
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงข่าวผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ของปี 2562 โดยนายธาริฑธิ์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตรวจสอบและวิเคราะห์ความเสี่ยงสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคง ระดับเงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับความท้าทายจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจได้ ผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ปรับดีขึ้นจากการรับรู้กำไรพิเศษเป็นสำคัญ ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,845 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการจัดสรรกำไรเข้าเป็นเงินกองทุน การออกหุ้นเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางแห่งหนึ่งเพื่อรองรับการควบรวมกิจการ รวมถึงการออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 19.6 เงินสำรองของระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับสูงที่ 701.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32.4 พันล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) ทรงตัวที่ร้อยละ 149.9 ด้านอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤติ (liquidity coverage ratio: LCR) อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 187.5
ปี 2562 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 270.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 30.8 ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้กำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อรายย่อย ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิลดลงเล็กน้อยจากรายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินและรายได้ค่านายหน้าขายหลักทรัพย์ โดยอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (return on assets: ROA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 1.39 จากร้อยละ 1.11 ในปีก่อน ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (net interest margin: NIM) ทรงตัวที่ร้อยละ 2.73
สำหรับภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 2562 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.0 โดยมีรายละเอียดดังนี้
- สินเชื่อธุรกิจ (ร้อยละ 64.1 ของสินเชื่อรวม) หดตัวร้อยละ 0.8 ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการชำระคืนหนี้ในหลายประเภทธุรกิจ โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) หดตัวร้อยละ 1.9 และสินเชื่อธุรกิจ SME (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) หดตัวร้อยละ 2.1 ทั้งนี้สินเชื่อที่ให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 20 ล้านบาท) ขยายตัวในหลายประเภทธุรกิจ เช่น ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2562
- สินเชื่ออุปโภคบริโภค (ร้อยละ 35.9 ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวร้อยละ 7.5 ชะลอลงจากปีก่อนในประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรถยนต์เป็นหลัก ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลยังขยายตัวได้ในระดับสูง
คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นปี 2562 ยอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non-performing loan: NPL) อยู่ที่ 465 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 2.98
โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีการบริหารคุณภาพพอร์ตสินเชื่อด้วยการตัดหนี้สูญและการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้น สำหรับสัดส่วนสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (special mention: SM) ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.42 ณ สิ้นปี 2561 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.79 จากทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค หากตัดผลของรายการพิเศษออก ROA และ NIM ของปี 2562 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.01 และ 2.71 ตามลำดับ
“สำหรับผลกระทบของโคโรนา สถาบันการเงินมีกันชนเยอะอยู่ การรองรับหนี้ที่ด้อยคุณภาพอาจจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ในธุรกิจที่อาจจะถูกกระทบอาจจะคิดเป็น 10% ของสินเชื่อธุรกิจและ 6% ของสินเชื่อทั้งหมด และในนี้ 2 ใน 3 เป็นธุรกิจรายใหญ่ที่ใช้สินเชื่อมากกว่า 500 ล้านบาทขึ้นไปซึ่งมีสายป่านยาวพอจะรองรับได้ และที่เหลืออีก 1 ใน 3 จะกระทบจากโรคระบาดได้มาก ส่วนคุณภาพนี้เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ถ้าชะลอตัวก็อาจจะด้อยลง แต่ว่าด้วยการขอความร่วมมือจากธนาคารให้ดูแลลูกหนี้เหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เผชิญคือสภาพคล่องมากกว่าสถานะทางการเงิน เช่น ถูกยกเลิกการซื้อหรือเข้ามาเที่ยว ดังนั้นถ้าสถานการณ์กลับมาปกติก็จะกลับมาได้ ถ้าเข้ามาดูแลสภาพคล่องได้ก็จะช่วยให้ธุรกิจเหล่านี้ไปต่อไป”