มติศาล รธน.เสียงข้างมาก วินิจฉัยกรณี ส.ส.เสียบแทนกัน เพื่อผ่านร่างพ.ร.บ.งบฯปี 63 ไม่โมฆะ – สั่งโหวตใหม่เฉพาะวาระ 2-3
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ศาลรัฐธรรมนูญ แถลงผลการพิจารณาคดีที่นายนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่มี ส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน เพื่อผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ถือว่าไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ ไม่
ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ซึ่งผลการลงมติศาลรัฐธรรมนูญเห็น ว่า คดีนี้ไม่มีประเด็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับข้อความ หรือ เนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แต่อย่างใด ทั้งไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความผิดทางอาญา หรือ ทางจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใด คงมีแต่ประเด็นที่ศาลรัฐธรมนูญจะต้องพิจารณาวินิจฉัยเฉพาะเรื่องกระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เท่านั้น ส่วนบุคคลใดจะต้องรับผิดรับโทษอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดยในวันนี้ ศาลรัฐธรมนูญได้มติเสียงข้างมากวินิจฉัยว่า การกระทำโดยไม่สุจริตใช้สิทธิออกเสียงลงมติแทนผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมประชุมด้วยนั้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสมาชิสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่อยู่ในอาณัติมอบหมายของผู้ใด และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 114 ทั้งสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งเสียงในการออกเสียงลงคะแนน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรค 3 และการออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันไม่ได้ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 2560 ข้อ 80 วรรค 3 ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 เวลาประมาณ 19.30 น.ถึงวันที่ 11 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นการพิจารณาวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ปรากฎการแสดงตนและลงมติของนายฉลอง เทอดวีระพงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่นายฉลอง รับเองว่าตนไม่อยู่ในที่ประชุมตามวันและเวลาดังกล่าว การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้อยู่ในห้องประชุม แต่ปรากฏว่ามีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตน และลงมติแทน ย่อมมีผลเป็นการออกเสียงลงคะแนนที่ไม่สุจริต ทำให้ผลการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในวันและเวลาดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
จึงมีประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณา คือ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ตกไปทั้งฉบับตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15 – 18/2556 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-4/2557 หรือไม่
ประเด็นนี้ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ประเด็นข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดี และบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว แตกต่างจากประเด็นข้อวินิจฉัย พฤติการณ์แห่งคดี และบทกฎหมายในคดีนี้อย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ คดีนี้ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับข้อความอันเป็นสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ขัด หรือ แย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างได
แต่มีปัญหาที่กระบวนการตราร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เท่านั้น ทั้งข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็ปรากฏชัดว่าการพิจารณาออกเสียงลงมติของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ และการพิจารณาของคณะกรรมาธิการก่อนเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรียงตามลำดับมาตราในวาระที่ 2 ได้ดำเนินการไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทุกประการ ถือได้ว่าเป็นขั้นตอนที่เสร็จสิ้นไปโดยสมบูรณ์ก่อนแล้ว นอกจากนี้ ยังมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศชาติจะต้องได้กฎหมายฉบับนี้ไปช่วยแก้ปัญหาความล่าช้า และอุปสรรคในการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 74 บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจกำหนดคำบังคับไว้ในคำวินิจฉัยได้ด้วย ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวนี้ มิได้มีอยู่ในอดีต
อาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 74 ให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการให้ถูกต้องเฉพาะในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 และข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ แต่การพิจารณาลงมติในวาระที่ 1 และในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการก่อนนำเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาออกเสียงลงมติเรียงตามลำดับมาตราในวาระที่ 2 ซึ่งได้เสร็จสิ้นไปก่อนที่จะมีการกระทำอันไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงเป็นขั้นตอนที่ชอบและมีผลสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญแล้ว จากนั้นให้เสนอร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขให้ถูกต้องให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ เพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญต่อไป พร้อมทั้งให้สภาผู้แทนราษฎรรายงานผลการปฏิบัติตามคำบังคับต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัย
ส่วนคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 78 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 นั้น เห็นว่า เหตุแห่งคำร้องดังกล่าวเป็นเหตุเดียวกันกับที่ศาลรัฐธรรมนูญไต้มีคำวินิจฉัยไปในคตีนี้แล้ว กรณีไม่มีเหตุจำเป็นต้องรับไว้พิจารณาวินิจฉัยให้อีก จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย