
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ Head of Economist ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics กล่าวว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี” (TMB-SME Sentiment Index) ณ ไตรมาส 1 ของปี 2561 จากความเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กว่า 1,268 รายทั่วประเทศ สำรวจโดยศูนย์บริหารความสัมพันธ์ลูกค้าเอสเอ็มอี (RMC) ทีเอ็มบี พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นปัจจุบันของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปีมาอยู่ที่ระดับ 40.2 เพิ่มขึ้นจากระดับ 35.5 ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน
การปรับตัวดีขึ้นมาจากทั้งความเชื่อมั่นด้านรายได้และความเชื่อมั่นด้านต้นทุนที่ดีขึ้น โดยความเชื่อมั่นด้านรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 49.2 สูงสุดในรอบ 5 ปี และดีขึ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออก กรุงเทพและปริมณฑล เนื่องจากได้รับแรงส่งการค้า การส่งออกและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง ในขณะความเชื่อมั่นด้านต้นทุนพบว่าอยู่ที่ 31.1 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จะเห็นว่าในภาพรวมผู้ประกอบการมีความกังวลด้านต้นทุนลดลงและส่วนใหญ่กังวลในเรื่องต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่ปรับขึ้นในเดือนเมษายนนี้
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 49.7 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 51.9 จากไตรมาสก่อน โดยความเชื่อมั่นด้านรายได้ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 63.3 ลดลงจากระดับ 65.9 ในไตรมาสก่อน และดัชนีความเชื่อมันด้านต้นทุน 3 เดือนข้างหน้าลดลงจาก 37.8 ในไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 36.1 ในไตรมาสนี้ จึงกดดันดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าให้ปรับตัวลดลงเล็กน้อย
เมื่อพิจารณาเจาะลึกลงไปที่ดัชนีความเชื่อมั่นด้านรายได้ในปัจจุบันของเอสเอ็มอี ที่ปรับดีขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ตอบว่า มีสาเหตุมาจากสองปัจจัยหลักคือ
1) ปัจจัยเศรษฐกิจฟื้นตัว ได้แก่ ลูกค้าทั้งเก่าและใหม่สั่งซื้อสินค้ามากขึ้น ยอดขายเติบโตตามห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการส่งออกและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผลบวกจากนโยบายภาครัฐ (อาทิ ธงฟ้าประชารัฐ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ)
2) ปัจจัยการเข้าสู่ฤดูกาลขาย ได้แก่ เข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวสินค้าเกษตร ช่วง high season การท่องเที่ยว เข้าสู่เทศกาลรื่นเริง เข้าหน้าแล้งทำให้การก่อสร้างง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจความเชื่อมั่นด้านรายได้ พบว่าปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีจำนวนผู้ตอบที่มากกว่าปัจจัยการสู่เข้าฤดูการขาย ชี้ว่าผู้ประกอบการเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากขึ้น
เมื่อหันมาดูเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจของธุรกิจเอสเอ็มอีประกอบการสำรวจความเชื่อมั่น ดร.เบญจรงค์ กล่าวว่าดีขึ้นตามลำดับจากไตรมาสก่อนหน้า ไล่ตั้งแต่ภาคการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น ตัวอย่างเช่นข้าวเปลือก ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรกลุ่มใหญ่ของประเทศ มีราคาที่ประมาณการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 7,739 ต่อตันในปี 2560 เป็น 7,950 บาทต่อตัน เช่นเดียวกับปริมาณข้าวเปลือกที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5% ขณะที่สินค้าเกษตรหลักอื่นๆเช่น อ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มีราคาลดลงเล็กน้อย แต่ได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้นมาชดเชย ยกเว้นมันสำปะหลังที่แม้ปริมาณจะลดลง แต่ราคาสามารถเพิ่มขึ้นมาชดเชยได้ โดยรวมสินค้าเกษตรหลัก 5 ประเภทจะมีมูลค่าเติบโตที่ 3.2% มาอยู่ที่ 745,000 ล้านบาท
ขณะที่การท่องเที่ยวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงและกระจายลงไปยังธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วประเทศ จะมีรายได้ประมาณ 236,000 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่ 83% มาจากนักท่องเที่ยวคนไทย ขณะที่การท่องเที่ยวของชาติต่างชาติ คาดว่าจะมีรายได้ 2 ล้านล้านบาท โดย 88% จะกระจุกตัวในกลุ่มจังหวัดใหญ่ กรุงเทพ ภูเก็ต ชลบุรี สุราษฎ์ธานี และกระบี่ ธุรกิจเอสเอ็มอีในกลุ่มจังหวัดเหล่านี้จะได้รับอานิสงค์จากภาคท่องเที่ยวค่อนข้างมาก
สุดท้ายภาคส่งออกสินค้า 7 กลุ่มสินค้าที่คิดเป็น 60% ของการส่งออกของเอสเอ็มอีทั้งหมด ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์อาหาร, ยานยนต์และชิ้นส่วน, เครื่องดื่ม, เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอส์, ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล, ไม้แปรรูป คาดการณ์ว่ามูลค่าจะเติมโตตั้งแต่ 3-15%
การส่งออกสินค้ายังไปสอดคล้องกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร โดยเฉพาะในภาคการค้าและผลิต โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 การจ้างงาน ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 ถึง 200,000 ตำแหน่ง แบ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในภาคการผลิต 200,000 ตำแหน่ง ลดลงในภาคบริการ 100,000 ตำแหน่ง และเพิ่มขึ้นในภาคการค้า 100,000 ตำแหน่ง เช่นเดียวกับการจ้างงานที่สีัดส่วนกลุ่มแรงงานที่ทำงานตั้งแต่ 8-12 ชั่วโมงปรับเพิ่มขึ้นจาก 65.3% ของแรงงานทั้งหมด เป็น 65.6% ขณะที่กลุ่มที่ทำงานตั้งแต่ 12 ชั้วโมงขึ้นไปเพิ่มขึ้นจาก 7.7% เป็น 8.4% ของแรงงานทั้งหมด
“ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี ที่ปรับตัวดีขึ้นสูงขึ้น สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจอื่นๆ ได้แก่ รายได้ภาคเกษตรที่ดีขึ้นเนื่องจากได้รับอานิสงส์จากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ภาคการท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง การส่งออกสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ขยายตัว และการจ้างงานที่ทยอยปรับตัวดีขึ้นพร้อมกับจำนวนชั่วโมงการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ชี้ถึงสภาพแนวโน้มดีมานด์ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2560 เป็นต้นมา ส่วนข้อกังวลของผู้ประกอบการเรื่องค่าจ้างแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา อาจไม่ส่งผลกระทบในภาพรวมมากนัก โดยอาจกระทบกำไรสุทธิให้ลดลงประมาณ 0.2% โดยรวม ถือว่าสภาพแวดล้อมธุรกิจเอสเอ็มอี เริ่มมีข่าวดีมากขึ้น ซึ่งเราประเมินว่าหากสามารถรักษาโมเมนตัมแรงส่งทางเศรษฐกิจนี้ไว้ได้ ภาวะเศรษฐกิจของเอสเอ็มอี จะมีทิศทางที่สดใสตลอดทั้งปี 2561”
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB มองว่า ในภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเอสเอ็มอี ได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อที่กลับมาช่วยการดำเนินธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงหันไปใช้ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ธุรกิจมีความจำเป็นที่จะต้องขยายการดำเนินธุรกิจไปสู่โลกยุคดิจิทัล เพื่อสร้างตลาดใหม่ๆ เพื่อให้ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ดร.เบญจรงค์ เน้นย้ำว่า Digital Ecosystem ที่สำคัญในปัจจุบันและมีธุรกิจและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์และเอื้อประโยชน์ให้แก่ธุรกิจ 4 ด้าน ได้แก่
1) ธุรกิจที่ช่วยส่งเสริมการตลาด (Channel) ได้แก่ Facebook, Lazada, Shopee, Tarad.com, Agoda, Booking.com ฯลฯ ซึ่ง SME ใช้เป็นช่องทางขายและประชาสัมพันธ์ผ่าน E-commerce
2) ระบบอำนวยความสะดวกในการชำระเงินการซื้อขายสินค้าและบริการ (Payment) ได้แก่ Internet Banking, Mobile Baking, E-Wallet, QR code ฯลฯ
3) ธุรกิจรับ-ส่งสินค้า (Transportation) ซึ่งส่งสินค้าให้ถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนต่ำ เช่น บริษัทไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, DHL, LINE Man, GrabFood, Foodpanda ฯลฯ และหากธุรกิจ SME ขยายตัวใหญ่ขึ้น SME ก็สามารถเลือกใช้บริการ
4) ระบบการวิเคราะห์และบริหารจัดการธุรกิจและการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ (Management) ที่จะเข้ามาตอบโจทย์การบริหารจัดการธุรกิจของท่านได้ เช่น Google Analytics, Facebook Insights เป็นต้น
“ถ้าถามว่าปัจจุบันสถานการณ์เป็นอย่างไร ต้องเรียนว่าจากข้อมูลที่มี 5 ปี กลุ่มเอสเอ็มอีมีการหันมาใช่ช่องทางการตลาดอย่างกลุ่ม e-Commerce เพิ่มขึ้นชัดเจน ขณะที่กลุ่มที่รับส่งสินค้าขยายตัวมาตาม ปัจจุบันก็มีการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆและจะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีโดยรวมได้ประโยชน์ในท้ายที่สุด กลุ่มที่เอสเอ็มอียังใช้ค่อนข้างน้อยคือการวิเคราะห์และบริหารจัดการ ซึ่งไม่ได้แปลว่าต้องทำต้องมีระดับ Data Scientist จริงแค่นำข้อมูลมาดูว่าสินค้าไหนที่ขายดี สินค้าได้ลูกค้าซื้อ ก็จะช่วยได้มากแล้ว และสุดท้ายกลุ่มชำระเงินเรียกว่าถูกบังคับให้ใช้ แต่วันนี้ก็มีหลายกลุ่มที่ยังพยายามเลี่ยง ก็เข้าใจได้ว่าวันนี้การจ่าย e-payment มันยังไม่ได้สะดวกไปกว่าการจ่ายเงินสด แต่อนาคตพอมันถึงขั้นนั้นก็ต้องเปลี่ยนแปลง”
ดร.เบญจรงค์ กล่าวสรุปว่าในโลกธุรกิจต่อไป นอกจาก SME ต้องเติมเต็มความสามารถด้วย Digital Ecosystem แล้วสิ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการ SME ก้าวเดินต่อไปอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องความเข้าใจความต้องการของกลุ่มลูกค้าตนเอง ต้องผลิตสินค้าด้วยความคิดสร้างสรรค์และมีนวัตกรรม ต้องบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญต้องมีมาตรฐานบริการที่ดีควบคู่ไปด้วย
นอกจากนี้ ดร.เบญจรงค์ ยังกล่าวว่าการแถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี ครั้งที่ 22 นี้หรือเกือบ 5 ปีกว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากความตั้งใจที่จะทำให้สังคมและภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจเอสเอ็มอีได้ประสบความสำเร็จแล้ว มีหลายองค์กรธุรกิจหันมาให้ความสนใจทำข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจเอสเอ็มอีมากขึ้น ดังนั้นทาง TMB Analytics จะย้ายทรัพยากรและทีมไปวิเคราะห์วิจัยในมิติอื่นๆที่ยังเป็นที่ต้องการของสังคมไทยต่อไป