ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรม ม.รังสิต
วันที่ 6 กุมภาพันธ์เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 ทำแท้งให้สตรีที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์หรือ 3 เดือนมีสิทธิที่จะทำแท้งได้
เป็นที่น่าประหลาดใจที่การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้เป็นข่าวไปทั่วโลก ทำสำนักข่าว BBC ของอังกฤษพาดหัวเป็นเรื่องใหญ่ ที่เป็นเช่นนี้น่าจะมากจากที่ต่างประเทศมองเห็นประเทศไทย เป็นเมืองพุทธที่มีอนุรักษ์นิยมทางศีลธรรมสูง และในหลายประเทศทางตะวันตกเห็นว่าการทำแท้งนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก แม้สังคมชาวคริสเตียนในอเมริกา หรือยุโรปเห็นว่าประเด็นการทำแท้งเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นประเด็นในการหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ซึ่งมีฐานเสียงคือชาวคริสเตียนที่เคร่งครัด ถือเอาว่าการทำแท้งนั้นเท่ากับการฆาตกรรม เพราะเหตุว่าชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ เมื่อพระองค์ประทานมาให้ พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นผู้เดียวเท่านั้นในสากลจักรวาลที่จะเอาสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์นี้กลับไป
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดอีกที่ในสหรัฐอเมริกา ชาวคริสเตียนที่มีความเชื่อเช่นนี้เกือบทั้งหมดเป็นคนผิวขาว และเป็นสมาชิกพรรคริพับลิกัน และเชื่อว่าการลงโทษโดยการประหารชีวิตเป็นสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้อง พร้อมกับที่มีความเชื่อว่าการพกพาอาวุธปืนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพของชาวอเมริกัน
ความจริงมีอยู่ว่า “ไม่มีหญิงคนใดที่ตั้งใจท้องเพื่อไปทำแท้ง” การทำแท้งส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะสาเหตุทางสังคมเป็นต้นว่าหญิงผู้ตั้งครรภ์ไม่ต้องการมีบุตรแต่ไม่ได้มีการป้องกันที่เหมาะสม หรือครอบครัวยังไม่พร้อมที่จะมีบุตรมากกว่าที่มีสาเหตุทางสุขภาพของหญิงหรือพบว่าทารกในครรภ์มารดาไม่สมประกอบ
ในกฎหมายฉบับใหม่นี้ การทำแท้งนั้นเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายก็เมื่อครรภ์นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของหญิง หรือ ทารกมีความผิดปกติหรือทุพพลภาพอย่างร้ายแรง หญิงถูกข่มขื่นกระทำชำเรา อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ หรืออายุครรภ์อยู่ระหว่าง 12-20 สัปดาห์ (ซึ่งต้องได้รับคำปรึกษาผู้ประกอบอาชีพเวชกรรมหรือประกอบอาชีพอื่นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกำหนด)
ปัญหาที่สังคมไทยน่าจะถามคือการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ถูกต้องตามจริยธรรมหรือไม่? และสมควรที่จะให้กรอบใดมาวิเคราะห์ความเป็นธรรมของกฎหมายฉบับนี้? และคำถามสำคัญมีอยู่ว่า “ชีวิตมนุษย์นั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่?”
หากใช้กฎหมายตามแบบจารีตประเพณี ซึ่งชาวพุทธในประเทศไทยมีจำนวนประชากรกว่า 90% ของประชากรไทยทั้งประเทศ การทำแท้งใด ๆ ไม่ว่าอายุครรภ์นานเท่าใด คือตั้งแต่วันเดียวถึง 280 วันก็นับว่าเป็นมนุษย์เท่ากันหมด และทำให้การทำแท้งคือการฆาตกรรม อาศัยความปาราชิกข้อที่ 3 เป็นหลัก
นอกจากนั้นชาวคริสต์ไม่ว่าจะเป็นนิกายใด ๆ ย่อมไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งทั้งสิ้น ในสหรัฐอเมริกานั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก พรรคริพับลิกันไม่เห็นด้วยกับการทำแท้ง ส่วนพรรคเดโมแครตเห็นว่าสิทธิของหญิงในกายตนนั้นสำคัญกว่า
ในพระพุทธศาสนายังมีหลักคิดอีกประการหนึ่งนอกจากพระวินัยของคณะสงฆ์ นั่นคือศีลข้อแรก การเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (ปาณาติปาตาเวรมณี ) ซึ่งมีการนำศัพท์เทคนิคทางการแพทย์จากคัมภีร์จารกสังหิตา ของอายุรเวทของอินเดียโบราณ ซึ่งระบุว่า “เว้นขาดจากการทำ ปราณ ให้ตกล่วงไป” ในคัมภีร์นี้ ชีวิตเริ่มต้นขึ้นเมื่อมี “ปราณ” คำว่า “ปราณ” (ศัพท์ในภาษาสันสกฤต ในบาลีคือ “ปาณ” ) มิใช่ “ลมหายใจ” ตามที่คนทั่วไปเชื่อกันแต่เป็น “พลังงาน” อย่างหนึ่งที่อาศัยอยู่ใน “หทัยวัตถุ” หรือ “กล้ามเนื้อหัวใจ” และทำให้สัตว์ “คิดได้” “กลืนได้” และ “หายใจ” ได้ กิจกรรมดังกล่าวนี้ทางสรีระวิทยาถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกควบคุมโดย “สมอง” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคิด ซึ่งเกิดจากการทำงานของสมองส่วนบน (cerebral cortex) ส่วนที่เหลืออยู่ภายใต้การควบคุมของก้านสมอง (brainstem)
ในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์นั้น ทารกยาวประมาณ 21-40 มิลิเมตร เริ่มมีนิ้วมือนิ้วเท้าปรากฏให้เห็น ไตเริ่มทำงานขับถ่ายของเสียได้ หางซึ่งเคยมีหดหายไปแล้ว หัวใจนั้นพัฒนาไปได้ระยะหนึ่งแล้ว กระดูกในร่างกายเริ่มมีแคลเซียมจับมากขึ้น อวัยวะเพศนั้นยังไม่ปรากฏชัดเจน ทารกยังไม่ดิ้นจนทำให้มารดารู้สึกได้ (quickening) สารอาหารและออกซิเจนที่ทารกได้รับทั้งหมดผ่านสายสะดือที่ต่อจากรกที่เกาะติดกับผนังมดลูกของมารดา ในระยะสามเดือนแรกในครรภ์มารดานี้ ทารกไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เองตามธรรมชาติ หากถูกผ่าตัดนำออกมาก็จะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน และอัตราการแท้งในธรรมชาตินั้นสูงมากในช่วงอายุครรภ์นี้ หากมารดาอายุมากโอกาสที่ทารกจะแท้งออกมาเองโดยธรรมชาตินั้นสูงเป็นพิเศษ และหากทำแท้งในระยะนี้ผลกระทบต่อสูขภาพของมารดานั้นน้อยมาก
ในช่วง 3 เดือนแรกของอายุครรภ์นี้เอง ในศาสนาอิสลามถือว่าสรีระของทารกยังไม่มี “วิญญาณ” ลงมาครองร่าง (ensoulment) เพราะฉะนั้นจึงยังไม่นับว่าเป็น “คน” โดยสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นความแตกต่างกับการตีความในพุทธศาสนาและคริสตศาสนา ซึ่งเชื่อว่า “วิญญาณ” นั้นได้เข้ารวมกับ “ร่างกาย” เมื่อมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น (คือการรวมตัวกันของไข่และสเปอร์มาโตซัว)
ทำให้ในศาสนาอิสลามยอมรับการทำแท้งในช่วง 3 เดือนแรกของครรภ์ ในขณะที่พุทธศาสนาและคริสตศาสนาปฏิเสธเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
(นักวิชาการเชื่อกันว่า การตีความเรื่อง ensoulment ในศาสนาอิสลามนั้น ไม่ได้มาจากคำสอนของพระนบีดั้งเดิม แต่มาจากการวินิจฉัยของนักปราชญ์คนสำคัญในกรีกยุคโบราณคือ อริสโตเติล ต้นฉบับงานเขียนของนักปราชญ์ท่านนี้สูญหายไปทั้งหมด เหลือค้างอยู่ในภาษาอาหรับ ซึ่งนักวิชาการในวาติกันนำมาแปลกลับคือเป็นภาษากรีกอีกครั้งหนึ่งสมัยหลังยุคสงครามครูเซส)
อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์ทำให้เราทราบความจริงของชีววิทยาการโดยเฉพาะศาสตร์การเจริญพันธุ์ของสตรีมากยิ่งขึ้น เช่น เทคโนโลยีการทำ “เด็กหลอดแก้ว” มีการนำไข่ที่ถูกผสมแล้วแช่แข็งในอุณภูมิที่ต่ำมากและสามารถเก็บรักษาในไนโตรเจนเหลวได้นานมาก
หากตีความว่า “ปฏิสนธิวิญญาณ” เข้ารวมตัวกับไข่ที่ถูกผสมนั้นแล้วหมายความว่า “วิญญาณนั้นถูกแช่งแข็งไปด้วย” กระนั้นหรือ? ….. ความเชื่อในรูปแบบของพุทธศาสนาและคริสตศาสนานี้จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
หากความเป็นมนุษย์เริ่มขึ้นทันทีที่เกิดการปฏิสนธิระหว่างไข่กับเสปมาตัวซัวร์แล้วไซ้ การใช้ห่วงคุมกำเนิด (intra-uterine device) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่แพทย์สอดเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อป้องกันการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้วก็คือการฆ่ามนุษย์ให้ตายเช่นกัน เพราะตามโมเคลของศาสนานี้ความเป็นคนเริ่มทันทีที่เกิดการปฏิสนธิขึ้น
โมเดลที่ว่าวิญญาณทำให้ชีวิตนั้นเป็นชีวิตมนุษย์ในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของพลังงานที่ไม่อาจแบ่งแยกได้นั้น จึงไม่สามารถอธิบายการเกิดของ “เด็กหลอดแก้วได้” หากวิญญาณมีจริง กายมนุษย์นั้นได้ก่อนกำเนิดมาก่อนที่ “ปฏิสนธิวิญญาณ” จะเข้าไปรวมกับกายของทารกในครรภ์มารดาต่างหาก หากจะเปรียบเปรยก็จะได้กับการที่ “ปฏิสนธิวิญญาณ” นั้นเหมือนนกจำนวนมากที่บินแสดงหารังใหม่ตามต้นไม้ต่าง ๆ หากพอใจรังใด ก็เข้าไปอยู่อาศัยในรังนั้น ๆ และทำให้รังนั้นเติบโตขึ้น แต่ไม่ใช่สร้างรังใหม่ของมันเอง ทารกในครรภ์มารดาก็คือ “รังนก” นั่นเอง หากนกนั้นพบว่ารังนั้นชำรุด มันก็บินออกไปได้แสวงหารังใหม่ต่อไป
หากพิจารณาเรื่อง “วิญญาณ” ตามโมเดลที่ยกมานี้ วิญญาณจึงมิได้ปรากฎขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนในกายทารกแต่มีพัฒนาการเมื่อเข้าไปร่วมกับร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์มารดาและเป็นพัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสมบูรณ์มากที่สุดเมื่ออายุครรภ์นั้นแก่ ทารกมีสมองและระบบประสาทที่แข็งแรงขึ้นนั่นเอง
ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายในครรภ์มารดา ทารกนั้นจึงเป็นสภาวะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว มีความรู้สึกเจ็บปวดได้ รู้สึกหนาวร้อนได้ สามารถได้ยินเสียง และดวงตามสามารถรับรู้ความสว่างได้ และที่สำคัญคือมีจิตสำนึก (consciousness) หากผ่าทำคลอดออกมาทารกก็สามารถนำมาเลี้ยงในตู้อบ สามารถหายใจได้เอง เมื่อให้อาหารและน้ำก็สามารถเติบโตมีชีวิตรอดได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งมารดา
การทำแท้งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ต่างหากที่น่าจะเท่ากับการ “ฆ่ามนุษย์” ให้ตาย การทำแท้งในช่วงนี้มักเกิดผลเสียกับสตรีผู้ตั้งครรภ์อย่างมาก สูติแพทย์เกือบทุกคนพยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกเลี่ยง และการทำแท้งในระยะนี้ มิใช่ทำโดยการฉีดยาหรือขูดมดลูก แต่ต้องใช้มีดที่แหลมคม เข้าไปตัดร่างกายของทารกออกมาที่ละชิ้น ๆ จนหมด สร้างความรู้สึกทุกข์ทรมาณทางจิตใจแก่แพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องอย่างมาก
หากพิจารณาด้วยกรอบของ “สิทธิ” ในโมเดลที่กล่าวมาแล้วนี้ ย่อมเกิดความชอบธรรมแก่สตรี ที่จะมี “สิทธิในกายตน” เหนือ “สิทธิการมีชีวิต” (right to life) ของทารกในกรณีที่ครรภ์ของเธออายุไม่ถึง 3 เดือน ถือว่ากฎหมายใหม่ที่ให้สิทธิแก่สตรีในการทำแท้งนั้นเป็นสิ่งชอบธรรม
ในทางตรงกันข้าม เมื่ออายุครรภ์เกิน 7 เดือนหรือในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการครรภ์ เหนือ “สิทธิการมีชีวิต” (right to life) ของทารก นั้นถือว่าสำคัญกว่าสิทธิในกายหญิงของสตรีที่ตั้งครรภ์ ความชอบธรรมในการทำแท้งในช่วงสามเดือนสุดท้ายนั้นควรจำกัดเฉพาะการทำแท้งด้วยสาเหตุทางการแพทย์เท่านั้น เช่น สูติแพทย์พิสูจน์ได้ว่าทารกไม่สมประกอบหรือพิการอย่างรุนแรง หรือการตั้งครรภ์นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมารดาอย่างมาก เงื่อนไขทางสังคมนั้นไม่สมควรที่จะนำมาพิจารณา
หากพิจารณาตามกรอบความคิดนี้ คำถามจึงเกิดขึ้นทันทีว่า “ในระหว่างอายุครรภ์ 4-6 เดือนหากหญิงที่ตั้งครรภ์ปรารถนาจะให้แพทย์ยุติการตั้งครรภ์ควรทำอย่างไร?
กรณีเช่นนี้เป็นพื้นที่สีเทาทางเวชจริยศาสตร์ เพราะเหตุว่า “สิทธิในกายหญิง” นั้นย่อมได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย แต่ในขณะเดียวกัน “สิทธิในชีวิตของทารก” นั้นสังคมก็มิอาจปฏิเสธได้เช่นกัน เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนทารกนั้นสามารถถูกผ่าออกมาทำให้มีชีวิตรอดได้
ในบริเวณพื้นที่สีเทานี้สังคมต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วยในการให้ความช่วยเหลือสตรีผู้ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ โดยการให้สวัสดิการต่าง ๆ ทั้งกับแม่และทารก เช่น ให้ที่พักอาศัยที่รโหฐาน หญิงนั้นสามารถเข้าไปพักอยู่ได้ฟรีโดยได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน มีเงินสวัสดิการดูแลและเมื่อคลอดออกมาแล้วมีองค์กรที่จะเลี้ยงดูทารกนั้นต่อไป หากมารดาไม่ปรารถนาหรือไม่ต้องการให้สังคมทราบว่าตนเองตั้งครรภ์
แต่อย่างไรก็ตามสิทธิของหญิงต้องมาก่อนเสมอ และหญิงผู้ตั้งครรภ์ควรเป็นผู้ตัดสินใจคนสุดท้าย และน่าจะถือว่าเป็นหน้าที่อันสำคัญขององค์กรการกุศล วัด มูลนิธิหรือหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐที่เข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ไม่ควรปล่อยให้สตรีเหล่านี้ต้องต่อสู้กับปัญหา “การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา” ต่อไปตามลำพังในสังคม
ปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ของมนุษย์นั้นมิได้มีอยู่เพียงนี้ สังคมควรทำอย่างไรกับเด็กหญิงที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาจนไม่อาจรักษาให้หายได้? ผู้ปกครองของเด็กหญิงคนเหล่านี้จะมีสิทธิ์ให้แพทย์ทำหมันแก่เด็กหญิงคนนั้นหรือไม่? หรืออาจมากยิ่งไปกว่านั้น คือ การตัดมดลูก (hysterectomy) เพราะเด็กหญิงคนนี้เมื่อเติบโตเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้วไม่อาจดูแลตนเอง หรือรับผิดชอบตนเองได้ คือ ไม่เข้าใจเรื่องการมีประจำเดือน ไม่รู้จักการตั้งครรภ์หรือความเป็นแม่เลย เป็นต้น
รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้เป็นประเด็นที่สำคัญทางนิติศาสตร์ศาสนาปรัชญาและเวชจริยศาสตร์ที่ควรมีการตราเป็นกฎหมายให้ชัดเจน เพื่อลดพื้นที่สีเทาให้มากที่สุดและลดการใช้วิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ภาครัฐน้อยที่สุด
ปัญหา “การตั้งครรภ์ที่ไม่พึ่งประสงค์” นี้เป็นปัญหาของสังคมโลกมาหลายพันปี ตั้งแต่ในยุคพุทธกาลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สาเหตุของปัญหานี้มีมากมาย ซึ่งเริ่มจากสถาบันครอบครัว โรงเรียนและสถาบันการศึกษา เป็นปัญหาที่ควรป้องกัน ไม่ใช่หันมาช่วยกันแก้ไขเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว และไม่ใช่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหญิงผู้ตั้งครรภ์หรือผู้ปกครองหรือครอบครัวของเธอเท่านั้น แม้ว่าหญิงผู้นี้จะของให้แพทย์ยุติการตั้งครรภ์ในสามเดือนแรกก็ตาม แต่ยังเป็นปัญหาสังคมที่ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบอยู่ดีนั่นเอง