ThaiPublica > คอลัมน์ > คนละครึ่ง

คนละครึ่ง

5 มีนาคม 2021


แรมโบ้บ้านสวน

มาฆบูชาเป็นวันพิเศษเพราะเกิดเหตุน่าอัศจรรย์สี่อย่างขึ้นพร้อม ๆกัน แต่ในปีนี้มีสิ่งพิเศษเพิ่มขึ้นเมื่อประเทศเคร่งในพุทธศาสนาอย่างพม่าแปรสภาพเป็นทุ่งสังหาร ล้มตายกันทั้งเด็กและผู้หญิง ส่วนศูนย์กลางพุทธศาสนาโลกอย่างไทยกำลังไม่รู้จักว่ากตัญญูคืออะไร

ภาพและคลิปเหตุการณ์ในพม่าที่ปรากฎในสื่อต่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพตำรวจและประชาชนบางกลุ่มรุมตีผู้ชุมนุม ภาพตำรวจพร้อมปืนยาวบนที่สูง หรือเลือดนองพื้นถนน ชวนให้อดเทียบไม่ได้ว่าช่างคล้ายกับที่เกิดในประเทศไทย เมืองหลักทางพุทธศาสนาของโลก

หรือพุทธของเราคงจะเป็นแค่เปลือก ที่ทั้งหนาและห่อหุ้มอย่างมิดชิด หลายชั้น

ลองถามเด็กนักเรียนดูว่ามาฆบูชานอกจากจะเป็นวันหยุดแล้ว เป็นวันอะไร ก็ได้คำตอบว่าวันที่พระสงฆ์ 1,250 รูปมาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เดาว่าในใจเด็กอาจจะเห็นว่าด้อยกว่าวันเสาร์อาทิตย์ที่คนไปสวนจตุจักรโดยไม่ได้นัดหมายเหมือนกัน หลายพันคนเสียด้วยซ้ำ แถมจะสนุกกว่าเพราะคุณค่าของการเดินจตุจักร ช้อปเพลิน เดินดูหนุ่ม ดูสาว

ส่วนคุณค่าของวันมาฆบูชาว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรในครั้งนั้นหายไป

ในวันมาฆบูชาเหมือนกันที่นิด้าแถลงงานวิจัยว่าคนไทยกว่าร้อยละ 60 เห็นว่าเดี๋ยวนี้ความกตัญญูในสังคมลดลงอย่างมาก

มีข่าว ทีวี.ที่ใส่ดรามาอย่างเต็มพิกัด เกี่ยวกับลุงสมบัติชาวร้อยเอ็ดเดินทางออกตามหาลูกในกทม.แต่ไม่มีใครต้อนรับ ต้องซมซานกลับบ้านอย่าไร้ที่พึ่ง แล้วนักข่าวก็เข้าร่วมวงด้วย โดยฉายภาพว่าได้โทรศัพท์หาลูกของแกทีละคน แต่ก็ไม่มีใครพูดด้วยแม้แต่รายเดียว

ท้ายของเรื่องนี้คือการรุมกันด่าลูกลุงสมบัติ ทั้งที่ญาติก็ไม่ใช่ ความจริงเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ แต่ก็ได้ปลดปล่อยอารมณ์

เหมือนกับว่าผู้คนทุกวันนี้จะอยู่กับเปลือกนอก ไม่ค่อยสนใจกับเนื้อแท้ที่อยู่ข้างใน เพราะเราต่างถูกครอบงำด้วยจารีต ประเพณีเสียจนอ่อนแอเกินกว่าจะไตร่ตรอง แล้วแสวงหาคุณค่าของแต่ละอย่างให้ชัด

ในทางจิตวิทยามีบางอย่างที่เรียกว่าโครงสร้างชั้นนอก ที่อธิบายว่าแม้เราจะนึกว่าเราคิดเองเป็น (ไม่ต้องมาสอน) ก็ยังต้องรู้ทันว่าสภาพทางสังคม วัฒนธรรมและสื่อสารรอบตัวเราก็มีอิทธิพลครอบงำ กำหนดวิธีคิดของเราอยู่อย่างมาก

และส่วนมากของสิ่งเหล่านั้นคือเปลือกทั้งนั้น รวมทั้งข่าวที่ดัดแปลงให้โลดโผนกว่าละคร

“พระพุทธเจ้าตายแล้ว” คือคำเทศน์ของหลวงพ่อชา แต่เมื่อเราไม่ใช่เกจิอาจารย์เหมือนท่าน เราจะกำหนดตัวเองให้พูดว่า “พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันทปริพาน” ทั้ง ๆที่เจ้าชายสิทธัตถะสละฐานะไปเป็นพระ ไม่หวังลาภยศใด ๆแล้ว

สังคมไทยไม่ยอมรับถ้าพระพุทธเจ้าจะเหมือนคนธรรมดา จนศาสนาพุทธในไทยก็แยกไม่ออกกับชั้นยศ

ถ้าเป็นพระครู เป็นสมเด็จจะดูน่าเลื่อมใสมากกว่าโดยอัตโนมัติ มีญาติโยมขึ้นกุฏิจนบันไดมันเลื่อม

แล้วแทนที่จะปล่อยวาง เรากลับยึดถือจนแน่น แล้วปล่อยคำสอนตกเกลื่อนรอบวัดไม่ได้เอาติดตัวกลับไปด้วย

แม้พระพุทธเจ้าจะสอนให้คิด วิเคราะห์ อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ ก็กลับจะเป็นเรื่องยาก จึงสบายกว่าที่จะเชื่อ ๆ กันไป

สิ่งรอบตัวเราในทุกวันนี้ถูกแปลงสภาพจากความเป็นจริงให้เห็นแต่เปลือกซะมาก

ประเทศไทยจะหลุดจากกับดักต่าง ๆให้เกิดความสุขได้ก็เมื่อเราทำความเข้าใจก่อนว่าอะไรคือเนื้อ อะไรคือเปลือก อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง อยู่เราเอง