ThaiPublica > คอลัมน์ > 22 July “ผมทำไปเพื่อปกป้องประเทศชาติ…ผมเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าพวกเขาให้มากกว่านี้”

22 July “ผมทำไปเพื่อปกป้องประเทศชาติ…ผมเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าพวกเขาให้มากกว่านี้”

30 พฤศจิกายน 2018


1721955

“วันนี้ผมขอกล่าวแทนชาวยุโรป ผู้ซึ่งถูกบั่นทอนสิทธิด้าน เชื้อชาติ วัฒนธรรมดั้งเดิม และสิทธิสภาพเหนือดินแดน ฝ่ายอัยการกล่าวหาว่าผมวิกลจริต เพราะพวกเขากลัวผม เพราะผมได้ทำการสังหารทางการเมือง ที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่านอร์เวย์…ยุโรป มิได้เป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง…พวกเรากำลังถูกบังคับให้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศตนเอง หลายคนจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีขึ้นภายในอีกไม่กี่ทศวรรษที่จะถึงนี้ และพวกเขาจะหยิบอาวุธขึ้นมาฆ่าเหมือนเช่นที่ผมทำ เมื่อการปฎิวัติอย่างสงบเป็นไปไม่ได้ การปฎิวัติด้วยความรุนแรงจึงเป็นอีกทางเลือกเดียวเท่านั้น ผมขอให้ศาลตัดสินว่าผมไม่ผิด เพราะผมทำไปเพื่อปกป้องประเทศของผม” คือคำกล่าวต่อศาลของ แอนเดอร์ส เบห์ริ่ง ไบรวิค ฆาตกรสังหารหมู่ชาวนอร์เวย์ ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 77 คน และบาดเจ็บอีก 319 คน ภายในวันเดียว

บทความในคราวนี้อาจจะต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเพราะไม่ได้มุ่งไปที่สารคดีเรื่องเดียว ด้วยเหตุว่าในปี 2018 นี้ มีหนังสองเรื่องที่เล่าเหตุการณ์เดียวกัน หนึ่งคือ 22 July หนังอเมริกันของ พอล กรีนกราสส์ ซึ่งเปิดตัวและคว้ารางวัลด้านสิทธิมนุษยชนในเทศกาลหนังเมืองเวนิส (พอลเคยชิงออสการ์จาก United 93 และ Captain Phillips) กับอีกหนึ่งคือ Utøya: July 22 หนังนอร์เวย์ของ อีริก โพปป์ ซึ่งเปิดตัวและเข้าชิงรางวัลหมีทอง ในเทศกาลหนังเบอร์ลิน

หนังทั้งสองเรื่องเล่าต่างมุมมองกัน บนเหตุสะเทือนขวัญครั้งเดียวกันที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2011 นอกจากนี้ยังมีสารคดีทีวีอีก 6 เรื่องที่เล่าเหตุการณ์เดียวกันนี้ คือ

  • Norway Massacre: The Killer’s Mind (2011- ช่อง Discovery)
  • Norway Massacre: I Was There (2012 -ตอนแรกในซีซัน 6 ช่อง National Geographic ชุด Seconds From Disaster)
  • The Norway Massacre: Sofie/Adrian/Magnus/Rebekka (2012 -ตอนที่ 10 ในซีซัน 5 ช่อง The Biography ชุด I Survived…)
  • This World: Norway’s Massacre (2012 -ช่อง BBC)
  • Anders Breivik (2015 -ตอนที่ 3 ซีซัน 1 ช่องNetflix ชุด Inside the Mind of a Serial Killer)
  • Anders Breivik Massacre (2017 – ตอนที่ 10 ช่อง CBS ชุด The Day I Should Have Died)

กับหนังสารคดีฟินแลนด์อีกหนึ่งเรื่องที่ร้อยเรียงความโกรธเกรี้ยวของฆาตกรหลากหลายเหตุการณ์ ใน White Rage (2015) ที่หนึ่งในนั้นคือเหตุสังหารหมู่บนเกาะอูเตอย่า นอร์เวย์

โดยเหตุการณ์ระลอกแรกเริ่มขึ้นในวันนั้น เวลา 15:25 น. เมื่อเกิดความโกลาหลหลังจากมีรถตู้คันหนึ่ง ระเบิดกลางเมืองออสโล ใกล้อาคารสำนักนายกฯ มีผู้เสียชีวิต 8 คน และบาดเจ็บ 209 ราย ถัดจากนั้นอีกเพียงชั่วโมงครึ่ง บนเกาะอูเตอย่า ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุแรกราว 40 กม. ก็เกิดเหตุการณ์คนร้ายบุกเดี่ยวกราดยิงวัยรุ่นจากหลากหลายประเทศ ที่มาชุมนุมกันในค่ายเยาวชนนานาชาติของพรรคแรงงานนอร์เวย์ ในช่วงซัมเมอร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตบนเกาะอีก 69 ราย และบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 110 ราย

โดยทั้งหมดเป็นฝีมือของคนร้ายชาวนอร์เวย์วัย 32 ปีเพียงคนเดียว ชื่อ แอนเดอร์ส เบห์ริ่ง ไบรวิค!!!

ฆาตกรอ้างว่าเป็นตำรวจ โดยติดต่อว่าจะขอมาขึ้นเกาะเพื่อดูแลความปลอดภัย เนื่องจากมีการระเบิดกลางเมือง(ที่ตัวเขาเองเป็นคนวางระเบิดนั้น) ทำให้เขาสามารถแฝงตัวเข้ามาได้โดยง่าย บนเกาะที่ล้อมรอบด้วยทะเลสาปลึก 600 เมตร กับบรรดาวัยรุ่นเกือบ 600 คน ก็กลายเป็นเหยื่อบนเกาะปิดตายให้ไบรวิคไล่ฆ่าอย่างง่ายดายพลางก็ตะโกนว่า “พวกแกต้องตาย พวกมาร์กซิส เสรีนิยม พวกอีลีทชั้นสูง”

ใน Norway Massacre: I Was There (2012) ระบุว่า “ไม่นานก่อนเกิดเหตุ ไบรวิคได้ส่งอีเมล์แถลงการณ์ชื่อ 2083 การประกาศอิสรภาพของยุโรป ไปหาพวกฝ่ายขวากว่าหนึ่งพันคนทั่วโลก โดยมีเนื้อหาโจมตีนักเสรีนิยม โดยพุ่งเป้าทำลายล้างพรรคแรงงาน (อันเป็นรัฐบาลของนอร์เวย์อยู่ในเวลานั้น) โดยกล่าวโทษว่าเป็นตัวการปล่อยให้พวกมุสลิมเข้ามาในประเทศ”

ขณะที่ Norway Massacre: The Killer’s Mind (2011) สาวย้อนกลับไปถึงปมปัญหาว่าทำไมไบรวิคจึงก่อเหตุรุนแรงเช่นนี้ว่า “ไบรวิคเกิดในปี 1979 เป็นบุตรชายของแม่ผู้เป็นนางพยาบาล และพ่อผู้เป็นเจ้าหน้าที่กงศุลประจำกรุงลอนดอน และฝรั่งเศส เขาเป็นเหมือนชนชั้นกลางทั่วไป ช่วงอายุ 20 เขาทำศัลยกรรมพลาสติกเพื่อหวังจะเป็นนายแบบ แต่เมื่อล้มเหลวเขาก็หันเหมาสนใจการเมือง แล้วเริ่มเขียนแถลงการณ์ 2083 ที่มีความหนาถึง 1,518 หน้า โดยเขาเคลมว่ากลุ่มประเทศยุโรปคือเมืองคริสต์ เขาจึงไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงต่อนโยบายอ้าแขนรับกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวมุสลิม ผู้ประสบภัยจากกรณีอาหรับสปริง”

ในสารคดีเรื่องเดียวกันนี้ยังสาวลึกไปอีกว่า “ไบรวิคให้การว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มบนโลกออนไลน์ที่เรียกตัวเองว่าThe Knights Templar อันเป็นเครือข่าวคนรักชาติ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี2002 หลังจากภัยก่อการร้ายในเหตุการณ์ 9/11 ปี2001 ที่อเมริกา” ไบรวิคเชื่อมโยงเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เข้ากับความรู้ทางประวัติศาสตร์ The Knights Templar เป็นชื่อของกองกำลังทหารที่เคยมีอยู่จริงในช่วง ค.ศ.1119-1314 อันเป็นทหารผ่านศึกสงครามครูเสดที่รวมตัวกันฆ่ากบฎชาวมุสลิม โดยได้รับการรับรองอำนาจผ่านทางคริสตจักรคาทอลิก มีสัญลักษณ์เป็นกางเขนแดงบนชุดขาว (อันเป็นสัญลักษณ์เดียวกันกับกลุ่ม KKK พวกเหยียดผิวหัวรุนแรงในอเมริกา) โดยไบรวิคเมินที่จะสนใจความจริงข้อหนึ่งว่าในอดีตนั้น กลุ่มนี้ถูกกำจัดโดยฝ่ายวัดร่วมกับฝ่ายวังเอง เมื่อเห็นว่าคนกลุ่มนี้ใช้อำนาจเหิมเกริมเกินไป

นอกจากนี้สิ่งที่จะเห็นได้ชัดทั้งในหนังฟิคชั่นและสารคดีทุกเวอร์ชั่น คือ ไบรวิคเข้ามาในศาลโดยทำท่าสลุตยกมือขวาขึ้นแบบเดียวกับที่ใช้กันในสมัยนาซี ด้วยท่าทีมุ่งมั่นและกล่าวถ้อยคำอันน่าตกใจในระหว่างที่ถูกไต่สวนในศาลว่าเขารู้สึกเห็นใจต่อเหยื่อเหล่านี้หรือไม่ ไบรวิคตอบด้วยว่า “ผมเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าพวกเขาให้มากกว่านี้” เขาถือว่าพวกฝ่ายซ้ายมาร์กซิสเป็นต้นตอให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรม เขาจึงเชื่อว่าการสังหารหมู่นองเลือดของเขาเป็นเสมือนคำประกาศเจตนารมย์ เพื่อบรรลุข้อเรียกร้องให้เนรเทศมุสลิมทั้งหมดออกจากยุโรป และเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำไม่ใช่ความผิดเพราะว่า “ผมทำไปเพื่อปกป้องประเทศชาติ”

หมายเหตุ: นอร์เวย์ไม่มีโทษประหาร ดังนั้นโทษสูงสุดที่ไบรวิคได้รับคือถูกขังเดี่ยวเป็นเวลาอย่างน้อย 21 ปี ตราบเท่าที่เขาไม่เป็นอันตรายต่อสังคม ซึ่งเขาเลือกจะไม่ยื่นอุธรณ์โดยประกาศกร้าวว่าเขาไม่เชื่อในกฎหมาย แต่ล่าสุดเมื่อต้นปี 2017 ไบรวิค กลับยื่นฟ้องต่อศาลว่าการถูกขังเดี่ยวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อตัวเขา รัฐบาลจึงให้ความเห็นต่อศาลว่า การขังเดี่ยวเขานั้นถือเป็นการดูแลเขาอย่างที่มนุษย์พึงกระทำต่อกันแล้ว แม้ว่าสิ่งที่เขากระทำต่อเพื่อนมนุษย์นั้นจะเป็นความผิดร้ายแรงก็ตาม