ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “คนไทยขับรถเหมือนคนบ้า!” คลิปฝรั่งแฉการจราจรกรุงเทพฯ – “วัลลี” ตัวจริงสุดทน! ถูกเอาเรื่องราวไปทำเป็นเรื่องล้อเล่น

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “คนไทยขับรถเหมือนคนบ้า!” คลิปฝรั่งแฉการจราจรกรุงเทพฯ – “วัลลี” ตัวจริงสุดทน! ถูกเอาเรื่องราวไปทำเป็นเรื่องล้อเล่น

22 พฤศจิกายน 2014


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 16-22 พฤศจิกายน 2557

  • “คนไทยขับรถเหมือนคนบ้า!” คลิปฝรั่งแฉการจราจรกรุงเทพฯ
  • ฮ.กองทัพบกระเบิดโหม่งโลก ดับรวม 9 นาย
  • ชายเมาขับรถไล่ชนคนไม่เลือก ตำรวจเตะสั่งสอนถูกไล่ออก
  • กระแสชู 3 นิ้ว กลับมาอีกครั้ง
  • “วัลลี” ตัวจริงสุดทน! ถูกเอาเรื่องราวไปทำเป็นเรื่องล้อเล่น

“คนไทยขับรถเหมือนคนบ้า!” คลิปฝรั่งแฉการจราจรกรุงเทพฯ

Screen Shot 2557-11-21 at 8.02.23 PM

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คลิป “มนุษย์ฝรั่ง” เป็นคลิปดังสร้างกระแสในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กกันอีกแล้ว หลังจากมีคลิป “เหนียวไก่” เมื่อมีฝรั่งพูดถึงเมืองไทยแบบหยิกแกมหยอก โดยในคลิปนี้มีสาวน้อยน่ารักชื่อว่า “ดัฟฟี่” เป็นคนเล่าเรื่องในเมืองไทยผ่านสายตาของเธอ

Screen Shot 2557-11-21 at 8.02.36 PM

ในคลิประบุว่า “ดัฟฟี่” เป็นฝรั่งลูกครึ่งไทยจากสหรัฐฯ มาอยู่เมืองไทยแล้วเป็นเวลา 3 เดือน พูดไทยได้อย่างชัดเจนและน่ารัก มีสบถเป็นภาษาไทย คำวัยรุ่น ได้อย่างโดนใจคนไทย สร้างความครื้นเครงให้กับคนในโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก หลังจากมีคลิปแรกออกมาก็มีคลิปตอนที่สองตามมาตอกย้ำความน่ารักของดัฟฟี่อีกด้วย

Screen Shot 2557-11-21 at 8.02.57 PM

โดยคลิปดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ช้า-ชะลอ-หยุด ลดอุบัติเหตุ” โครงการกันชนไม่ชนกัน (The Gun-Chon Project) ภายใต้โครงการถนนสีขาว ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โปรเจกต์ Campus Challenge 2014 อ่านสัมภาษณ์รายละเอียดของการทำคลิปนี้ได้ที่ไทยรัฐออนไลน์

ดูคลิปตอนที่ 1 และ ดูคลิปตอนที่ 2

ฮ.กองทัพบกระเบิดโหม่งโลก ดับรวม 9 นาย

heli
ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com/331437

เมื่อ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ รายงาน ฮ.กองทัพบก รุ่นเบล 212 ตกกลางทุ่งนา ระเบิดไฟลุกท่วม รองแม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมลูกน้องและนักบินรวม 9 ชีวิต เสียชีวิตยกลำ หลังนำคณะนายทหารบินตรวจราชการ จทบ.พะเยา ขณะจะเดินทางต่อไปเชียงราย พอเครื่องยกตัวขึ้นบินไปได้แค่ 10 นาที เกิดระเบิดกลางอากาศแล้วโหม่งกระแทกพื้น ผบ.ทบ. สั่งคณะกรรมการนิรภัยการบินลงพื้นที่ตรวจสอบหาสาเหตุอย่างละเอียด ขณะที่ชาวเน็ตแชร์สนั่น “จ.ส.อ.ช่างเครื่อง” โพสต์เฟซบุ๊กเป็นลางร้ายทำนายอนาคตไว้ล่วงหน้าก่อนขึ้นบินจากพิษณุโลก สุดท้ายกลายเป็นโศกนาฏกรรมสลดจริงๆ

โศกนาฏกรรม ฮ.ทหารตกไฟลุกท่วม รองแม่ทัพภาค 3 พร้อมคณะดับสยอง 9 นายครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 17 พ.ย. พ.ต.ท. ธนา คำยศ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพะเยา รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ทหารตกกลางทุ่งนา บ้านดอกบัว หมู่ 11 ต.ท่าวังทอง อ.เมืองพะเยา มีทหารเสียชีวิตหลายนาย พ.ต.ท. ธนา กับนายชูชาติ กีฬาแปง ผวจ.พะเยา, พล.ต.ต. ธนยินทร์ เทพรักษา ผบก.ภ.จ.พะเยา และ พ.อ. วิรัช ปัญจานนท์ รอง ผบ.จทบ.พะเยา จึงนำกำลังตำรวจ-ทหาร พร้อมรถดับเพลิงอีก 2 คัน ไปตรวจสอบ

โดยจุดที่เฮลิคอปเตอร์ทหารตกอยู่ใกล้กับสระน้ำกลางทุ่งนาของชาวบ้าน พบซากเฮลิคอปเตอร์ รุ่นเบล 212 ของกองทัพบก ถูกเพลิงไหม้ไฟลุกท่วมเสียหายทั้งลำ เศษซากชิ้นส่วนเครื่องบินแตกกระจายเป็นวงกว้าง รัศมีราว 50 เมตร ในซากเฮลิคอปเตอร์พบศพทหารถูกไฟคลอกไหม้เกรียม รวม 9 ศพ ขณะเดียวกันมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนจะเห็นเครื่องบินหมุนคว้างและตกลงมาในลักษณะควงสว่างหัวทิ่มปักพื้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ต่อมาทราบชื่อผู้เสียชีวิตภายในเครื่องทั้ง 9 นาย ประกอบด้วย พล.ต. ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาค 3 พ.อ. กิตติ สุวรรณเจริญ รอง ผอ.กกบ.ทภ. 3 พ.อ. ยุทธพงษ์ เพื่อนฝูง ฝยย.ทภ.3 พ.ท. วุฒิศักดิ์ สุนทรสุข ผู้ช่วยนายทหารฝ่ายส่งกำลังบำรุง ทภ.3 จ.ส.อ. อนันต์ ชมเชียงคำ ช่วยราชการฝ่ายยุทธการ ฝยย.ทภ.3 พ.ท. มานิต สุรเสนา นักบินที่ 1 ร.อ. วรพงษ์ ช่างสลัก นักบินที่ 2 จ.ส.อ. สมภพ มาลัยวงษ์ ช่างเครื่อง และ จ.ส.อ. พิรุณ แสนดอนคู่ ช่างเครื่อง จากนั้นนำศพทหารทั้ง 9 นาย ส่งไปตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคลที่ รพ.พะเยา เนื่องจากศพส่วนใหญ่อยู่ในสภาพไหม้เกรียมแทบจำเค้าเดิมไม่ได้

สอบสวนเบื้องต้นก่อนเกิดอุบัติเหตุ พล.ต. ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 นำคณะนายทหารออกเดินทางจากกองทัพภาคที่ 3 จ.พิษณุโลก เพื่อมาตรวจราชการที่ จทบ.พะเยา หลังเสร็จสิ้นภารกิจ คณะของรองแม่ทัพภาคที่ 3 ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าว ที่ค่ายขุนเจืองธรรมิกราช กรมทหารราบที่ 17 จทบ.พะเยา ต.ท่าวังทอง อ.เมืองพะเยา เพื่อไปปฏิบัติภารกิจต่อที่ จ.เชียงราย ภายหลังเฮลิคอปเตอร์ยกตัวขึ้นบินไปได้เพียง 10 นาที ได้ขาดการติดต่อ กระทั่งประสบอุบัติเหตุตกกระแทกพื้นดินกลางทุ่งนาอย่างแรง บริเวณพิกัด ND 974250 ห่างจากค่ายขุนเจืองธรรมิกราช ราว 2.5 กม. ทำให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งลำ คลอกคนในเครื่องเสียชีวิต

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าเมื่อเวลา 17.30 น. ฮ.ท.212 ของศูนย์การบินทหารบก ซึ่งจัดสนับสนุนกองทัพภาคที่ 3 ได้นำคณะรอง มทภ.3 ในภารกิจตรวจงานส่งกำลังบำรุงของหน่วยทหารในค่ายขุนเจืองธรรมิกราช จ.พะเยา ขณะเดินทางกลับออกจากค่ายขุนเจืองฯ ประมาณ 10 นาที ได้ขาดการติดต่อและเกิดอุบัติเหตุตกที่บริเวณบ้านดอกบัว ต.ท่าวังทอง อ.เมืองพะเยา

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุหน่วยทหารในพื้นที่คือ จทบ.พะเยา และกรมทหารราบที่ 17 ได้จัดกำลังออกค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทันที และเมื่อเวลา 19.00 น. ได้นำร่างผู้เสียชีวิต 5 นาย ออกจากที่เกิดเหตุแล้ว และยังคงดำเนินการช่วยเหลือและค้นหาอยู่ ขณะนี้ ผบ.ทบ. ได้รับทราบรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยในพื้นที่ดูแลและค้นหาคณะนายทหารในอากาศยานให้พบทุกนาย ขณะเดียวกันให้ชุดค้นหาและช่วยเหลือปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มกำลังความสามารถ รวมทั้งได้ให้คณะกรรมการนิรภัยการบินลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสาเหตุโดยละเอียดและดำเนินการต่ออากาศยานดังกล่าวตามขั้นตอนต่อไป

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า หลังเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตก โซเชียลมีเดียพากันแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊กของ “อนันต์ ชมเชียงคำ” ซึ่งโพสต์ไว้เมื่อ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา ที่ จ.พิษณุโลก มีข้อความว่า “ได้เวลาเย้ยฟ้าท้าลมหนาวอีกแล้ว ฮ.เก่า นักบินใหม่ อากาศปิด ประตูนรกเปิด…” โดยมีคนเข้ามากดไลค์ถูกใจถึง 28 ราย ซึ่งชื่อเจ้าของเฟซบุ๊ก “อนันต์ ชมเชียงคำ “ตรงกับชื่อของ 1 ในผู้เสียชีวิต คือ จ.ส.อ. อนันต์ ชมเชียงคำ โดยชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า การโพสต์ข้อความในลักษณะดังกล่าวคล้ายจะเป็นการอำลาชีวิต หรือเป็นลางบอกเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง

ต่อมาเมื่อเวลา 21.00 น. พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะ ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกประสบอุบัติเหตุตกที่ จ.พะเยา มีนายทหารเสียชีวิต 9 นาย ว่า ได้รับรายงานเรื่องดังกล่าวจาก พล.ท. สาธิต พิธรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 แล้ว กองทัพบกจะดูแลครอบครัวของกำลังพลทุกนายอย่างเต็มที่ ส่วนการตรวจสอบสาเหตุที่เกิดขึ้นได้สั่งการให้ศูนย์การบินทหารบกตรวจสอบทางเทคนิคต่อไป ในส่วนของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้วเช่นกัน โดยแสดงความรู้สึกเสียใจต่อครอบครัวของกำลังพลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ แม่ทัพภาค 3 จะเดินทางลงพื้นที่ในวันที่ 18 พ.ย. สำหรับการจัดพิธีสวดอภิธรรมศพนั้น จะนำศพกลับมาดำเนินการตามพิธีทางศาสนาที่ จ.พิษณุโลกต่อไป

ต่อมา 18 พ.ย. ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา พล.ท. ธวัช สุกปลั่ง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์-212 ตก ที่ทำให้มีนายทหารระดับสูง ทหารติดตาม นักบิน และช่างเครื่องชีวิตรวม 9 นาย รวมถึงรองแม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ก็ใช้ ฮ.รุ่นเดียวกัน ว่า เรื่อง ฮ.ตก ตนคิดว่ามีบ้างที่ทำให้กำลังพลรู้สึกเสียขวัญ แต่อย่างไรก็ตามเราได้มีการชี้แจงให้รับทราบว่า อุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นทางรถ ทางเรือ ทางอากาศมันสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวด้วยว่า ขณะนี้สาเหตุที่แท้จริงยังไม่มีใครทราบ ทางศูนย์การบินทหารบกคงจะลงไปตรวจสอบ ส่วนการป้องกัน ตนเข้าใจว่าบุคลากรทางด้านการบินทุกคนกระตือรือร้นในการที่จะตรวจสอบเครื่องบินอยู่แล้ว ซึ่งมันอาจจะเกิดจากอุบัติเหตุอะไรเรายังไม่ทราบ และยังไม่สามารถที่จะตอบได้ชัดเจน แต่เชื่อว่าทุกคนมีความระมัดระวังอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ถามว่า ฮ.รุ่นนี้ทราบว่าเก่ามากแล้ว ในกองทัพภาคที่ 2 ก็มีหลายลำ และทราบว่าเคยเกิดอุบัติเหตุตกมาแล้วก่อนหน้านี้ ในส่วนกองทัพภาคที่ 2 จะมีการนำเสนอให้นายกรัฐมนตรี ประธาน คสช. รวมทั้ง ผบ.ทบ. ในการนำมาทดแทนอย่างไรหรือไม่ พล.ท. ธวัช ตอบว่า เรื่องนี้ตนคิดว่าผู้บังคับบัญชาชั้นสูงได้ดูอยู่แล้ว แต่เพราะว่าอากาศยานเป็นยุทโธปกรณ์ที่มีราคาแพง ทางผู้บังคับบัญชาคงดูอยู่ ว่าจะหามาทดแทนอย่างไร

เมื่อถามว่า ฮ.ประจำตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ใช้รุ่นนี้ พล.ท. ธวัช กล่าวว่า การซ่อมบำรุงก็มีระบบของเขาอยู่แล้ว ไม่ได้รอให้อากาศยานเสียแล้วถึงไปซ่อม แต่อากาศยานเมื่อถึงระยะเวลาที่จะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยน โดยไม่ได้ไปรอว่าให้เสียก่อน เพราะถ้าอยู่กลางอากาศมันไม่มีโอกาสแก้ตัว ฉะนั้น เป็นระบบของเขาอยู่แล้ว แต่ว่าอุบัติเหตุมันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด แม้ว่ารถยนต์บนถนนยังเกิดอุบัติเหตุได้เลย

ส่วนบรรดานักบินของกองทัพภาคที่ 2 ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ การให้กำลังใจนั้น ตนให้กำลังใจทุกคน และขอให้ทุกคนตรวจสอบการใช้งานของเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ให้ดี อย่าประมาทเท่านั้นเอง พล.ท. ธวัช กล่าว

ชายเมาขับรถไล่ชนคนไม่เลือก ตำรวจเตะสั่งสอนถูกไล่ออก

ptd
ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com

เมื่อ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า โลกโซเชียลเน็ตเวิร์กกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงคลิปวิดีโอภาพเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาเมา และปรากฏให้เห็นภาพเจ้าหน้าที่เตะผู้ต้องหาที่ใส่กุญแจมืออยู่จนล้มไปนอนกองที่พื้น

ทั้งนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Da Drum ได้โพสต์คลิปวิดีโอเผยแพร่ในเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง YouLike (คลิปเด็ด) คลิปเหตุการณ์ความยาวประมาณ 3 นาทีเศษ ระบุว่าเป็นภาพการจับกุมคนเมาที่ จ.นครสวรรค์ คลิปดังกล่าวเผยให้เห็น ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3-4 นาย กำลังรุมล้อมจับผู้ต้องหาที่มีมึนเมา โดยแสดงอาการขัดขืนการจับกุมเพราะขาดสติ

การจับกุมเป็นไปอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางบรรดาไทยมุงที่ยืนดูอย่างแน่นขนัด กระทั่งช่วงวินาทีหนึ่ง หลังจากที่ผู้ต้องหาถูกจับใส่กุญแจมือไพล่หลังและนั่งลงกับพื้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งได้เตะใส่ผู้ต้องหาจนล้มลงนอนไปกับพื้น จนเกิดเป็นกระแสวิจารณ์ในโลกออนไลน์ ทันที่ที่คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป หลายคนมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ

ด้านความคืบหน้ากรณีคลิปเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ใช้เท้าเตะเข้าที่หน้าของผู้ต้องหาที่เมาแล้วขับ เว็บไซต์ครอบครัวข่าว รายงาน ล่าสุดทางผู้บังคับบัญชาให้ออกจากราชการแล้ว ขณะเดียวกันทางอดีตตำรวจได้ออกมาขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยตำรวจรายนี้คือดาบตำรวจภรเดช เดชโชติ ตำรวจจราจรสถานีตำรวจนครสวรรค์ ล่าสุดจากการตั้งคณะกรรมการสอบสวน พบว่ามติในที่ประชุมมีคำสั่งให้พ้นจากการเป็นข้าราชการตำรวจซึ่งจะมีการดำเนินคดีด้านอาญาและวินัย

ขณะทางทางอดีตดาบตำรวจภรเดชได้ออกมาขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าทำไปเพราะบันดาลโทสะ เนื่องจากผู้ต้องหาอยู่ในสภาพมึนเมา และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จนสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ที่ใช้รถใช้ถนน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งเหตุการณ์นี้ผู้ต้องหาได้รับรถเฉี่ยวชนจนทำให้มีผู้บาดเจ็บถึง 3 รายด้วยกัน

กระแสชู 3 นิ้ว กลับมาอีกครั้ง

three
ที่มาภาพ: http://www.posttoday.com/331100

เมื่อ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ รายงานการลงพื้นที่ต่างจังหวัดครั้งแรกของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ จ.ขอนแก่นและกาฬสินธุ์ กลับเจอการท้าทายจากกลุ่มต่อต้านการทำรัฐประหาร

ทันทีที่ พล.อ. ประยุทธ์ขึ้นบนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน ขณะกล่าวทักทายผู้ที่มาร่วมงานว่าวันนี้คงได้เห็นตัวจริงกันแล้ว ตนพกพาความห่วงใยและนำกำลังใจมาเยอะแยะเพื่อส่งมอบให้กับพวกเราชาวอีสานโดยเฉพาะ จ.ขอนแก่น และจังหวัดใกล้เคียง เมื่อพูดถึงตรงนี้ปรากฏว่ามีกลุ่มนักศึกษา 5 คน อ้างตัวว่าเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ปะปนอยู่กับผู้ร่วมงาน ได้ลุกขึ้นมาด้านหน้าเวทีพร้อมถอดเสื้อคลุมสีดำและโยนไปที่หน้าเวที เพื่อโชว์ข้อความบนเสื้อยืดสีดำที่สกรีนข้อความสีขาวว่า “ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร” พร้อมชู 3 นิ้วเป็นสัญลักษณ์ที่กลุ่มต่อต้านรัฐประหารเคยใช้ช่วงการยึดอำนาจ เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปชาร์จและพาตัวออกไปจากบริเวณงานเพื่อสอบสวนทันที โดยหนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นว่า “ต้องการมาแสดงออกทางความคิดเห็นและพวกผมก็เป็นคนที่นี่” จากการตรวจสอบพบว่านักศึกษากลุ่มนี้คือกลุ่ม “ดาวดิน” เครือข่ายประชาธิปไตยที่เคยถูกทหารเชิญตัวไปปรับทัศนคติมาแล้วครั้งหนึ่ง

หลังจาการถูกควบคุมตัวนานกว่า 6 ชั่วโมง ของนักศึกษา มข. ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นักศึกษาทั้ง 5 คนถูกควบคุมตัวไว้ที่มณฑลทหารบกที่ 23 ค่ายศรีพัชรินทร์ จังหวัดขอนแก่น เพื่อปรับทัศนคติ ชี้แจงข้อเท็จจริงสถานการณ์บ้านเมือง และทำบันทึกข้อตกลงว่าจะไม่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารอีก

แต่นักศึกษาทั้ง 5 คนไม่ยอมเซ็นรับทราบ ทำให้ทหารต้องประสานไปยังอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อมาพูดคุยกับนักศึกษา ในที่สุดนักศึกษากลุ่มนี้มีท่าทียอมรับเงื่อนไข และท้ายที่สุดขณะนี้ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวแล้ว

“วัลลี” ตัวจริงสุดทน! ถูกเอาเรื่องราวไปทำเป็นเรื่องล้อเล่น

wallee
ที่มาภาพ: http://www.unigang.com/Article/10174

เมื่อ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา เรื่องราวของ “เด็กหญิงวัลลี” กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งเมื่อ ไทยรัฐออนไลน์รายงานสกู๊ป ของ “วัลลี บุญเส็ง” ในวัย 46 ปี ได้เผยเรื่องราวที่แสนทรมานใจที่สุดในชีวิต ทั้งที่เธอเป็นคนดี มีความกตัญญูกับครอบครัว แต่กลับถูกนำภาพที่ดีงามในอดีต มาทำปู้ยี่ปู้ยำผ่าน “รายการตลก” ทำให้รู้สึกว่าหัวใจถูกเหยียบย่ำจนยากจะรับได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรี พร้อมกับตั้งคำถามว่า “การที่คนคนหนึ่งต้องนอนเป็นอัมพาตมีคนป้อนข้าวให้…มันตลกหรือ!!?”

วัลลีเผยความรู้สึกกับ “เฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์” ว่า ช่วงหลังไม่รู้เกิดอะไรขึ้น หลายรายการต้องเอาชีวิตของเธอมาทำเป็นเรื่องตลก ไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคลของเรา บางรายการหยามแบบน่าเกลียด และไม่มีมารยาทอย่างมาก เอาเรื่องที่แม่เราป่วยมาเล่น การที่แม่เราพิการ เราก็เจ็บปวดหัวใจแล้ว แต่ทุกวันนี้เอาความพิการของแม่มาล้อเลียน ถามว่ามันสมควรหรือไม่ ไม่คิดหรือว่าเรายังมีชีวิตอยู่ วัลลีอยากจะถามจริงๆ ความพิการของแม่วัลลี มันเป็นเรื่องตลกหรือ แม่ใคร ใครก็รัก

“ส่วนมากจะเล่นแบบแนวป้อนข้าวให้ จากนั้นก็จะใช้ช้อนยัดปาก อุดปาก ไม่กินใช่มั้ย…ก็กระทืบเลย นี่คือภาพของวัลลีที่ออกสู่สาธารณะหรือ..? ที่ผ่านมา เราทำดีมาตลอด แต่ทำไม ถ้าจะทำเรื่องวัลลี ต้องทำเรื่องตลก ไม่เข้าใจ…ทำไม วันนี้เรารับไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะการดูหมิ่นบุพการี สิ่งที่อยากจะถามผู้เกี่ยวข้องวงการตลกว่า การที่คนๆ หนึ่งนอนเป็นอัมพาตต้องมีคนป้อนข้าวให้มันตลกใช่มั้ย มันใช่สิ่งที่เฮฮาหรือ (วัลลีเริ่มมีเสียงสั่นเครือ) อยากขอให้คนที่ทำรายการมีวิจารณญาณ มีสามัญสำนึก จะทำอะไรให้เคารพสิทธิ์คนอื่น นึกจะทำอะไร หากทำโดยไม่เคารพคนอื่น คุณจะอยู่ในสังคมได้ยังไง”

วัลลี ในฐานะแม่ที่ต้องดูแลลูกชาย วัย 21 ปี และ ลูกสาว ในวัย 15 ปี เล่าต่อว่า หากตอนนี้อยู่เฉยๆ ก็จะโดนรายการอื่นๆ เอาไปทำเป็นลูกโซ่ ขนาดตลกงานวัดยังเอาไปเล่น ความพิการเป็นเรื่องตลกของคนยุคนี้หรือ ทำไมต้องให้เราอยู่ในภาพวิ่งในชุดนักเรียนบ้าๆ บอๆ ใส่ชุดอะไรก็ไม่รู้ ป้อนข้าวแม่ ที่ไม่เหมือนคนพิการ แต่เหมือนคนสติไม่ดี ถามว่า การป้อนข้าวแม่แบบยัดๆ แล้วกระทืบแม่คือความกตัญญูที่คุณสื่อให้คนเห็นหรือ เราทนกับเรื่องแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว ตั้งแต่ลูกสาวยังเล็ก ตอนนี้ลูกสาวอายุ 15 ปีแล้ว จุดที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว คือ ลูกเราเริ่มโต ลูกรู้สึกอับอาย สามี ก็มีตำแหน่งใหญ่ขึ้น เราก็อายุเยอะขึ้น เราไม่ใช่เด็กอายุ 12-13 ขวบ เหมือนเมื่อก่อน เรามีคนรอบตัว เราต้องลุกขึ้นปกป้องศักดิ์ศรี

วัลลี เล่าต่อว่า ตอนนี้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ผลิตรายการแล้ว 3 รายการ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจจะอยู่ในขั้นตอนออกหมายเรียกคนทำรายการ หากเอ่ยชื่อคนทำรายการ ก็ล้วนเป็นคนดังของประเทศทั้งนั้น เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่รับเป็นคดีหมิ่นประมาท กับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะรายการพวกนี้ไปอยู่ในยูทูบด้วย สมัยก่อน รายการออกอากาศก็จบไป คนมาพูดเราก็อาย แต่ก็จบไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่ มีลงในยูทูบ ดูย้อนหลังได้ ปีหนึ่งคนดูเป็นล้านๆ คน ตอนนี้ก็เลยอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องดำเนินการทำอะไรสักอย่าง หากอยู่นิ่งก็จะโดนแบบนี้ไม่จบสิ้น

“ถ้าเป็นไปได้ อยากจะขอให้คนทำรายการทีวีลักษณะนี้ให้หยุดเถอะ ไม่อยากไปเจอกันที่ศาล เพราะจะไม่ยอมความเด็ดขาด เพราะที่ผ่านมา เอาเรื่องวัลลีไปทำจนได้รับความเสียหาย ที่ผ่านมา บางคนเอาเรื่องเราไปทำนวนิยาย ทั้งที่เราไม่รู้เรื่อง ขอโทษมาก็คือจบ บางรายการเอาเรื่องเราไปทำซีรีส์ตลกต่อเนื่องเป็นอาทิตย์ อยากจะทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่เคยขออนุญาตเรารับไม่ได้ กลับกันหากนำเสนอในสิ่งดีๆ ไม่ทำความอับอายให้ครอบครัว เราก็จะไม่ว่าอะไรเลย”

“บอกตรงๆ เจอเรื่องแบบนี้เราท้อแท้มาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กวนใจเรามาโดยตลอด และเราต้องแบกรับความอับอายโดยตลอดเลยหรือ” นางวัลลี ตั้งคำถาม กับผู้เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ วัลลี ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เป็นห่วงที่สุด คือ ลูกทั้งสองคน เวลาสอนลูก เราจะไม่บังคับเขา อยากเรียนอะไรก็จะให้เรียน แต่ทุกอย่างจะอยู่ในสายตา สิ่งที่พยายามสอน คือ อยากให้เขาเป็นคนดี การเรียนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด อยากให้ตั้งใจเรียน เพราะอนาคตจะสบายหรือลำบาก ก็ขึ้นอยู่กับตรงนี้ โดยพยายามเน้นย้ำให้โตเป็นคนดี ไม่เป็นภาระสังคม และไม่เบียดเบียนใคร

ด้าน น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องมีการร้องเรียนก่อน หากมีการร้องเรียนมาแล้วจะได้มีการตรวจสอบว่าเรื่องราวมีความผิดถึงขั้นไหน หาก กสทช. จะลงโทษ จะต้องเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หากเป็นเรื่องหมิ่นประมาทบุคคล กสทช. จะทำอะไรไม่ได้ ส่วนใหญ่จะมีการฟ้องร้องกันเอง อย่างไรก็ตาม กสทช. ก็จะดูเรื่องผลกระทบด้วย เช่น รายการหนึ่งที่เอาคนป่วยออทิสติกมาออก เราก็สามารถดำเนินการปรับได้ เพราะถือว่าเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เบื้องต้น ต้องดูความหนักเบาของเนื้อหาก่อน อย่างไรก็ตาม จากที่ฟังเบื้องต้น รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงอยากให้มีการร้องเรียนเข้ามา หากมีการร้องเรียนแล้ว เชื่อว่าต่อไปจะทำให้รายการหรือสื่อระมัดระวังการนำเสนอมากขึ้น อาจจะมีการเชิญช่องต่างๆ มาทำความเข้าใจ

“หน้าที่ของ กสทช. จะตัดสินในกรณีที่ทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องจริยธรรม หากรายการไหน หรือ ทีวีช่องใด ทำผิดจริยธรรม เราทำได้แค่ตักเตือน ขอความร่วมมือ และส่งเรื่องไปยังองค์กรวิชาชีพ แต่ถ้าผิดกฎหมาย เราอาจจะลงโทษปรับ ซึ่งมีโทษสูงสุด 5 แสนบาท สิ่งที่เราพยายามทำคือ ทำให้รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันกระทบกับคน เราก็ต้องตักเตือน หากวัลลีร้องเรียนมาเราก็จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาตรวจสอบ พร้อมสืบสวน สอบสวนให้ เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน” น.ส.สุภิญญากล่าว

ในปัจจุบัน นางวัลลี ได้ประกอบอาชีพส่วนทำธุรกิจส่วนตัว โดยแต่งงาน พ.ต.ท. บุญเรือน บุญเส็ง สว.ฝอ.3 ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน ที่ผ่านมา อัตชีวประวัติของเธอเคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ในชื่อเรื่อง “วัลลี เด็กหญิงยอดกตัญญู” โดยสมัยนั้นถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก