ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 5-11 ส.ค. 2560
รถไฟไทย-จีนไม่จบ เจอโจทย์ยาก ค่าคุมงานเกินกรอบ
วันที่ 7 ส.ค. 2560 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับคณะทำงานของจีนในประเด็นค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมการก่อสร้างงานโยธา (สัญญา 2.2) ในโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย ตอนที่ 1 จากกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. กรอบวงเงินลงทุน 179,413 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ เนื่องจากตัวเลขที่จีนเสนอมานั้นยังสูงกว่ากรอบที่ได้ขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไว้ที่ 1,649.08 ล้านบาท ซึ่งได้มอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) หารือในรายละเอียดร่วมกับจีนให้ได้ข้อสรุปภายใต้หลักการเดียวกับสัญญาจ้างที่ปรึกษาออกแบบ (สัญญา 2.1) คือต้องไม่เกินกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติ และให้เสนอกระทรวงในวันที่ 7 ส.ค. 2560 เพื่อนำผลสรุปหารือในคณะทำงานเตรียมการประชุมร่วมไทย-จีน วันที่ 9 ส.ค. อีกครั้ง
ทั้งนี้ ร.ฟ.ท. จะต้องพิจารณาร่วมกับจีน คือกรอบการทำงานควบคุมการก่อสร้าง จำนวนวิศวกร ขอบเขตของงานให้ชัดเจน และตรงกับข้อเท็จจริง โดยเบื้องต้นมีการเสนอวิศวกรจีนที่ 100 คน วิศวกรไทยประมาณ 400 คน ซึ่ง ร.ฟ.ท.ต้องตรวจสอบว่าเนื้องานที่จีนคิดมานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับที่ฝ่ายไทยคิดมีอะไรที่ซ้ำซ้อนกันบ้าง หากตรงไหนซ้ำกันจะต้องตัดออก ซึ่งจะทำให้จำนวนวิศวกรลดลงไปด้วย กรอบค่าจ้างจะลดลงตาม
นายพีระพลกล่าวว่า รายละเอียดและตัวเลขของสัญญาควบคุมงาน หรือสัญญา 2.2 จะต้องสรุปก่อนที่จะลงนามในสัญญาออกแบบ หรือสัญญา 2.1 เพราะหากตกลง 2.2 ไม่ได้ ลงนาม 2.1 ไปก็ไม่มีประโยชน์ เนื่องจากจะไม่สามารถก่อสร้างได้อยู่ดีเพราะไม่มีผู้ควบคุมงานก่อสร้าง
“ต้องสรุปสัญญา 2.2 ให้ได้ก่อนการประชุมคณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 20 ที่จะมีในระหว่างวันที่ 15-17 ส.ค. และก่อนที่จะลงนามในสัญญา 2.1 ซึ่งรายละเอียดในส่วนของสัญญา 2.2 เดิมอาจเพราะต่างคนต่างคิดจึงมีงานบางส่วนซ้ำซ้อนกัน ตรงนี้ต้องมาเทียบและตัดออก”
รายงานข่าวแจ้งว่า จีนเสนอค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานมาสูงกว่ากรอบ 1,649.08 ล้านบาทถึงเท่าตัว จึงเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยากในการเจรจา ซึ่ง ร.ฟ.ท.จะต้องนำเนื้องานแต่ละหัวข้อมาเปรียบเทียบกัน โดยจะต้องมีขอบเขตของงาน หรือ Scope of Work ที่ชัดเจนที่สุดก่อนเพื่อเจรจาต่อรอง ขณะที่จะไม่มีการลงนามในสัญญา 2.1 เด็ดขาดหากยังสรุปรายละเอียดมของงานควบคุมงาน 2.2 ไม่ได้
กพท. แจงกฎใช้โดรน หลังพบบินใกล้เครื่องบินดอนเมือง
วันที่ 10 ส.ค. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการสืบหาตัวผู้บังคับโดรนสีขาว หลังจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า “Warm Chaiyapong” ซึ่งคาดว่าเป็นนักบิน โพสต์ข้อความระบุว่า ขณะที่ทำการบินจากท่าอากาศยานดอนเมือง พบโดรนสีขาวบินอยู่ที่ระดับความสูง 3,000-3,500 ฟุต หรือประมาณ 900-1,100 เมตร และบินห่างจากปีกขวาของเครื่องบินเพียง 20 เมตร จึงกังวลว่าจะเป็นอันตรายเครื่องบินจะชนกับโดรนได้ว่า กพท. ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่บริเวณศูนย์เยาวชนเฉลิมพระเกียรติ เทศบาลนครนนทบุรี ถ.สามัคคี ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นจุดที่คาดว่ามีการปล่อยโดรนจากจุดนี้เพื่อเร่งหาตัวผู้กระทำผิดแล้ว
นายจุฬา กล่าวต่อว่า จากการรับรายงานเบื้องต้นพบว่า ขณะนี้ยังไม่เจอตัวผู้กระทำผิด ซึ่งต้องยอมรับว่ากรณีนี้หาตัวค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนใดๆ เลย ไม่เหมือนกับกรณีก่อนหน้านี้ที่มีการโพสต์ภาพ และข้อความในเฟสบุ๊คส่วนตัวว่ามีการขึ้นบินโดรนบริเวณเขตสนามบินดอนเมือง ซึ่งกรณีนี้รู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว เวลานี้อยู่ในขั้นตอนของการเชิญผู้กระทำผิดเข้ามาชี้แจง และดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กพท. เป็นผู้มีอำนาจในการสอบสวนผู้กระทำผิดก่อน ในฐานะเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยในการบิน จากนั้นจะดำเนินการเปรียบเทียบปรับ ก่อนดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป
นายจุฬา กล่าวอีกว่า กพท. ขอทำความเข้าใจกับประชาชนที่ใช้โดรน เพื่อความปลอดภัยในการบินเบื้องต้น ดังนี้
1. ห้ามทำการบินภายในระยะ 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) จากสนามบิน หรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของหรือผู้ดำเนินการสนามบินอนุญาตหรือที่ขึ้นลงชั่วคราวอนุญาต
2. ห้ามทำการบินในสถานที่ราชการ หน่วยงานของรัฐ โรงพยาบาล เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
3. ต้องทำการบินในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก ซึ่งสามารถมองเห็นอากาศยานได้อย่างชัดเจน
4. ห้ามทำการบินโดยใช้ความสูงเกิน 90 เมตร (300 ฟุต) เหนือพื้นดิน
5. ห้ามทำการบินเหนือเมือง หมู่บ้าน ชุมชน หรือพื้นที่ที่มีคนมาชุมนุมอยู่
6. ห้ามบังคับอากาศยานเข้าใกล้อากาศยานซึ่งมีนักบิน และ
7. ห้ามทำการบินละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น
ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่องหลักเกณฑ์การขออนุญาตและเงื่อนไขในการบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน ประเภทอากาศยานที่ควบคุมการบินจากภายนอก พ.ศ. 2558 อย่างไรก็ตามขอย้ำว่าหากมีผู้พบเห็นโดรน หรืออุบัติการณ์ใดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายของอากาศยานในราชอาณาจักรไทย สามารถแจ้ง กพท. ได้ทันทีที่ [email protected] เพื่อจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และผู้ที่จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนโดรน แบบฟอร์มคำขอฯ ตลอดจนข้อบังคับและระเบียบที่เกี่ยวข้อง สามารถติดต่อได้ที่ ทั้งนี้ปัจจุบันมีโดรนที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ประมาณ 282 ลำ
คมนาคมสั่งศึกษาแยกโซนค่าแท็กซี่
วันที่ 8 ส.ค. 2560 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า นายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ได้หารือกับนายพิชิต อัตราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร รวมทั้งได้นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยเสนอให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าโดยสารรถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ ใหม่ จากเดิมที่ใช้ราคาเดียวทั่วกรุงเทพฯ ให้เปลี่ยนเป็น 2 อัตรา คือ ค่าโดยสารเขตกรุงเทพฯ ชั้นในและเขตกรุงเทพฯ ชั้นนอก เนื่องจากพื้นที่ทั้ง 2 ส่วนมีปัญหาการจราจรติดขัดแตกต่างกัน โดยรถที่วิ่งให้บริการในเส้นทางกรุงเทพฯ ชั้นในจะมีปัญหารถติดมากและนานกว่า จึงมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนค่าขนส่งมากกว่ารถในเขตกรุงเทพชั้นนอก แต่ค่าโดยสารช่วงรถติดในปัจจุบันกำหนดไว้เป็นอัตราเดียวกันทั้งหมดคือนาทีละ 2 บาท จึงไม่สะท้อนต้นทุนค่าขนส่งที่แท้จริง จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารในเขตเมือง
เบื้องต้น นายพิชิตรับฟังข้อเสนอและรับปากจะนำกลับไปศึกษาความเหมาะสมต่อไป
“เราเสนอให้กรมขนส่งฯ คิดค่าโดยสารเป็น 2 โซน คือโซนที่รถติด กับโซนที่รถไม่ติด โดยในโซนที่รถติดจะต้องคิดค่าโดยสารในช่วงรถติดหรือจอดนิ่งในอัตราที่สูงกว่าโซนที่รถไม่ติด คือมากกว่านาทีละ 2 บาทที่เก็บอยู่ในปัจจุบัน ส่วนอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นก็จะอยู่ที่ 35 บาทเท่าเดิม แต่จะปรับเพิ่มเป็นนาทีละเท่าไหร่ ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ ต้องไปศึกษารายละเอียดก่อน ทั้งนี้เชื่อว่าหากดำเนินการตามนี้ ปัญหาแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารในพื้นที่กรุงเทพชั้นในจะหมดไป ขณะที่คนขับแท็กซี่ก็จะอยู่ได้”
นายเชิดชัย สนั่นศรีสาคร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า นายพิชิตได้สั่งการให้ ขบ. กลับไปศึกษาความเป็นไปได้ของเสนอดังกล่าวแล้วว่า มีผลดีผลเสียอย่างไร และมีความเหมาะสมหรือไม่ คาดว่าต้องใช้เวลาสักระยะ เพราะขณะนี้ ขบ. ก็อยู่ระหว่างการรอผลการศึกษาการจัดทำโครงสร้างต้นทุนรถแท็กซี่โดยรวมจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เช่นกัน ซึ่งทีดีอาร์ไอจะนำผลการศึกษากลับมาเสนอให้ ขบ. ภายใน 3 เดือนต่อจากนี้
มท. แจง ไม่เลิก ตม.6 แค่เปลี่ยนรูปแบบ
เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า กระทรวงมหาดไทย ออกแถลงการณ์ชี้แจงเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2560 กรณีปรากฏในข่าวสารสื่อมวลชนว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2560 ให้ยกเลิกแบบรายการบุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (ตม.6) ซึ่งต่อไปจะไม่ต้องกรอกรายการใน ตม.6 ในการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 ตามกฎกระทรวงกำหนดแบบเอกสารตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและวิธีการขอหลักฐานการแจ้งออกไปนอกราชอาณาจักร เพื่อกลับเข้ามาอีก และการขอกลับเข้ามามีถิ่นฐานอยู่ในราชอาณาจักรตามเดิม
ขอชี้แจงว่า กรณีดังกล่าวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากกฎกระทรวงฉบับนี้ มีสาระสำคัญ เป็นการยกเลิกแบบรายบุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (ตม.6) แบบเดิม โดยให้ใช้แบบ ตม.6 แบบใหม่ ที่แนบท้ายกฎกระทรวงแทน ซึ่งยังต้องกรอกรายการในแบบ ตม.6 แบบใหม่ในการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ แบบ ตม.6 แบบใหม่ เป็นแบบที่มีข้อมูลซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อวิเคราะห์ตลาดท่องเที่ยว
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าวยกเลิกแบบรายการบุคคลซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกนอกราชอาณาจักร (ตม.6) ว่า เคยมีแนวคิดที่จะยกเลิกมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ชี้แจงว่า ใบ ตม.6 ยังมีประโยชน์ ขณะนี้ ก็ยังใช้อยู่ เนื่องจากแบบเดิมที่พิมพ์ไว้ยังมีประโยชน์
“ถ้าจะมีมติให้เปลี่ยนหรือยกเลิก ส่วนตัวก็ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่เดิมฝ่ายเศรษฐกิจ ทั้งผู้ประกอบการ ห้างร้านต่างๆ ระบุว่าเอกสาร ตม.6 ไม่มีประโยชน์ เพราะเพียงแค่เอามาเขียนและเก็บไว้เฉยๆ แต่กระทรวงท่องเที่ยวฯ เห็นว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เพราะเป็นการยืนยันว่าเขาไปทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคำสั่งมาก็ต้องยึดตามนั้นก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีแนวคิดว่าจะยกเลิกมาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งจำนวนคนเข้าเมืองที่แออัดทำให้การเข้าเมืองล่าช้าถือเป็นเหตุผลหนึ่งหากจะยกเลิก” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
รายงานใหม่เผย ปี 2016 ร้อนสุดนับแต่บันทึกมา
วันที่ 11 ส.ค. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า รายงานสภาพภูมิอากาศปี 2016 ที่องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (NOAA) เป็นผู้รวบรวม ได้ข้อสรุปที่ยืนยันว่าปี 2016 เป็นปีที่โลกมีอุณหภูมิร้อนที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา และเป็นสถิติอุณหภูมิโลกที่ร้อนต่อเนื่อง 3 ปี
รายงานระบุว่า อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนระยะยาว และความรุนแรงของปรากฏการณ์เอล นีโญ โดยอุณหภูมิที่วัดได้จากพื้นผิวโลก ผิวน้ำทะเล และปริมาณก๊าซเรือนกระจกในปี 2016 ล้วนอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกมา 137 ปี และสะท้อนถึงแนวโน้มของการเกิดภาวะโลกร้อน
องค์การบริหารสมุทรศาสตร์ฯ เผยแพร่รายงานดังกล่าวซึ่งจัดทำโดยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์เกือบ 500 คน จาก 60 ประเทศ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวจากความตกลงปารีสปี 2015 ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาเคยระบุว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเป็นเรื่องเท็จ
ในช่วงที่เกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ จะมีกระแสน้ำอุ่นผิดปกติในบางส่วนของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลต่อภูมิอากาศของโลก และทำให้เกิดลักษณะอากาศที่แปรปรวน
รายงานชี้ด้วยว่า ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และไนตรัสออกไซด์ ซึ่งล้วนแต่เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดสภาวะโลกร้อน มีปริมาณเพิ่มขึ้นสูงทำสถิติใหม่ โดยค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศต่อปี วัดได้ที่ 402.9 ส่วนในล้านส่วน (ppm) หรือสูงกว่า 400 ppm เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การวัดสภาพชั้นบรรยากาศเพื่อเก็บข้อมูลในยุคใหม่ รวมถึงในการเก็บข้อมูลจากแกนน้ำแข็ง ซึ่งมีสถิติย้อนกลับไปได้ 800,000 ปี
NOAA ระบุด้วยว่า “การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เป็นหนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดที่มนุษยชาติ และสิ่งมีชีวิตบนโลกกำลังเผชิญ”