มูลนิธิสืบนาคะเสถียรยืนยันเจตนารมณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ขอให้พิจารณาทางเลือกในการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมทั้งมอบเอกสารสำคัญของป่าแม่วงก์และแนวทางการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล้าต้นสัก และแผนที่ ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ด้านนายศศิน เฉลิมลาภ ชี้เขื่อนแม่วงก์ไม่มีทางจบหากกรมชลประทานไม่ถอดเรื่องออกจาก สผ.
เขื่อนแม่วงก์เป็นโครงการที่กรมชลประทานริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2525 ซึ่งในปี 2537 มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรมีความเห็นให้กรมชลประทานศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรืออีไอเอ เพิ่มเติมบริเวณเขาชนกัน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าเขาสบกก และการทำอีไอเอมีการแก้ไขถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งปี 2554 เกิดอุทกภัยในประเทศไทย ทำให้โครงการเขื่อนแม่วงก์ถูกเสนอเป็นประเด็นขึ้นอีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ต่อมาปี 2555 จึงมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 13,280 ล้านบาท เวลาก่อสร้าง 8 ปี โดยผูกพันงบประมาณถึงปี 2562 ซึ่งปัจจุบันอีไอเอโครงการเขื่อนแม่วงก์ขยับขึ้นเป็นอีเอชไอเอหรือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพแล้ว
![นายศศิน เฉลิมลาภ, นางรตยา จันทรเทียร, นายภาณุเดช เกิดมะลิ และ นายพงศ์บุณย์ ปองทอง](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2015/09/ศศิน-รอง-620x465.jpg)
แต่ “การสร้างเขื่อน” เป็นแนวทางการบริหารจัดการที่มีกลุ่มคนและองค์กรจำนวนหนึ่ง นำโดยมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ไม่เห็นด้วย และแสดงออกซึ่งการคัดค้านมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเดินเท้าจากจุดสร้างเขื่อนแม่วงก์มากรุงเทพฯ, แถลงการณ์เร่งปฏิรูประบบการพิจารณารายงาน EHIA และ EIA, การแสดงอารยะขัดขืนโดยปักหลักนั่งและนอนอยู่หน้าประตู 3 สผ. เพื่อแสดงเจตนารมณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์และให้กำลังใจ คชก. ของนายศศิน ในการพิจารณาอีเอชไอ ตั้งแต่วันที่ 17-19 พฤศจิกายน 2557 จนกระทั่งในวันที่ 19 พฤศจิกายนนั้น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีบันทึกข้อความด่วนที่สุด ที่ ทส.0910.204/23269 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 ลงชื่อนายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มีความเห็นว่า “ไม่ควรสร้างเขื่อนแม่วงก์ในพื้นที่อนุรักษ์ แต่ควรดำเนินการจัดทำแนวทางเลือกในการจัดการน้ำแนวทางอื่นที่ไม่ต้องสูญเสียพื้นที่ขนาดใหญ่ในพื้นที่อนุรักษ์และให้ความคุ้มค่าในการจัดการน้ำมากกว่า” ซึ่งทำให้หลายฝ่ายเข้าใจว่าการสร้างเขื่อนแม่วงก์จะยุติลง
อย่างไรก็ตาม สผ. ยังคงพิจารณาอีเอชไอเอโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์อย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 25 กันยายน 2558 นี้ก็ได้นำอีเอชไอเอเข้าพิจารณาอีกครั้ง ในขณะที่มูลนิธิสืบฯ เดินทางมา สผ. เพื่อยืนยันเจตนารมณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนและเสนอทางเลือกในการจัดการน้ำแบบบูรณาการ
นายภาณุเดช เกิดมะลิ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร แถลงการณ์ยืนยันเจตนารมณ์คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ พร้อมเสนอทางเลือกในการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เพื่อให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ใช้ประกอบพิจารณา ใจความว่า
จากการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้มีการเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพของประชาชน โครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ (EHIA) ต่อ สผ. ซึ่งเตรียมที่จะมีการจัดประชุม คชก. พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการพัฒนาแหล่งน้ำอีกครั้ง ในวันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558 เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กกวล.) พิจารณาในขั้นตอนต่อไป ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่ามกลางการทักท้วงของคนในสังคมเป็นจำนวนมาก ทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และความเห็นของคณะทำงานตรวจสอบข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาข้อมูลวิชาการด้านป่าไม้ สัตว์ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพ การบริหารจัดการน้ำ รวมทั้งประโยชน์และความคุ้มค่าที่จะได้รับจากการสร้างเขื่อนที่ต้องแลกมาด้วยผืนป่าแม่วงก์ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ ทั้งนี้ ผู้ศึกษาไม่สามารถแก้ไขและชี้แจงประเด็นดังกล่าวให้เป็นที่ยอมรับแก่ทุกภาคส่วนในสังคมได้
![นายภาณุเดช เกิดมะลิ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2015/09/เลขาสืบ1-620x465.jpg)
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร จึงขอแสดงเจตนารมณ์ที่จะคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติ แม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ และใคร่ขอเสนอให้มีการพิจารณาทางเลือกในการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ในกรณีของการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ และกรณีของการใช้ทางเลือกในการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ การไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จะได้ปริมาณน้ำที่ใกล้เคียงกัน กล่าวคือ การก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จะได้ปริมาณน้ำ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยประมาณ ส่วนการใช้ทางเลือกในการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จะได้ปริมาณน้ำ 200 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยประมาณ
2. งบประมาณในการจัดทำทางเลือกในการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการถูกกว่างบประมาณที่จะใช้ในการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ถึงกว่า 6 เท่าตัว กล่าวคือ โครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 13,000 ล้านบาท ขณะที่ทางเลือกการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ใช้งบประมาณในการจัดทำโครงการ 1,940 ล้านบาท โดยประมาณ
3. คุณค่าของป่าที่ราบต่ำริมน้ำแม่วงก์และผืนป่าตะวันตก ซึ่งมีศักยภาพเพียงพอต่อการเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ หากมีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ และการกระจายถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในผืนป่าตะวันตก ที่ได้ผ่านการอนุรักษ์และฟื้นฟูประชากรจนประสบความสำเร็จมาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร จึงขอยืนยันเจตนารมณ์ที่จะคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และใคร่ขอนำเสนอ “ทางเลือกในการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์” โดยขอวิงวอนให้ท่านรับฟังข้อคิดเห็นต่างๆ อย่างรอบด้าน และตระหนักถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนความถูกต้องตามหลักวิชาการเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ยินดีประสานความร่วมมือในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่แม่วงก์ต่อไป
รายชื่อองค์กรเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประกอบด้วย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, มูลนิธิเพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ, มูลนิธิโลกสีเขียว, กลุ่มศิลปินรักผืนป่าตะวันตก, สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) ประเทศไทย, กลุ่มพิทักษ์สิ่งแวดล้อมพยุหะ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์, กลุ่มสมาชิกนักกิจกรรมที่เคยทำงานกับคณะกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม 16 สถาบันและเพื่อน, สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน, กองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ประเทศไทย, คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือตอนล่าง, มูลนิธิเครือข่ายอนุรักษ์ป่าตะวันตก, สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย, มูลนิธิคณะกรรมการอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตก, มูลนิธิสถาบันปฏิปัณ, มูลนิธิสืบศักดิ์สินแผ่นดินสี่แคว, เครือข่ายป่าชุมชน จังหวัดนครสวรรค์, มูลนิธิบัณฑิตอาสาสมัคร, เครือข่ายป่าชุมชนขอบป่าตะวันตก จังหวัดกำแพงเพชร, เครือข่ายชุมชนคนรักษ์ป่าเขาแม่กระทู้, กลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม, กลุ่มใบไม้, มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ, เครือข่ายเยาวชนต้นกล้าน้อย, กลุ่ม Big Tree”
![นายภาณุเดช เกิดมะลิ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และนางอินทนิล อินท์ชยะนันท์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานพัฒนาแหล่งน้ำและเกษตรกรรม สผ.](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2015/09/เลขาสืบ-620x444.jpg)
นอกจากนี้ นายภาณุเดชยังเป็นตัวแทนมูลนิธิสืบนาคะเสถียร มอบเอกสารทางเลือกในการจัดการน้ำแบบบูรณาการ กรณีไม่ต้องสร้างเขื่อนในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมทั้งกล้าต้นสักและแผนที่แม่วงก์ให้กับนางอินทนิล อินท์ชยะนันท์ ผู้อำนวยการ กลุ่มงานพัฒนาแหล่งน้ำและเกษตรกรรม สผ. ด้วย
ทั้งนี้ นายพงศ์บุณย์ ปองทอง รองเลขาธิการ สผ. และประธานในการประชุม คชก. ในวันนี้ ได้ลงมาทักทายและพูดคุยกับนายศศิน เฉลิมลาภ พร้อมทั้งเชิญเข้าร่วมประชุม คชก. เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณา เพื่อความเป็นกลางเนื่องจากนายบุญชู พรหมมารักษ์ หรือกำนันโต ตัวแทนคณะกรรมการลุ่มน้ำแม่วงก์ (สะแกกรัง) ซึ่งเป็นฝ่ายที่สนับสนุนการสร้างเขื่อนแม่วงก์เข้าชี้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมในที่ประชุม คชก. ด้วย
ด้านนายศศินกล่าวว่า การพิจารณาอีเอชไอเอเขื่อนแม่วงก์นั้น เริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 แล้ว แต่ที่หยุดพิจารณาไปช่วงหนึ่งเนื่องจากมี คชก. ไม่ครบด้านเพื่อการพิจารณาอีเอชไอเอ ส่วนหนังสือจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่มีความเห็นว่า “ไม่ควรสร้างเขื่อนแม่วงก์ในพื้นที่อนุรักษ์ แต่ควรดำเนินการจัดทำแนวทางเลือกในการจัดการน้ำแนวทางอื่นที่ไม่ต้องสูญเสียพื้นที่ขนาดใหญ่ในพื้นที่อนุรักษ์และให้ความคุ้มค่าในการจัดการน้ำมากกว่า” นั่นยังเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ประกอบการพิจารณาอีเอชไออยู่ต่อไป เพียงแต่เรื่องการสร้างเขื่อนแม่วงก์ไม่มีวันจบหากกรมชลประทานไม่ถอนเรื่องออกจาก สผ.