![เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ดร.ทนง พิทยะ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บริษัทหลักทรัพย์จัดการองทุน ทหารไทย จำกัด และ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บรรยายในหัวข้อ “ประเมินความเสี่ยงเศรษฐกิจประเทศไทย” ซึ่งจัดโดยหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการเงิน ภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/ดร.ทนง3.jpg)
“ทนง พิทยะ” ประเมิน 4 ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย แรงสุดคือปัญหาคอร์รัปชัน ถ้าแก้ได้ เศรษฐกิจโตได้ 6-7% พร้อมหนุนปฏิรูประเบียบกติกาใหม่ เน้นความโปร่งใส ก่อนเลือกตั้ง
4 ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย
ดร.ทนง พิทยะ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บริษัทหลักทรัพย์จัดการองทุน ทหารไทย จำกัด และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้บรรยายในหัวข้อ “ประเมินความเสี่ยงเศรษฐกิจประเทศไทย” ซึ่งจัดโดยหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเงิน ภาควิชาการธนาคารและการเงินคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 ว่า ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยมี 4 ประเด็นหลักๆ คือ ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ความเสี่ยงทางนโยบาย ความเสี่ยงจากการกำหนดกลยุทธ์ และความเสี่ยงจากภาคปฏิบัติ
“ปัญหาเราเยอะ แต่โอกาสก็เยอะ แค่กำจัดปัญหาหรือความเสี่ยงทางนโยบายและความเสี่ยงจากภาคปฏิบัติได้ เศรษฐกิจก็จะเติบโตได้ 6-7%” ดร.ทนงกล่าว
แก้ปัญหาคอร์รัปชันได้ ดันเศรษฐกิจโต 6-7%
แต่ถ้าจัดลำดับความเสี่ยงที่น่าห่วงและควรเร่งแก้ไขมากที่สุด ดร.ทนงกล่าวว่า ความเสี่ยงจากภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาคอร์รัปชัน ถือว่ามีปัญหามากที่สุด เพราะหากแก้ไขไม่ได้จะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ และจะมีผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนเอกชนมากที่สุด
“ดีใจที่การเมืองเริ่มตามเศรษฐกิจทัน มีการตื่นตัวเรื่องกำจัดคอร์รัปชัน นี่คือจุดผ่านที่สำคัญที่สุด ถ้าทำสำเร็จเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 6-7% แต่ถ้าไม่สำเร็จเศรษฐกิจก็จะโตแค่ 3-4%” ดร.ทนงกล่าว
นอกจากการแก้ปัญหาคอร์รัปชันแล้ว ดร.ทนงกล่าวว่า ความเสี่ยงภาคปฏิบัติที่ต้องแก้ไขไปพร้อมๆ กันคือ ปัญหาการเล่นพวก ปัญหาการอุปถัมภ์เครือญาติ ปัญหาความล่าช้าจากระเบียบปฏิบัติ ปัญหาระบบการทำงาน และปัญหาระบบการจัดการ โดยปัญหาเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เพราะนักลงทุนใหม่ๆ ไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้ เพราะติดขัดปัญหาดังกล่าว ทำให้เกิดการผูกขาดการลงทุนอยู่แต่กลุ่มนักลงทุนเดิมๆ ดังนั้น ถ้าแก้ปัญหาภาคปฏิบัติได้จะทำให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตได้ในระยะยาว
“ประชานิยม” เป็นความเสี่ยงทางนโยบาย
![ดร.ทนง พิทยะ](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/ดร.ทนง4.jpg)
ส่วนความเสี่ยงทางนโยบาย ดร.ทนงกล่าวว่า ที่ผ่านมามีนโยบายที่เป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ คือ นโยบายประชานิยม นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ นโยบายจำนำราคาพืชผลการเกษตร นโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายภาษี
โดยนโยบายประชานิยม ดร.ทนงกล่าวว่า หมายถึงนโยบายที่เอาเงินไป “แจกฟรี” ให้ประชาชน ไม่ได้สร้างความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น หรือสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ความเลวร้ายของนโยบายประชานิยมคือ ทำให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตไม่ต่อเนื่องอย่างแท้จริง และทำให้ประชาชนอ่อนแอ
อาทิ นโยบายจำนำราคาพืชผลการเกษตร ดร.ทนงระบุว่า อะไรที่จำนำสูงกว่าราคาตลาดโลกจะเดินต่อไปไม่ได้ ซึ่งนโยบายจำนำข้าวถือเป็นการจำนำที่ผิดวิธี เพราะราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดโลก ทำให้เป็นภาระการคลังของภาครัฐ และให้ชาวนาในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นโยบายอย่างนี้ควรทบทวนและปรับเปลี่ยน
“นโยบายจำนำข้าวจะไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ถ้ายังรับจำนำราคาสูงกว่าตลาดโลก และน่ากลัวเพราะจะทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล” ดร.ทนงกล่าว
ขณะที่นโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่รัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาททั่วประเทศ ดร.ทนงกล่าวว่าไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะการเพิ่มค่าแรงควรจะทำได้ต่อเมื่อสามารถเพิ่มผลิตภาพการผลิตและเพิ่มเทคโนโลยี แต่การปรับค่าจ้างเพิ่มทันทีทำให้บางจังหวัดมีค่าแรงเพิ่มขึ้นถึง 40-50% ทำให้ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยกับนโยบายภาษีที่รัฐบาลปรับลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 20% เพราะจะทำให้ภาคธุรกิจไทยแข่งขันได้ในอาเซียน และนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นอยู่ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญและจัดสรรทรัพยากรให้ถูกต้อง เพราะถ้าไม่รู้ว่าอะไรสำคัญกว่าอะไรจะเป็นปัญหาและเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
รื้อส่งเสริมการลงทุนใหม่ เน้น “Transfer Technology”
ด้านความเสี่ยงจากการกำหนดกลยุทธ์ ดร.ทนงกล่าวว่า กลยุทธ์ของเราเก่ามาก อาทิ กลยุทธ์ส่งเสริมการลงทุน ต้องปรับเปลี่ยนจากสนับสนุนการลงทุนแบบไม่โฟกัส มาเป็นการสนับสนุนการลงทุนที่เราต้องการ คือ การลงทุนด้านเทคโนโลยี และการสนับสนุนอุตสาหกรรมกลางน้ำและต้นน้ำ เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ แม้เราจะเป็นผู้นำ แต่เรายังไม่ชนะ เพราะเราไม่มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ คือ อุตสาหกรรมถลุงเหล็กกล้า เพราะฉะนั้น อาจทำให้สูญเสียการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมถ้าไม่มีวัตถุดิบ เป็นต้น
นอกจากนี้ กลยุทธ์เพื่อสร้างสมรรถนะการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ดร.ทนงกล่าวว่า ตั้งแต่มีการปฏิวัติไม่ได้เน้นในเรื่องนี้ ทำให้เรา “กินแต่ของเก่า” คือ เผาผลาญทรัพยากร ใช้ทุนสะสมจากต่างชาติ การพัฒนาทรัพยากรไม่มี แรงงานไม่พอก็นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และเทคโนโลยีที่เราใช้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย จำเป็นต้องสนับสนุนให้มีการโยกย้ายเทคโนโลยี หรือ “Transfer Technology” ออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน
“เรื่องเทคโนโลยี ถ้าเราไม่ย้ายเทคโนยีเก่าของเราออกไปประเทศเพื่อนบ้าน เราก็จะไม่มีเทคโนโลยีใหม่ เพราะฉะนั้น หัวใจเรื่องเทคโนโลยีคือ ต้องย้ายเทคโนโลยีเก่าออกไป และส่งเสริมเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาทำให้เกิดการสะสมเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งทำให้เกิดการวิจัยและพัฒนาประเทศในที่สุดได้” ดร.ทนงกล่าว
ส่วนความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า จากปัญหาความตกต่ำของเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐฯ ขณะนี้เศรษฐกิจยุโรปถือว่าผ่าน “ก้นเหว” แล้ว แต่ยังดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด อาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มดีขึ้น ดังนั้นอาจปรับลดมาตรการอัดฉีดเงิน (คิวอี) ซึ่งจะกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย และส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ทำให้ผันผวนมากยิ่งขึ้น
“หากค่าเงินบาทผันผวนมาก จะบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ส่งออก ทำให้ผู้ส่งออกได้น้อยลง การแก้ปัญหาจะให้ผู้ส่งออกทำป้องกันความเสี่ยงก็อาจไม่คุ้ม เพราะมาร์จินมีแค่ 5% การป้องกันความเสี่ยงอาจไม่คุ้ม ดังนั้น เรื่องความผันผวนของค่าเงินบาทก็อยู่ที่แบงก์ชาติจะดำเนินการดูแลอย่างไร” ดร.ทนงกล่าว
หนุนปฏิรูปกติกาให้โปร่งใสก่อนเลือกตั้ง
![ดร.ทนง พิทยะ](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2013/12/ดร.ทนง2.jpg)
ทั้งนี้ ดร.ทนงประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2556 ว่า จะเติบโตได้ใกล้ๆ 3% และเนื่องจากปีนี้เศรษฐกิจโตสูง จึงคาดว่าปีหน้าจะขยายตัวได้ 4.5-5% แต่หากนำปัจจัยการเมืองที่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนมาพิจารณาด้วย ก็อาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตลดลงอยู่ที่ประมาณ 4%
“เศรษฐกิจปีหน้าน่าเป็นห่วง เพราะกลไกภาครัฐคงไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และมาตรการต่างๆ ที่จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่สามารถออกมาได้ เนื่องจากภาวะแรงกดดันจากปัญหาทางการเมือง” ดร.ทนงกล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร.ทนงมีความเห็นว่า การชุมนุมทางการเมืองหากเป็นไปอย่างสันติ มีการชุมนุมอยู่ที่ถนนราชดำเนิน ก็น่าจะเป็นภาพการชุมนุมที่ดี ตามสันติวิธี จะทำให้นักลงทุนไม่กังวล เพราะเป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติทั่วโลก แต่ถ้ามีการเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมไปสถานที่ต่างๆ ก็อาจเสี่ยงจะเกิดความรุนแรง ซึ่งน่าเป็นห่วง
“ปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเลือกตั้งได้หรือไม่นั้น ในความเห็นส่วนตัวควรจะมีการเปลี่ยนแปลงกติกาให้โปร่งใสก่อนมีการเลือกตั้ง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เลือกตั้งคงได้รัฐบาลไม่แตกต่างจากที่เป็นมา และแก้ปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วน ต้องแก้ไขเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน” ดร.ทนงกล่าว
ดังนั้น ทางออกทางการเมืองในขณะนี้ ดร.ทนงเสนอว่า ควรร่วมกันจัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์แนวทางการปฎิรูปทางการเมืองหลังจากนี้ไป ถ้าจำเป็นจะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไป 1-2 เดือนก็น่าจะคุ้ม
อย่างไรก็ตาม กรณีที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) อาจต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไป 12-18 เดือน ดร.ทนงกล่าวว่า การเลือกตั้งไม่น่าจะเลื่อนยาวเกินไปเพราะอาจเกิดสุญญากาศ กระทบการลงทุน และทำให้เศรษฐกิจชะลอลง แต่ถ้ามีความจำเป็นทางการเมือง ก็อาจจะคุ้มก็ได้ในระยะยาว
“เมื่อมีรัฐบาลเข้ามา นโยบายแรกๆ ที่ควรต้องเร่งดำเนินการคือ แก้ปัญหาคอร์รัปชัน เพราะเป็นอุปสรรคอย่างมาก ทำให้นักลงทุนต่างประเทศไม่อยากเข้ามาลงทุน ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งแก้ปัญหาภาคปฏิบัติ อาทิ ระเบียบราชการ และขั้นตอนการดำเนินการที่ทำให้การทำธุรกิจสะดวก โดยควรตั้ง one point service ที่สามารถมาติดต่อการดำเนินการธุรกิจที่เดียวจบ” ดร.ทนงกล่าว