ThaiPublica > เกาะกระแส > กสศ.จับมือ 73 หน่วยพัฒนาอาชีพ สร้างต้นแบบทักษะอาชีพแรงงานนอกระบบการศึกษา-ด้อยโอกาส-รายได้ต่ำกว่า 6,500 บ./เดือน

กสศ.จับมือ 73 หน่วยพัฒนาอาชีพ สร้างต้นแบบทักษะอาชีพแรงงานนอกระบบการศึกษา-ด้อยโอกาส-รายได้ต่ำกว่า 6,500 บ./เดือน

19 กันยายน 2019


กสศ.จับมือ 73 หน่วยพัฒนาอาชีพทั่วประเทศ ใช้ชุมชนเป็นฐาน สร้างระบบต้นแบบยกระดับทักษะอาชีพแรงงานยากจน ด้อยโอกาส ให้เป็นแรงงานฝีมือ เป็นผู้ประกอบการ สตาร์ทอัปของชุมชน สร้างเศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง แก้เหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง ตั้งเป้าปีแรกช่วยเหลือมากกว่า 6 พันคน ใน 42 จังหวัด

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2562 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาหรือ กสศ. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงข้อเสนอโครงการพัฒนาระบบทดลองการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส โดยมีเครือข่ายหน่วยพัฒนาอาชีพ ยกระดับอาชีพแรงงานยากจน ด้อยโอกาส จำนวน 73 แห่งจากทั่วประเทศเข้าร่วม

ศ. ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ประธานคณะกรรมการกำกับทิศทาง โครงการพัฒนาระบบทดลองการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส กสศ. และที่ปรึกษาคณะกรรมการ กสศ. กล่าวว่า กสศ.ร่วมกับเครือข่ายหน่วยพัฒนาอาชีพจำนวน 73 แห่ง เช่น กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน วิทยาลัยชุมชน มหาวิทยาลัย ศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์ปราชญ์ กศน.อำเภอ วิสาหกิจชุมชน ร่วมดำเนินโครงการพัฒนาระบบตัวอย่างการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสโดยมีชุมชนเป็นฐาน มุ่งยกระดับฝีมือแรงงานระดับ 1.0 และ 2.0 ไม่จำกัดอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานนอกระบบที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและมีรายได้ต่ำกว่า 6,500 บาท รวมถึงผู้ด้อยโอกาส เช่น ผู้ที่ว่างงาน คนพิการ คนเร่ร่อน เยาวชนในสถานพินิจ ผู้ต้องขัง ที่ทำงานอยู่ในภาคเกษตรกรรม หัตถกรรม เน้นการใช้แรงงานหนักและราคาถูก ให้มีทักษะสูงขึ้น มีงานทำ มีโมเดลธุรกิจของตัวเอง มีรายได้สูงขึ้น โดยมีพื้นที่ปฏิบัติการระดับตำบลหรือเทศบาลจำนวนกว่า 76 ตำบล ใน 42 จังหวัดครอบคลุมทุกภูมิภาค ในปีแรกจะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากกว่า 6,239 คน

ศ. นพ.สมพงษ์ กล่าวว่า หน่วยพัฒนาอาชีพทั้ง 73 แห่งจะออกแบบระบบพัฒนาทักษะแรงงานยากจน ด้อยโอกาสที่เน้น 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. การใช้ชุมชนเป็นฐาน (community-based) เพื่อยกระดับการประกอบอาชีพ มีการวิเคราะห์ทุนชุมชน จุดแข็ง จุดอ่อน ทำ social mapping เพื่อกำหนดแผนธุรกิจและแผนกำลังคนที่เหมาะสมกับชุมชนท้องถิ่น 2. การพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ/แรงงานฝีมือในชุมชน ผ่านหลักสูตรระยะสั้น 100-200 ชั่วโมง ครอบคลุมด้านทักษะอาชีพโดยปฏิบัติงานจริงในชุมชนหรือสถานประกอบการ ทักษะการบริหารจัดการสำหรับศตวรรษที่ 21 และทักษะชีวิตด้านเศรษฐศาสตร์ครัวเรือน 3. การเสริมสร้างสมรรถนะแก่ชุมชนและภาคเอกชน โดยจะส่งเสริมบทบาทในการเป็นเจ้าภาพหลักในการพัฒนา

ศ. ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

“รัฐบาลบอกประเทศต้องก้าวไปสู่ 4.0 แต่คนของเรากว่า 16.1 ล้านคน ยังเป็น 1.0 หรือ 2.0 ได้รับการศึกษาครึ่งๆ กลางๆ จบมัธยมต้นหรือต่ำกว่า ถูกทอดทิ้งให้เป็นแรงงานนอกระบบ คนว่างงาน คนพิการ สุดท้ายกลายเป็นภาระชุมชนและสังคม ถูกตีตราเป็นคนด้อยโอกาส โครงการนี้จะช่วยให้โอกาสคนกลุ่มนี้ได้มีตัวตน มีที่ยืนในสังคม รอดพ้นจากวิกฤติชีวิต ที่ผ่านมาระบบทุนนิยมดึงลูกหลานเราออกจากชุมชนทุกวัน ชุมชนอ่อนแอลงตามลำดับ ช่องว่างในประเทศมากขึ้นทุกวัน ความเหลื่อมล้ำเป็นผลพวงจากเรื่องนี้ การแก้ไขต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ให้ชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจของประเทศ และตัดวงจรความเหลื่อมล้ำข้ามชั่วคนได้ ” ศ. ดร.สมพงษ์ กล่าว

ที่ปรึกษา กสศ.กล่าวว่า เครือข่ายหน่วยพัฒนาอาชีพทั้ง 73 แห่งจะจับคู่กับชุมชนดำเนินงานยกระดับทักษะการประกอบอาชีพให้กับแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ซึ่งธุรกิจชุมชนเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญที่สุดในพื้นที่ชนบท โครงการจะส่งเสริมให้ชุมชนและสถานประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เกิดเป็นเครือข่ายจับคู่การพัฒนา เช่น การร่วมเป็นวิทยากร การใช้สถานที่ฝึกงาน และการสมทบทรัพยากรในรูปแบบที่เป็นไปได้ มุ่งเน้นกระบวนการเสริมศักยภาพของชุมชนในการพัฒนาอาชีพ บนฐานข้อมูล ความรู้ ทุนทางสังคม เศรษฐกิจ และทรัพยากร สร้าง creative space ที่มีการใช้เทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และทุนทางสังคม เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ มุ่งเป้าตรงตามความต้องการของชุมชนหรือตลาดแรงงานท้องถิ่น ร่วมไปกับการสร้างพื้นฐานทักษะอาชีพในฐานะผู้ประกอบการขนาดย่อมในชุมชน

“ทั้ง 73 โครงการจะเป็นโมเดลหรือระบบต้นแบบสำคัญของประเทศ ในการยกระดับแรงงาน 1.0 หรือ 2.0 ให้เป็นแรงงานมีฝีมือ เป็นผู้ประกอบการ สตาร์ทอัปรุ่นใหม่ของชุมชน ผมคิดว่าเรื่องนี้ กสศ.มาถูกทาง โครงการนี้ตอบโจทย์สำคัญของประเทศในการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจ 4.0 ที่ยั่งยืน มีชุมชนเป็นฐาน แก้เหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง และไม่ว่าจะเกิดวิกฤติอะไร ชุมชนจะรองรับได้” ศ. ดร.สมพงษ์ กล่าว

นายชาญ อุทธิยะ ปราชญ์ชาวบ้านภาคเหนือ บ้านสามขา อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องเน้นสร้างฐานให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง และจำเป็นต้องมีกระบวนการมีส่วนร่วม ช่วยกันมองปัญหา ช่วยกันคิด ต้องทำให้ชุมชนเห็นคุณค่าในการพัฒนากลุ่มคนด้อยโอกาสให้ได้รับการช่วยเหลือ ฝึกฝนพัฒนาอาชีพอย่างเท่าเทียมเสมอภาค ตัวอย่างเช่น ในชุมชนตอนนี้ เรามีทุนเดิมเป็นทรัพยากรธรรมชาติ มีวัตถุดิบที่อยู่ในชุมชน ดังนั้นเราต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น การพัฒนาสายพันธุ์ข้าว จนกระทั่งติดตลาด มีอาชีพเสริม มีเงินเก็บออม ถือเป็นการติดอาวุธทางปัญญาสู่การพัฒนาทรัพยากร พัฒนาอาชีพแบบยั่งยืน