริมาณขยะในแต่ละถิ่นได้ลดภาระเทศบาลและ กทม. ไปในตัว แต่เขาจะทำอย่างนั้นได้ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เขาเก็บไปรวบรวมยังพอเหลือราคาค่างวดที่พอจะประทังชีพได้

ถ้าขยะพลาสติกเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรับซื้อในราคาที่เขาพอจะอยู่ไหว เขาจะเก็บมันออกไปหรือ นับเป็นวิชาเศรษฐศาตร์สิ่งแวดล้อมเบื้องต้นอย่างหนึ่งได้เลยนะครับ นั่นคือฉากแรก

ตัดภาพมาฉากสองของวงการขยะข้ามชาติ

ขยะที่ถูกรวบรวมตามฉากแรก มีเป็นจำนวนมากที่ส่งไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ เพราะในช่วงก่อร่างก่อนทะยานตัวจากชาติอุตสาหกรรมไปสู่ชาติไฮเทคนั้น จีนยอมรับสภาพการตกเป็นแหล่งรับและแหล่งก่อมลพิษ เพื่อแลกกับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

แต่พอกลางปี 2560 จีนผ่านความตื่นตัวขนานใหญ่ และได้กลายเป็นชาติที่มีโครงการเศรษฐกิจสีเขียวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จีนจึงประกาศห้ามการนำเข้าขยะแทบทุกอย่างจากต่างประเทศ และให้เวลา 3 ปี จากปี 2560 ที่จะไม่มีขยะอะไรจะเข้าจีนได้อีกในปี 2563 ซึ่งหลังจากนั้นจีนก็ขยับ จัดระเบียบใหม่ในเรื่องอื่นๆ ตามมาอีกเป็นลำดับจนทุกวันนี้

ที่จีนสามารถบอกทุกชาติ และบอกคนรุ่นถัดไปในจีนได้ว่า เขาได้กล้าหาญ และฉลาดเฉลียวพอที่จะเห็นแก่ประโยชน์ของการพัฒนาที่ไม่ทิ้งสิ่งแวดล้อม เห็นแก่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

แม้แต่การจำกัดเวลาเกมออนไลน์ให้เยาวชนเล่นได้ไม่เกินสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง!!

ถ้าเป็นชาติอื่นๆ คงลงแดง

แต่ถ้าทำเรื่องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญ มีแบบมีแผนมาเรื่อยๆ ผู้ต่อต้านก็จะเลี่ยงและถอยออกไปได้เอง

แน่นอนว่าเถ้าแก่โรงหลอมพลาสติกเพื่อผลิตนั่นนี่ ที่ยังไม่อยากเปลี่ยนอาชีพก็ต้องกระเจิง สั่งย้ายระบบธุรกิจเสี่ยงๆ ต่อสิ่งแวดล้อมออกจากจีนไปหาที่ตั้งใหม่

จะไปไหนล่ะครับ ถ้าไม่มาอาเซียน และไทย ที่ใกล้กว่า และกำลังแข่งกันดึงดูดการลงทุนข้ามชาติเข้าไปหาพื้นที่ตัวเองมาตลอด 40 ปี

ปรากฏว่า ยอดการนำเข้าเศษพลาสติกพุ่งพรวดในปี 2559 แล้วทะยานจากกราฟเรียบแบน ที่ไม่เคยเกิน 5-6 หมื่นตันต่อปี กลายเป็นเกือบ 7 แสนตันต่อปี!!

โต 10 เท่าตัว ทันที

อ่านต่อตอนที่ 2