ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสเศรษฐกิจ > “เศรษฐกิจไทยสโลว์ไลฟ์ เศรษฐกิจโลกสโลว์เว่อร์” TMB Analytics ชี้เมื่อการค้าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“เศรษฐกิจไทยสโลว์ไลฟ์ เศรษฐกิจโลกสโลว์เว่อร์” TMB Analytics ชี้เมื่อการค้าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

18 มีนาคม 2016


เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2559 นายนริศ สถาผลเดชา ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2559 ว่าจะเป็นลักษณะ “เศรษฐกิจไทยสโลว์ไลฟ์ เศรษฐกิจโลกสโลว์เว่อร์” โดยเศรษฐกิจไทยมีแรงส่งที่ดีขึ้นแต่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภาวะการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และจะไม่มีทางกลับไปเติบโตได้เหมือนเดิมอีกแล้ว

นายนริศเล่าย้อนแนวโน้มการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไปว่า ตั้งแต่ปี 2543-2550 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 6 ล้านล้านบาท เป็น 15 ล้านล้านบาท ก่อนจะหดตัวในช่วงวิกฤติในปี 2551 เหลือเพียง 10 ล้านล้านบาทและค่อยๆ ฟื้นตัวกลับไปที่ระดับ 15 ล้านล้านบาทในปี 2554 และทรงตัวที่ระดับนี้จนถึงปัจจุบัน โดยเหตุผลหลักที่การค้าไม่เติบโตอีกต่อไปเนื่องจากหลายประเทศเปลี่ยน “โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจ” หลังจากวิกฤติเป็นการผลิตภาคบริการ จากเดิมที่เน้นการผลิตภาคอุตสาหกรรม ทำให้ปริมาณสินค้าและการค้าลดลงในที่สุด สะท้อนชัดเจนจากองค์ประกอบของการส่งออกที่หดตัวของไทย ล่าสุดในเดือนมกราคม 2559 หดตัวไป -8.9% เป็นการหดตัวด้านปริมาณสินค้าถึง -6.1% เป็นการหดตัวด้านราคา-2.8% (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

สโลเวอร์1

สโลว์ไลฟ์

“เราเห็นว่าเศรษฐกิจโลกมันสโลว์เว่อร์หลังจากวิกฤติ แล้วพอมาดูภาพการค้าโลก การนำเข้าและส่งออกทั้งโลกหลังวิกฤติ จะเห็นว่าการค้าที่เติบโตได้ตลอดทุกปี มันกลายเป็นโลกที่เราคิดว่าเคยเป็นแล้ว พอหลังวิกฤติมันเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างหนักในระบบการค้าโลกและระบบการผลิตโลก จนทำให้การค้าโลกหดตัวอย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ต้องบอกเลยว่ามันเป็นภาพที่ค่อนข้างชัดว่าการค้าโลกจะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไป” นายนริศกล่าว

ปรับโมเดลโฟกัสการค้าชายแดน CLMV

นายนริศกล่าวต่อไปว่า ถึงแม้โครงการการค้าโลกโดยรวม จะเปลี่ยนแปลงไปและไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิม แต่หากเจาะลงไปในรายละเอียดจะพบว่ามีคู่ค้าและอุตสาหกรรมบางประเภทที่ยังสามารถเติบโตต่อไปได้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) และควรเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เครื่องจักรอุตสาหกรรม ส่งออกไปเวียดนาม โต 9%, เครื่องจักรเกษตรกรรม ส่งออกไปยังกัมพูชา โต 22%, รถยนต์ ส่งออกไปยังเวียดนาม โต 74%, เครื่องดื่มให้กำลังงาน ส่งออกไปเวียดนาม โต 25%, น้ำตาล ส่งออกไปเมียนมา 263%, ผักและผลไม้ ส่งออกไปยังเวียดนาม โต 7%, มือถือ ส่งออกไปยังเมียนมา โต 20% เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยสัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV เป็นเพียง 10% ของการส่งออกรวม ถึงแม้ในภาพรวมการส่งออกในกลุ่มประเทศนี้จะดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถพึ่งพาเป็นเครื่องจักรของการเติบโต หรือ “Engine of Growth” ในการพัฒนาเศรษฐกิจได้เหมือนกับสมัยก่อน แต่สามารถเป็นแรงส่งให้กับเศรษฐกิจได้ค่อนข้างดีตัวหนึ่ง

นายนริศกล่าวต่อว่าแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ของไทย มี 3 ปัจจัยหลักที่ต้องดำเนินการไปพร้อมกัน 1) เริ่มต้นจากการโฟกัสสินค้าส่งออกให้ตรงความต้องการของกลุ่มประเทศ CLMV 2) รัฐบาลจะต้องสร้าง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หรือ “ซูเปอร์คลัสเตอร์” มารองรับการค้าตามชายแดน และ 3) เอกชนเข้ามาลงทุน หลังจากเห็นโอกาสการค้าขายและตลาดในเขตเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาล

สโลเวอร์

“โครงสร้างการส่งออกต้องใช้เวลาในการปรับตัวบ้าง อยู่ดีๆ จะให้ไปปรับคู่ค้าเลยคงทำไม่ได้ แต่ต้องมองโอกาสใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศที่พอไปได้ ส่วนจะเรียกว่าเป็นเครื่องจักรของการเติบโตแบบอดีตคงยาก ผมว่าการส่งออกจะยังไม่เป็นสถานะแบบนั้น แบบที่ในอดีตเคยเป็น ถ้าทำได้ก็อาจจะเป็นแค่แรงส่งที่ดีได้ คือเครื่องยนต์กลับมาติดใหม่ละ ส่วนเครื่องจักรในระยะข้างหน้า มองว่าต้องผลักดันการลงทุนในประเทศและการบริโภคในประเทศก่อน เพราะเราไปพึ่งส่งออกตอนนี้ไม่ใช่แล้ว มันไม่ได้ชะลอเป็นชั่วคราว มันเปลี่ยนโครงสร้างไปเลย การค้ามันน้อยลง” นายนริศกล่าว

ดูเพิ่มเติมเศรษฐกิจไทยสโลว์ไลฟ์ เศรษฐกิจโลกสโลว์เวอร์