เดิมพันทางการเมืองของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ในรอบ 2 ทศวรรษ เขาแทบไม่เคยอยู่ในดินแดนของความพ่ายแพ้
กว่า 4 ทศวรรษ ไม่เคยประกอบอาชีพอื่นใด นอกจากนักการเมือง
แม้พรรคประชาธิปัตย์จะพ่ายในเกมเลือกตั้งใหญ่ แต่ “สุเทพ” ครองตำแหน่ง ส.ส. ต่อเนื่อง 10 สมัย
เขาลงสนามการเมืองคราใด สปอตไลต์ฉายจับ
10 ปีก่อน เขาผลักร่างทรงของ “ทักษิณ ชินวัตร” พ้นกระดานการเมืองโดยไม่ต้องออกแรง เมื่อ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 จากพรรคพลังประชาชน ถูกวินิจฉัยให้ “ยุบพรรค”
“สุเทพ” ดึงนักการเมืองระดับพระกาฬ-แปรพักตร์ จาก “ทักษิณ” โหวตอุ้ม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27
ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เขาเป็นผู้จัดการรัฐบาล ดีลเกมการเมืองที่แหลมคมที่สุดยุคหนึ่ง ภายใต้พรรคร่วมรัฐบาลถึง 7 พรรค
ทั้ง เนวิน ชิดชอบ ที่เปล่งวาจา “มันจบแล้วครับนาย…การเมืองเซ็ตซีโร่” ออกจากอ้อมกอด “ทักษิณ” โผเข้ากอด “อภิสิทธิ์” พลิกจากศัตรูมาเป็นมิตรกับ “สุเทพ”
แม้กระทั่ง มังกรการเมืองผู้ล่วงลับ บรรหาร ศิลปอาชา ที่ “สุเทพ” เคยอภิปราย-ยกมือไม่ไว้วางใจแบบ “สุดแขน” เรื่อง “สัญชาติมังกร” ก็ผันหน้ามายอมเป็นฝ่ายเดียวกัน
ไม่ต้องนับคนการเมืองพันธุ์พิเศษอย่าง สุวัจน์ ลิปตพัลลภ กลุ่ม 3 พี พินิจ จารุสมบัติ, ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และไพโรจน์ สุวรรณฉวี ที่ย้ายขั้วมาขึ้นตรงกับ “ทีมสุเทพ”
“สุเทพ” สะสมชัยชนะทุกเกมในพรรคร่วมรัฐบาล แม้เพลี่ยงพล้ำให้ “เนวิน” ในบางยก-บางโครงการ แต่ประคองรัฐบาล “อภิสิทธ์” ผ่านมรสุมม็อบเสื้อแดง-พฤษภา 53 ได้ถึง 2 ปี 232 วัน
นอกจากกองกำลังคนการเมือง จะพลิกกายเข้าร่วมขบวนกับ “สุเทพ” แล้ว ยังมีกองกำลังไม่เลือกข้างทางการเมือง-อำมาตย์-นายพลขุนทหาร ต่างตอบรับไมตรีของ “สุเทพ”
เมื่อเขาตัดสินใจออกจากสถานีประชาธิปัตย์ ปักหลักที่สถานีสามเสน-อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อตั้งคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.)
เคลื่อนไหว-ชัตดาวน์กรุงเทพมหานคร 204 วัน รวบรวมมวลชนเคลื่อนไหวได้มากถึง 5.8 ล้านคน ด้วยสัญญลักษณ์ “นกหวีด-ธงชาติ-เพลงสู้ไม่ถอย” และ “ฉายาลุงกำนัน”
เดิมพันครั้งนั้น-ดัน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้ยุบสภา-พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี มีคดีทุจริต “ข้าว” ปักหลัง-แลกกับวาระ “รัฐประหาร” ส่งเทียบเชิญ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะทหาร ขึ้นครองอำนาจยาวนานก้าวขึ้นปีที่ 5
หลังลี้ภัยอาญาแผ่นดิน เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ “สุเทพ” สึกออกมา-จุติใหม่ เป็นประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย
ระหว่างซุ่มร่าง-ซ่อนเล็บ อยู่บนเกาะสมุย “สุเทพ” เป็นพาวเวอร์แบงก์รุ่นพิเศษ เสียบท่อต่อสายจากทุกเครือข่าย ทั้งธุรกิจ-การเมือง
มีแขกวีไอพีเวียนว่ายเข้าพบ ตั้งแต่ทายาทเจ้าสัวใหญ่ ไปจนถึงรองนายกรัฐมนตรีผู้มีบารมีในรัฐบาล “ประยุทธ์”
เขาปรากฏกายอีกครั้ง เมื่ออำมาตย์เก่า-ใหม่ สับเปลี่ยนกำลัง
ชื่อสุเทพ-คืนเวทีการเมืองท่ามกลางน้ำตา ในฐานะผู้ก่อตั้ง-เบื้องหลัง พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)
ดันเพื่อนเก่า สายอนุรักษนิยม “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” ขึ้นเป็นหัวลวง แล้วเชิด “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริง
“สุเทพ” กับ “เอนก” ไม่ใช่เพิ่งถางป่ามาพบกัน แต่สัมพันธ์แนบแน่นตั้งแต่ยุคร่วมพรรคประชาธิปัตย์
“สุเทพ” เคยบอก “เอนก” ต่อหน้า ส.ส. หลายคนว่า “นอกจากคุณอภิสิทธิ์แล้ว อาจารย์เอนกก็เป็นหัวหน้าพรรคได้เหมือนกัน”
“เอนก” ในห้วงที่เข้าสู่สนามการเมืองใหม่ๆ มีความสดใสในความคิด ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขาลอบมอง “สุเทพ” ให้ทัศนะว่า “สุเทพนั้นเป็นคนมีความใจกว้าง แม้สุเทพจะสนับสนุนอภิสิทธิ์อย่างเต็มตัว แต่ยังเปิดใจรับฟังความคิดใหม่ๆ ที่น่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ ความใจกว้างเช่นนี้เป็นคุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งของนักการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องทำงานใหญ่”
“สุเทพเป็นคนที่มีความคิดก้าวหน้าที่สุดคนหนึ่ง เพียงแต่คนภายนอกอาจจะสัมผัสถึงได้ยากกว่าคนภายใน”
“เอนก” บอกว่า “สิ่งที่คนภายนอกไม่ค่อยรู้ก็คือ สุเทพเป็นนักรัฐศาสตร์ จึงเป็นคนที่สนใจปรัชญาการเมือง ซึ่งในพรรคประชาธิปัตย์มีไม่กี่คน เพราะ ส.ส. ของพรรคส่วนใหญ่เป็นนักกฎหมาย หรือไม่ก็มีความรู้เฉพาะทาง เช่น สายเศรษฐศาสตร์ หรือบริหารธุรกิจ ประชาธิปัตย์จึงเป็นพรรคที่ขาดแคลนนักรัฐศาสตร์ รวมทั้งนักสังคมวิทยา ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงของรัฐและสังคม”
ครั้งที่การขับเคี่ยวกันในพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อชิงหัวหน้าพรรค ระหว่างอภิสิทธิ์ กับบัญญัติ บรรทัดฐาน ภายใต้การล็อบบี้ของ “สุเทพ” ที่หนุน “อภิสิทธิ์”
แต่ในที่สุด “บัญญัติ” ชนะ ได้เป็นหัวหน้าพรรค
“เอนก” เล่าเชาวน์ปัญญาของ “สุเทพ” ไว้ว่า “สุเทพหงุดหงิดผิดหวัง โดยเฉพาะกับคนที่รับปากไว้แต่ไม่ลงคะแนนให้อภิสิทธิ์ แม้การลงคะแนนจะเป็นความลับ แต่สุเทพก็โกรธ ‘ถูกตัว’ ทุกคน และแทบจะเดาได้หมดว่า ใครเป็นคนที่กลับใจไม่ลงคะแนนให้ สุเทพนับว่าเป็นคนที่มีสัญชาติญาณทางการเมืองสูงมากคนหนึ่ง”
ห้วงที่ไทยรักไทยกำลังกำชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ ประชาธิปัตย์อยู่ในแดนฝ่ายค้าน “เอนก” วิเคราะห์ลู่ทางเอาชนะ “ทักษิณ” ว่า…
“คุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยจะนำเสนอความคิดแบบสุดลิ่ม ถ้าคนชอบจะชอบมาก ส่วนคนไม่ชอบจะวิจารณ์รุนแรงหลายเรื่องที่ทักษิณเสนอ จึงจับใจมากกว่าคนประชาธิปัตย์ ที่เชี่ยวชาญในการตัดเย็บปรับแก้จนพอใจ แล้วจึงผ่านความคิดออกมาเป็นกฎหมายหรือนโยบาย”
“ประชาธิปัตย์ถูกฝึกมาให้ลดความเฟื่องของคน ด้วยการตัดมุมโน้นนิด มุมนั้นหน่อย จนในที่สุดความคิดใหม่ๆ จะไม่เหลือความแหลมคมอยู่เลย…ความคิดถ้าไม่แตกต่าง ไม่เหลือความแหลมคมอยู่แล้ว ก็ไม่สามารถแทงทะลุปัญหาไปสู่ทางออกใหม่ๆ”
“เมื่อไทยรักไทยเอาจริงเอาจังกับการเสนอความคิด ประชาธิปัตย์จึงถอยร่นอย่างไม่เป็นกระบวน เนื่องจากไม่สามารถต่อสู้ทางความคิดกับไทยรักไทยได้ ความคิดของประชาธิปัตย์จึงดูแห้งแล้ง ไม่มีชีวิต ขาดสีสัน”
“ประชาธิปัตย์ จะพลิกตัวเองให้สามารถแข่งขันทางความคิดกับไทยรักไทยได้ จะอาศัยการอ่านหนังสือไม่กี่เล่มแล้วนำมาเขียนนโยบายคงไม่เพียงพอ แต่ประชาธิปัตย์จำเป็นต้องจับจุดอ่อนของไทยรักไทยให้ถูก เพราะนโยบายที่ไทยรักไทยนำมาใช้ส่วนใหญ่ถูกผลิตโดยนักคิดจากโลกธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีจุดอ่อนคือ ขาดมุมมองด้านประวัติศาสตร์ อารยธรรม วัฒนธรรม และภูมิศาสตร์”
“การต่อสู้กับไทยรักไทยได้ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของพรรคก่อน ถ้าวัฒนธรรมแบบตั้งรับ ก็ยากที่จะรองรับหรือผลิตชุดความคิดใหม่ๆ ได้…เมื่อประชาธิปัตย์เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ขาดสีสัน และก้าวไม่ทันลีลาของไทยรักไทย”
ผ่านเวลามากว่า 1 ทศวรรษ คำพยากรณ์ของ “เอนก” พิสูจน์ว่าหลายอย่างเป็นจริง ประชาธิปัตย์ยังไม่ชนะเลือกตั้ง-ยังไม่ชนะ
ทักษิณ
ทว่า “สุเทพ” ทำให้ “ทักษิณ” แพ้ไปแล้วถึง 2 ยก
เกมการเมืองใหญ่ที่กำลังจะมาถึงจึงท้าทายคำพยากรณ์ของ “เอนก” และพาวเวอร์ของเครือข่าย “สุเทพ” ว่าจะสามารถกำชัยชนะเหนือ “ทักษิณ” ได้หรือไม่…หากมีวันเลือกตั้ง-หากวันนั้นมาถึง