ThaiPublica > คอลัมน์ > เลือกตั้งสหรัฐ : เลือก ‘เทพ’ หรือ ‘มาร’

เลือกตั้งสหรัฐ : เลือก ‘เทพ’ หรือ ‘มาร’

5 พฤศจิกายน 2020


วรากรณ์ สามโกเศศ

ที่มาภาพ : https://en.as.com/en/2020/11/03/latest_news/1604411082_779066.html

เลือกตั้งสหรัฐอเมริกาในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นที่จับตามองของชาวโลก และชาวอเมริกันเป็นพิเศษอย่างไม่เคยมีมาก่อน เพราะหมายถึงว่าจะเป็นอีกสี่ปีของ “ความน่าหวาดหวั่น” หรือสี่ปีของการเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่ความเป็นปกติของสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผลกระทบต่อชาวโลก ลองมาดูกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะระหว่างประธานาธิบดี Trump กับ Joe Biden

บทความนี้พยายามเขียนให้ใกล้วันเลือกตั้งที่สุดจึงเป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน ขอเริ่มต้นที่ “ความเป็น Trump” ก่อนเพราะเป็นประเด็นสำคัญของการเลือกตั้ง Trump ปรากฏตัวเป็นบุคคลสาธารณะมายาวนานก่อนลงเลือกตั้งเมื่อปี 2516 ประวัติของเขาคือความสม่ำเสมอของการบูชาเงิน ความเห็นแก่ประโยชน์ของตนและครอบครัวเป็นที่ตั้ง สิ่งใดที่ผิดกฎหมายแล้วรวยเขาจะเลือกเส้นทางนั้น การสร้างความแตกแยก ความชื่นชมบูชาจากคนอื่น การได้ชนะคนอื่น การบูลลี่คนอื่น การเอาเปรียบคนอื่น การนอกใจภรรยา การหลอกลวงคนอื่น การขาดบุคลิกภาพของคนที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญของสังคม ฯลฯ เหล่านี้คือสิ่งที่ปรากฏอย่างมีหลักฐานชัดเจนจากการกระทำในขณะที่เป็นประธานาธิบดี และจากคำให้การต่อรัฐสภา ต่อศาลและเปิดเผยในหนังสือของผู้คนที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและเคยทำงานกับ Trump

พรรคลีพับลิกันเป็นพรรคของคนอนุรักษ์นิยม ไม่ชอบให้ภาครัฐมีขนาดใหญ่และมีอำนาจมาก บูชาเสรีภาพของบุคคล การค้าเสรี ไม่ชอบการอพยพของคนผิวสีอื่นนอกจากสีขาวเข้าสู่สหรัฐอเมริกา มักเหยียดผิว ฯลฯ คนลิพับลีกันทุกคนมิได้เห็นตรงกันหมด มีทั้งคนอนุรักษ์นิยมที่มีหัวก้าวหน้าและล้าหลัง เป็นพรรคของอดีตประธานาธิบดี Eisenhower/Nixon/Reagan/Bush ฯลฯ

พรรคเดโมแครต เป็นพรรคของคนหัวสมัยใหม่ นิยมการประกันราคา ค่าจ้างขั้นต่ำและการค้าเสรีที่รัฐควบคุมใกล้ชิด มักนิยมภาครัฐที่มีขนาดใหญ่เพราะเชื่อในการประกันสังคม การสาธารณสุข ช่วยเหลือคนยากจน และแรงงาน บูชาเสรีภาพของบุคคลอย่างยอมให้รัฐดูแลพอควร ฯลฯ เป็นพรรคของอดีตประธานาธิบดี J.F. Kennedy/Johnson/Clinton/Carter/Obama ฯลฯ

สมาชิกพรรคลิพับลิกันมักเป็นนักธุรกิจทั้งขนาดยักษ์และขนาดย่อม เป็นคนผิวขาว จำนวนมากเป็นเกษตรกรหรือคนที่อยู่ในเขตชนบท และมีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ฯลฯ ส่วนสมาชิกพรรคเดโมแครตมักเป็นคนอพยพมาใหม่ คนหนุ่มสาว คนผิวสีทั้งดำและคนเชื้อสาย Hispanic (อเมริกาใต้) และคนเอเชีย ผู้ใช้แรงงาน (สมัยก่อนสหภาพแรงงานเป็นกลุ่มสมาชิกพรรคที่สำคัญ) คน ชั้นกลางระดับล่าง ฯลฯ

Trump ถึงแม้จะเคยเป็นเดโมแครต แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นสมาชิกพรรคลิพับลิกันก็ไม่มีคุณลักษณะของคนลิพับลิกันเพราะคุณลักษณะพิเศษของเขาคือการทำอะไรตามอำเภอใจอย่างขาดการคิดกลั่นกรองอย่างมีเหตุผล มักใช้การเอาใจฐานเสียงของเขา ผลประโยชน์ของครอบครัวและพรรคพวกมาใช้ตัดสินนโยบายสำคัญ สิ่งที่เขาต้องการจากทุกคนคือความจงรักภักดีต่อตัวเขาเหนือชาติ ฐานเสียงของ Trump ได้แก่คนผิวขาวที่อยู่ในชนบท มีการศึกษาที่ไม่ถึงปริญญาตรี เคร่งศาสนา นักธุรกิจส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนชั้นกลางระดับสูงขึ้นไป สิ่งที่ฐานเสียงบางส่วนพอใจมากคือการลดภาษีครั้งใหญ่ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คนที่ได้ประโยชน์มากสุดคือคนรวย

Trump เป็นคนพูดเก่ง มีลักษณะของความเป็น con man (นักต้มตุ๋น) อยู่มาก (มหาวิทยาลัย Trump โครงการอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ การล้มละลายหลายครั้งแต่ตนเองรวยคือ หลักฐาน) Trump พูดอะไร (สื่อนับว่าเขาโกหกกว่า20,000 ครั้ง ตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา และหนักมือยิ่งขึ้นตอนหาเสียง) ฐานเสียงของเขาเชื่อหมดโดยเฉพาะมีสื่อโทรทัศน์ Fox News ของ Rupert Murdoch เป็นเครื่องมือสำคัญ

ผลการเลือกตั้ง ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 เวลา ประมาณ 10.00น (ประเทศไทย)

ในปัจจุบันการพยากรณ์ว่าใครจะชนะได้เป็นประธานาธิบดีนั้น เขาดูฐานคะแนนเสียงพรรคจากการเลือกตั้งประธาธิบดีครั้งที่แล้วในปี2016 ประกอบข้อมูลจากคะแนนในปี 2018 เลือก ส.ส. วุฒิสมาชิก ผู้ว่าการรัฐ อีกทั้งใช้ประสบการณ์ ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของผู้ลงคะแนนในแต่ละ county (ตรงกับอำเภอของแต่ละรัฐ) โดยใช้โพลส์จากสำนักต่าง ๆ มากมายเป็นข้อมูล ผู้เขียนขอใช้คำพยากรณ์ของสำนัก Five Thirty Eight ที่มีชื่อเสียงมานำเสนอ

สำหรับคะแนนรวมในระดับประเทศนั้น Biden นำอยู่ 7.8 เปอร์เซ็นต์ (53.3 กับ 45.5) โดยมีโอกาสในการชนะ 90% แต่สิ่งที่ทำให้ชนะนั้นไม่ใช่คะแนนรวมในระดับประเทศ หากเป็นelectoral college หรือ vote ซึ่งมีรวม 538 เสียง โดยผู้แข่งขันคนใดชนะรัฐใดก็ได้ electoral vote ของรัฐนั้นไปทั้งหมด (แต่ละรัฐมีไม่เท่ากัน หากมีประชากรมากก็มี electoral vote สูง) ดังนั้นบางคนอาจได้คะแนนนิยมระดับประเทศสูง แต่ได้ electoral vote ไม่ถึงเกณฑ์ คือ 270 ซึ่งเกินกว่าครึ่งหนึ่งของ 538 จึงไม่ชนะ (ปี 2016 Clinton ชนะคะแนนนิยมได้มากกว่า Trump 2.1% หรือ 2.87 ล้านคะแนน แต่แพ้เพราะได้ electoral votes เพียง 232 ในขณะที่ Trump ได้ 306)

โอกาสในการชนะของ Biden ที่กล่าวถึงคือ 90% สะท้อนคะแนน electoral vote เหตุที่พยากรณ์เช่นนี้ก็เพราะ Biden มีฐานเก่าอยู่แล้ว 232 electoral votes หากหามาได้เพียง 38 ก็ถึง270 และชนะทันที

หนทางที่ง่ายสุดคือได้ 38 จาก 6 รัฐที่เดโมแครตเคยครองอยู่และในครั้งที่แล้ว Trump ชนะฉิวเฉียด คือ Wisconsin (10) / Michigan (16) / Pennsylvania (20)/ Ohio (18)/ Iowa (6) และ Florida (29) ตัวเลขในวงเล็บคือ electoral vote ของแต่ละรัฐ

เมื่อโพลล์หลายสำนักใหญ่ระบุตรงกันว่า Biden นำอยู่ในรัฐเหล่านี้ทั้งหมดมากบ้างน้อยบ้าง โอกาสที่จะชนะในบางรัฐเหล่านี้และบันดาลให้ชนะในระดับชาติจึงมีสูง ข้อมูล (ตัวเลขคือคะแนนนำของ Biden ; ตัวเลขหลังคือโอกาสในการชนะ) มีดังนี้ Wisconsin (8.6% ; 94%) / Michigan (8.8% ; 96% /Pennsylvania (5.2% ; 86%)/Ohio (0.9% ;46%) /Iowa (0.2% ; 48%) และ Florida (2.2% ; 66%)

Biden ชนะง่ายที่สุดคือชนะ Wisconsin (10)/Michigan (16)/และ Pennsylvania (20) รวมกันเป็น 46 ซึ่งเกินกว่า 38 จึงชนะเลย หรือกล่าวอีกอย่างว่าของเก่า 232 + 46 = 278 ซึ่งเกินกว่า 270

หนทางของ Biden นั้นมีมากมาย เช่น ชนะ Florida (29) กับชนะWisconsin (10) หรือกับMichigan (16) หรือกับ Pennsylvania (20) จากข้อมูลจะเห็นว่าการชนะทั้ง Pennsylvania และ Florida เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของ Trump เพื่อเปิดหนทางของ Biden นอกจากนี้เขายังต้องเอาชนะ Michiganและ Wisconsin ให้ได้อีกด้วย ข่าวร้ายสำหรับ Trump ก็คือรัฐเก่าที่เขาเคยชนะและต้องรักษาไว้คือ Ohio (18)/Arizona (11)/North Carolina (15)/Geogia (16) ก็มีทางหลุดลอยไปเพราะ Biden นำอยู่ในรัฐเหล่านี้เช่นกัน

มาดูคำพยากรณ์ที่ว่าBiden มีโอกาสชนะ 90% และมีคะแนนนำถึง 7.8 % นั้นจะเป็น จริงไหม อย่าลืมว่าตัวเลขเหล่านี้อยู่บนการคาดคะเนว่าจะมีคนมาลงคะแนนระดับหนึ่ง หากไม่มา ตามเป้าผลก็จะผิดไป อีกทั้งมีความคลาดเคลื่นทางสถิติด้วย (การลงคะแนนล่วงหน้าไปแล้ว 80 ล้านกว่าคนและดูจะมาลงคะแนนกันมากกว่าอดีตมีความหมายอย่างไร)

หมายเหตุ ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 3 พ.ย. 2563