ThaiPublica > คอลัมน์ > “คำเตือน” จากโควิดและบิลล์ เกตส์

“คำเตือน” จากโควิดและบิลล์ เกตส์

9 พฤษภาคม 2020


วรากรณ์ สามโกเศศ

บิลล์ เกตส์ ที่มาภาพ : https://www.washingtonpost.com/opinions/bill-gates-heres-how-to-make-up-for-lost-time-on-covid-19/2020/03/31

เมื่อบิลล์ เกตส์ แห่ง Microsoft เขียนอะไรดีๆ คนก็ชอบที่จะส่งต่อกันทั้งโลก มิใช่เพราะเขาเป็นมหาเศรษฐีมีอิทธิพลต่อโลก แต่เขามีบารมีจากผลงานด้านสาธารณกุศลมากมายโดยใช้เงินทองส่วนตัว เช่น พยายามปราบโรคมาเลเรีย โปลิโอ แก้ไขสถานการณ์โลกร้อน สนับสนุนวัคซีนโรคต่างๆ รวมทั้งโควิด ฯลฯ กำจัดความยากจนในแอฟริกา ฯลฯ

วันนี้ผมขอนำบทแปลข้อเขียนของเขาที่ปรากฏอยู่ในเน็ตโดยไม่มีชื่อผู้แปล และขอปรับแก้ไขเล็กน้อย

ผมเชื่อว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างก็มีบทเรียนที่น่าสนใจแฝงอยู่ ไม่ว่าพวกเราจะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม ผมขอแบ่งปันความในใจว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ให้อะไรแก่เราบ้างดังนี้

    (1) ไวรัสเตือนเราว่า ทุกคนนั้นต่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะทางวัฒนธรรม ศาสนา อาชีพ สถานะทางเศรษฐกิจหรือต่อให้คนนั้นจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหน ในสายตาของไวรัส เราทุกคนต่างเท่าเทียมกันหมด
    (2) ไวรัสเตือนเราว่า ชะตาชีวิตของพวกเรานั้นต่างผูกเข้าไว้ด้วยกัน เรื่องหนึ่งที่ส่งผลต่อคนหนึ่งก็จะส่งผลต่อคนอื่นๆ ได้ด้วย ไวรัสยังเตือนเราว่า เขตแดนระหว่างประเทศที่พวกเราต่างสมมุติกันขึ้นมานั้นช่างไร้ค่า เพราะเจ้าไวรัสไม่จำเป็นต้องมีพาสปอร์ตเลย ไวรัสยังเตือนเราอีกว่า ถึงแม้ตอนนี้เราจะโดนกดขี่อยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่บนโลกใบนี้ยังมีคนที่โดนกดขี่มาทั้งชีวิตอีกมากมาย
    (3) ไวรัสเตือนเราว่าสุขภาพมีค่าแค่ไหน พวกเรามักละเลยการดูแลสุขภาพไป ทั้งกินอาหารขยะ ดื่มน้ำที่ผสมสารพัดสารเคมี หากเราไม่ดูแลตัวเอง เราก็จะติดเชื้ออย่างแน่นอน
    (4) ไวรัสเตือนเราว่า ชีวิตนั้นเป็นทุกข์และแสนสั้น อะไรคือสิ่งสำคัญที่พวกเราควรทำก่อนที่จะมาเป็นผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย บนเตียง
    (5) ไวรัสเตือนเราว่า สังคมของพวกเราได้กลายเป็นสังคมวัตถุนิยมระดับสูงสุดไปแล้ว เมื่อเราเจอความลำบาก เราจึงได้นึกถึงปัจจัยสี่ อาหารและปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่เราจำเป็นต้องใช้ ซึ่งต่างก็ไม่ใช่ของหรูหราราคาแพงแต่อย่างใด
    (6) ไวรัสเตือนเราว่า ครอบครัวสำคัญแค่ไหน ไวรัสบังคับให้เราต้องกลับไปอยู่ในบ้านของตัวเอง ทำให้พวกเรากลับมาสร้างบ้านให้กลายเป็นครอบครัว และยังได้เสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นกว่าที่เคยอีกด้วย
    (7) ไวรัสเตือนเราว่า งานที่แท้จริงของเราไม่ใช่งานต่างๆ ที่เราจำเป็นต้องทำกันอยู่ในทุกวันนี้ พระประสงค์ของพระเจ้านั้นสร้างเราขึ้นมาไม่ใช่เพื่อให้มาทำงานดังกล่าว งานที่แท้จริงของเรานั้นคือการดูแลกัน ปกป้องคุ้มครองกัน ช่วยเหลือเอื้อประโยชน์ต่อกัน
    (8) ไวรัสเตือนเราว่า อย่าได้ลืมตัว อย่าคิดไปว่าตัวเองใหญ่หรือแน่มาจากไหน ไวรัสเตือนว่าไม่ว่าคุณจะรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่เพียงใด และไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่าคุณยิ่งใหญ่เพียงใด เพียงแค่ไวรัสตัวเล็กๆ นี้ก็ทำให้โลกทั้งใบหยุดหมุนได้แล้ว
    (9) ไวรัสเตือนเราว่า อิสรภาพอยู่ในกำมือเรา พวกเรามีสิทธิเลือกที่จะให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ แบ่งปัน ทุ่มเท สนับสนุนซึ่งกันและกันก็ได้ หรือพวกเราจะเลือกเห็นแก่ตัว กักตุนสิ่งของให้ตัวเอง หรือตัวใครตัวมันก็ได้ มีแต่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนได้
    (10) ไวรัสเตือนเราว่า เราจะอดทนก็ได้หรือจะหวาดกลัวก็ได้ สถานการณ์เช่นนี้เองก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประวัติศาสตร์มากมายหลายครั้ง แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไป บางคนอาจหวาดกลัวจนอาจนึกไปว่าวันสิ้นโลกมาถึงแล้ว และผลสุดท้ายแห่งความหวาดกลัวก็จะมาทำร้ายตัวเราเอง
    (11) ไวรัสเตือนเราว่า โรคระบาดคือจุดจบและจุดเริ่มต้น พวกเราควรย้อนมองและทำความเข้าใจ เรียนรู้บทเรียนจากความผิดพลาด โรคนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักร และจะยังคงมีต่อเนื่องไปอีกจนกว่าพวกเราจะได้รับบทเรียน
    (12) ไวรัสเตือนเราว่า โลกของพวกเราป่วยแล้ว ไวรัสเตือนให้ตระหนักถึงความรวดเร็วของการหายไปของผืนป่า และให้เห็นความรวดเร็วของการหายไปของกระดาษชำระบนชั้นวางสินค้า พวกเราต่างป่วยก็เพราะว่าครอบครัวของพวกเราบางคนได้ป่วยไปแล้ว
    (13) ไวรัสเตือนเราว่า ความยากลำบากเหล่านี้สุดท้ายจะผ่านพ้นไป ชีวิตนั้นเป็นการวนอยู่ในวงจร ตอนนี้เป็นเพียงหนึ่งในช่วงของการวนในวงจรเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว โรคระบาดจะผ่านพ้นไปอย่างแน่นอน (14) คนมากมายคิดว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นภัยพิบัติฉากหนึ่ง แต่ผมรู้สึกว่านี่คือ “การแก้ไขสิ่งผิดพลาด” ครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของโลก
ที่มาภาพ : https://www.gatesnotes.com/Epidemic-Preparedness?linkId=85684713

ไม่มีครั้งใดที่มนุษย์สามารถเห็นความเชื่อมต่อถึงมนุษย์คนอื่นได้ดีเท่าครั้งนี้ ทุกครั้งที่เราเห็นคนอื่นชุมนุมกันโดยไม่ใส่หน้ากากหรือหนีเข้าประเทศโดยไม่ได้ผ่านการกักกันเพื่อตรวจสอบ เราจะรู้สึกหวาดหวั่นว่าคนหนึ่งอาจเป็น super spreader ของโรคจนกลับเป็นผลร้ายมาถึงตัวเราได้

เมื่อก่อนเราไม่ค่อยเห็นว่าความเหลื่อมล้ำในฐานะทางเศรษฐกิจของผู้คนจะมีผลด้านลบต่อตัวเราอย่างไร ตอนนี้เห็นแล้วว่าหากปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไขมันจะเกิดเป็นผลที่เลวร้ายสะท้อนกลับมาถึงตัวเราได้ เราไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ อุปมาได้กับการเห็นคนปัสสาวะลงสระน้ำที่เรากำลังว่ายเล่นอยู่

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกคอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 5 พ.ค. 2563