ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > Krungthai Compass > Krungthai COMPASS แนะโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือน รายได้เสริมทางเลือกใหม่ผู้ประกอบการอสังหาฯ

Krungthai COMPASS แนะโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือน รายได้เสริมทางเลือกใหม่ผู้ประกอบการอสังหาฯ

20 เมษายน 2021


ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินตลาดอสังหาฯในช่วงปี 2564-2566 จะเติบโตไม่ดีเหมือนเคย เนื่องในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดรุนแรงมีแนวโน้มทำให้อัตรากำไรสุทธิของผู้พัฒนาอสังหาฯ อยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งธุรกิจเสริมยอดนิยมของผู้ประกอบการไม่ว่าจะธุรกิจสำนักงานเช่า อพาร์ทเม้นท์ หรือโรงแรงในปัจจุบัน ตลอดจนอนาคตมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า จึงผลักดันให้ธุรกิจมองหาแหล่งรายได้เสริมใหม่ๆ โดยศูนย์วิจัยชี้ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนมีศักยภาพในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้ คาดมูลค่าตลาดโซลาร์รูฟท็อปภาคครัวเรือนมีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า

ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่ารายได้ของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตเพียง 3.6% ต่ำกว่าช่วงก่อนหน้าที่เคยเติบโตได้ 7.2% เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศโดนกดดันจากเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้ไม่เร็วนัก และหนี้ครัวเรือนในระดับสูงที่ 89.3% ต่อจีดีพี ทำให้ความต้องการซื้ออสังหาฯลดลง ส่วนกำลังซื้อของชาวต่างชาติถูกจำกัดจากมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องมองหาแหล่งรายได้ใหม่เข้ามาเสริม ซึ่งการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป เป็นสิ่งหนึ่งที่ภาคครัวเรือนให้ความสนใจ ดังนั้นผู้พัฒนาอสังหาฯ น่าจะสามารถเข้ามาจับตลาดธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปได้มากพอสมควร

“ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริมของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในปัจจุบัน ล้วนกำลังเผชิญความเสี่ยงจากโควิด-19 ธุรกิจเสริมไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์หรือโรงแรมต่างก็ได้รับผลกระทบจากการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนออฟฟิศสำนักงานให้เช่าที่กำลังถูกดิสรัปจากการเวิร์คฟอร์มโฮมเป็น New Normal จึงเป็นการยากที่ธุรกิจเหล่านี้จะสามารถช่วยประคับประคองผลการดำเนินงานได้ ทำให้มองว่าผู้พัฒนาอสังหาฯ จำเป็นต้องหาแหล่งรายได้เสริมใหม่”

ดร.กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ธุรกิจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมีศักยภาพในการเป็นแหล่งรายได้เสริมให้กับผู้พัฒนาอสังหาฯได้ เนื่องจากมูลค่าตลาดมีแนวโน้มสูงถึง 1.37 แสนล้านในช่วง 10 ปีข้างหน้า โดย นอกจากกระแสรักษ์โลก และสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการใช้โซลาร์รูฟท็อป มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นมาจากความคุ้มค่าที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาโซลาร์รูฟท็อปที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ราคารับซื้อไฟที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโควตารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในอนาคตข้างหน้า

ในตลาดโซลาร์รูฟท็อปในต่างประเทศนั้น เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยหลักคือราคาแผงโซลาร์ปรับตัวลงอย่างมาก ใน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลียและจีน ในช่วงปี 2013-2019 ราคาปรับลงโดยเฉลี่ย 50-60% ทำให้หลายครัวเรือนสามารถเข้าถึงและติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปได้

สำหรับการติดตั้งภายในครัวเรือน ในปี 2010 สหรัฐอเมริการและออสเตรเลียมีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป อยู่ที่ประมาณ 0.2% กับ 2.2% แต่ในช่วงปี 2019 มีการติดตั้งเพิ่มขึ้นมาถึง 4.2% ส่วนในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นสูงมากเป็น 20.4% ซี่งในกรณีของออสเตรเลียนั้น มีปัจจัยที่ทำให้การติดตั้งเพิ่มขึ้นอย่างมาก เกิดจากราคาของแผงที่ลดลงเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้แล้ว ทางภาครัฐยังสนับสนุนให้ครัวเรือนติดตั้งรูปท็อปและยังให้สิทธิในการลดย่อนภาษีและอีกทั้งยังมีการรับซื้อไฟฟ้าจากครัวเรือนอีกด้วย

“ส่วนของไทย ตั้งแต่ปี 2556 ราคาแผงโซลาร์ลดลงกว่า 66% ประกอบกับราคารับซื้อไฟของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.2 บาท/หน่วย ทำให้ระยะเวลาคืนทุนจากการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเร็วขึ้นจาก 17-30.3 ปี ในปี 2556 เหลือ 6.1-13.9 ปี และในปี 2564 อาจเหลือเพียง 5.3-12 ปี ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้าเนื่องจากราคาแผงโซลาร์ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ประเมินว่ามีครัวเรือนไทยถึง 2.3 ล้านครัวเรือนที่สามารถติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปและคุ้มทุนได้ค่อนข้างเร็ว หากครัวเรือนกลุ่มนี้เพียง 20% หันมาติดแผงโซลาร์ก็จะทำให้มูลค่าตลาดสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท”

นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่าจากโครงการก่อสร้างของผู้พัฒนาอสังหาฯ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คาดว่าจะมีบ้านกว่า 1 แสนหลังที่มีโอกาสจะติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งผู้พัฒนาอสังหาฯ มีข้อได้เปรียบในการนำเสนอทางเลือกให้กับครัวเรือน เนื่องจากผู้ประกอบการในธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกบ้านเดิมอยู่แล้ว และยังมีความน่าเชื่อถือซึ่งอาจจะทำให้ลูกบ้านกล้าลงทุนในระบบโซลาร์รูฟท็อปที่มีอายุการใช้งานนานถึง 25 ปี ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ สามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็วคือการเป็นพันธมิตรกับบริษัทรับติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ดังเช่นกรณีของบริษัท Stockland ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ในออสเตรเลีย เป็นต้น