ThaiPublica > เกาะกระแส > แบงก์ชาติย้ำการปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมล่าสุด มีผลบังคับใช้แล้ว

แบงก์ชาติย้ำการปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมล่าสุด มีผลบังคับใช้แล้ว

26 มกราคม 2020


แบงก์ชาติย้ำ การปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมล่าสุด มีผลบังคับใช้แล้ว ยกเว้นการคิดดอกเบี้ยผิดนัดจะมีผล 1 พ.ค. 63 ประชาชนได้รับสิทธิต่าง ๆ โดยไม่ต้องขอแก้สัญญา

วันที่ 25 ม.ค.2563 นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท. ได้สั่งการให้สถาบันการเงิน (สง.) ปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใน 3 เรื่อง เพื่อลดภาระของประชาชนนั้น

มีคำถามเข้ามาต่อเนื่องว่าเรื่องนี้เริ่มมีผลบังคับใช้หรือยัง จึงขอชี้แจงว่า ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนดและค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.2563

ในขณะที่ การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 พ.ค.63 เนื่องจากการปรับปรุงครั้งนี้ถือเป็นการปรับใหญ่ ตั้งแต่หลักคิดเกี่ยวกับการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จากเดิมที่คำนวณจากฐานของยอดหนี้คงเหลือทั้งหมด มาคิดเฉพาะเงินต้นของงวดที่ค้างชำระและผิดนัดแล้วจริงๆ (ไม่รวมงวดในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง) อีกทั้ง การปรับในครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับหลายระบบงานของสถาบันการเงิน จึงต้องใช้เวลาในการปรับระบบงานให้รองรับ

อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ก่อนถึงวันที่ 1 พ.ค. 63 ถ้าหากมีการผิดนัดชำระหนี้ สถาบันการเงินสามารถพิจารณายกเว้นหรือผ่อนปรนดอกเบี้ยปรับผิดนัดชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ได้ตามสมควร หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ที่ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินของแบงก์ชาติ โทร.1213

นอกจากนี้ อีกเรื่องที่ประชาชนถามเข้ามามากคือ ต้องไปแก้สัญญาหรือไม่เพื่อให้ได้รับสิทธิ จึงขอย้ำว่า ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปที่ สถาบันการเงินเพื่อทำการแก้ไขสัญญาใด ๆ เนื่องจากจะได้รับสิทธิต่าง ๆ โดยอัตโนมัติเมื่อหลักเกณฑ์ในแต่ละเรื่องเริ่มมีผลบังคับใช้ และสถาบันการเงินจะมีหนังสือแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ลูกค้าทราบด้วย

การปรับปรุงครั้งนี้นอกจะทำให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว จะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้นด้วยว่าระบบการธนาคารของไทยมีแนวปฏิบัติที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าการดำเนินธุรกิจของ สถาบันการเงินจะมั่นคงขึ้นในระยะยาว

ในระยะต่อไป ธปท. จะยกระดับงานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง สถาบันการเงินจะต้องนำหลักคิดใน 4 เรื่องดังต่อไปนี้มาประยุกต์ใช้กับการกำหนดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมสำหรับเรื่องอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ

    (1) ต้องสะท้อนต้นทุนจริงจากการให้บริการ
    (2) ต้องไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้บริการจนเกินสมควรและคำนึงถึงความสามารถในการชำระของผู้ใช้บริการ
    (3) ต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน
    (4) ต้องเปิดเผยอัตราค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ธปท. ได้จัดให้มีการเปรียบเทียบข้อมูลอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของ สถาบันการเงินแต่ละรายเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้บริการและเพื่อส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เหมาะสมมากขึ้น ตาม link นี้

อนึ่ง การปรับปรุงดอกเบี้ยและการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม 3 เรื่อง ที่ ธปท.ได้สั่งการไป มีรายละเอียดโดยสังเขป ดังนี้

1. ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (prepayment charge) สำหรับสินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด ซึ่งเดิมผู้ประกอบการบางรายคิดค่าปรับจากฐานวงเงินสินเชื่อทั้งก้อน (รูปที่ 1)

เกณฑ์ใหม่ให้คิดค่าปรับบนยอดเงินต้นคงเหลือ รวมทั้ง ให้กำหนดช่วงระยะเวลาที่จะยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับการไถ่ถอน ความสำคัญของเรื่องนี้คือ ค่าปรับที่ไม่สูงจะช่วยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ประกอบการที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดและช่วยเพิ่มการแข่งขันในระบบ รวมทั้งทำให้ตลาด refinancing เกิดขึ้นในประเทศไทย

2. ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด เดิมการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะคิดบนฐานของเงินต้นคงเหลือ (รูปที่ 2)

เกณฑ์ใหม่ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนค่างวด (installment) ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระ เฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้นของค่างวดนั้น

นอกจากนี้ให้สถาบันการเงินกำหนดช่วงระยะเวลาการผ่อนผันไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (grace period) ในกรณีที่ลูกหนี้อาจมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และให้แจงรายละเอียดของยอดหนี้ค้างชำระ เช่น ดอกเบี้ยผิดนัดชำระ ค่าธรรมเนียมทวงถามหนี้ ให้ลูกหนี้ทราบอย่างชัดเจน

การปรับปรุงในครั้งนี้นอกจากจะทำให้เป็นธรรมมากขึ้นแล้ว จะช่วยลดโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ (affordability risk)

3. ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร เดิมไม่มีการคืนส่วนต่างหรือคืนเมื่อร้องขอเท่านั้น (รูปที่ 3)

เกณฑ์ใหม่ให้คืนค่าธรรมเนียมรายปีตามสัดส่วนระยะเวลาคงเหลือของบัตรแก่ผู้ใช้บริการโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้บริการร้องขอ และกรณีต้องออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน เดิมจะเรียกเก็บทุกกรณี เกณฑ์ใหม่ให้ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน แต่หากกรณีที่ออกบัตรหรือรหัสทดแทนมีต้นทุนสูงอาจพิจารณาจัดเก็บได้ตามความเหมาะสม