โครงการท่าเรือน้ำลึก “ทวาย” พบปัญหาทางการเงิน รัฐบาลเร่งระดมเงินลงทุน 1 แสนล้าน ระยะ 3 ปีแรก ขณะที่“พล.อ.อ.สุกำพล” ตรวจความเรียบร้อย “ทวาย–ฐานทัพเรือพังงา” เตรียมจัดซื้อเรือรบรองรับ “ทวาย”
“DAWEI โปรเจกต์” หรือ “โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรมพิเศษทวาย” ที่รัฐบาลไทยจับมือรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (พม่า) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding-MOU ) เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2551 เพื่อการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมท่าเรือน้ำลึกทวาย และถนนเชื่อมต่อไปยังประเทศไทย
และให้ นิคมฯ ทวาย เป็นศูนย์กลางการค้าภูมิภาคและการขนส่งทางทะเลในมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน ตอบสนองต่อการค้าที่เจริญก้าวหน้าและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนตอนใต้
ภายใต้การนำของ “บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)” ที่ได้จดทะเบียนจัดตั้ง “บริษัท ทวาย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด” หรือ “ดีดีซี” ขึ้นในประเทศพม่า เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาและจัดหาผู้ร่วมลงทุนในแต่ละโครงการภายในเขตนิคมอุตสาหกรรม
มีแผนเส้นทางคมนาคมฝั่งตะวันออกเชื่อม 4 ประเทศ คือ พม่า–ไทย–กัมพูชา–เวียดนาม โดยมีกรุงเทพฯ เป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางระหว่างประเทศกัมพูชา ศรีโสภณ เสียมเรียบ และเชื่อมไปฝั่งประเทศเวียดนาม จีฮอน และโฮจิมินห์ วังเต่า
รัฐบาลไทยมั่นใจว่า โครงการ “นิคมฯ ทวาย” มีเส้นการเดินเรือขนส่งที่ได้เปรียบกว่าเส้นทางเดินเรือ “มะละกา” ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีเส้นทางการเดินเรือที่คับแคบ ไม่เหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางการขนส่งในย่านนี้ ดังนั้น “นิคมฯ ทวาย” จะเป็นหนึ่งทางเลือกที่สำคัญ คงต้องติดตามดูว่า จะจริงอย่างที่รัฐบาลไทยมั่นใจหรือใหม่
ปัจจุบัน เส้นทางถนนเข้าไปยังนิคมฯ ทวายเพิ่งเริ่มปรับปรุงถนนให้อยู่ในสภาพที่ดี และเตรียมลาดยางเพื่อทำถนนเป็น 4 เลน จากเส้นทางพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี เพื่อเข้าไปยังนิคมฯ ทวาย โดยมีระยะทาง 132 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ในขณะที่ “สนามบินทวาย” ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับนักธุรกิจจากชาติต่างๆ มาดูงาน ก็ยังสร้างไม่เสร็จ 100% ซึ่งเส้นทางจากสนามบินเข้าไปที่ไซต์งานนั้นใช้เวลาเดินทาง 1.20 ชั่วโมง
ตามแผนการก่อสร้างนิคมฯ ทวาย มีการเขียนแบบการสร้างนิคมฯ เป็นรูปตัว L มีการขุดชายฝั่งลึกเข้าไปในพื้นดิน ต่างจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แหลมฉบัง ที่มีการถมทะเลเพื่อก่อสร้าง มีระบบป้องกันความปลอดภัย อาทิ การสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันคลื่นทะเลซัด จัดสร้างตามระบบกระแสน้ำ มีความลึก 20.5 เมตร ส่วนความกว้าง 1,500 เมตร และมีความลึกเข้าไปจากทะเลทั้งหมด 3.6 กิโลเมตร ส่วนภายในนิคมฯ มีการวางระบบถนน 8 เลน ที่ยาวถึง 18 กิโลเมตร
ว่ากันว่า การสร้างนิคมฯ ทวายซึ่งมีเนื้อที่ 150,000 ไร่ ถือเป็นนิคมขนาดใหญ่ที่มีไม่กี่แห่งในโลก หากเปรียบเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของนิคมฯ ทวายแล้ว พื้นที่ 54 นิคมฯ ในประเทศไทยรวมกันยังไม่เท่าเลยด้วยซ้ำ ทำให้ท่าเรือน้ำลึกแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของโลกก็ว่าได้
สำหรับภายในท่าเรือ มีการแบ่งโซนสำหรับพักคอนเทนเนอร์รับส่งสินค้า อาทิ สินค้าทั่วไป การขนส่งถ่านหิน สินค้าหีบห่อ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี
มีการแบ่งพื้นที่เพื่อใช้สำหรับต่อเรือตั้งแต่ขนาดเล็กไปถึงขนาดใหญ่ รวมถึงการสร้างเรือรบ และยังมีโรงถ่านหินเพื่อผลิตพลังงานภายในนิคมฯ พร้อมทั้งส่งพลังงานไปยังประเทศไทยตามแผนพัฒนาด้านพลังงานของไทย และในอนาคตจะมีการวางท่อแก๊สและท่อน้ำมันไปยังประเทศมหาอำนาจอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้
ส่วนการย้ายคนจำนวน 2 หมื่นคนในพื้นที่ของการก่อสร้างออกไปนั้น ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการสร้างบ้านเพื่อรองรับชาวบ้านที่จะถูกย้ายออกจากในพื้นที่ โดยตั้งใจจะเตรียมบ้านพักไว้กว่า 5 พันหลังคาเรือนด้วยกัน
นอกจากนี้ ในอนาคต “รัฐบาล” เตรียมยังเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงเส้นกรุงเทพฯ–หนองคาย เพื่อใช้ขนส่งสินค้าจากนิคมฯ ทวายไปยังเพื่อท่าเรือตอนบนของไทยเพื่อส่งไปยังประเทศจีน และในอนาคตก็ยังเตรียมสร้างทางรถไฟมุ่งตรงไปที่นิคมฯ ทวายเพื่อการขนส่งที่ครบวงจร เหล่านี้ถือได้ว่าเป็นแผนเศรษฐกิจในอนาคตที่รัฐบาลวางไว้
โดยดร.สมเจตน์ ทิณพงษ์ ผู้อำนวยการโครงการ นิคมฯ ทวาย เชื่อมั่นว่า “ในอนาคตท่าเรือทวายของพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ เพราะถูกประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกล้อม คือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะเจริญเติบโตก็ต้องผ่านเส้นทางขนส่งทางนี้เช่นกัน ยุทธศาสตร์จุดนี้มากกว่าการค้าการลงทุน ทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มเห็นความสำคัญ โดยเฉพาะ 55 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยมาพม่าเลย แต่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา นางฮิลลารี คลินตัน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แวะมาละแวกนี้ ก่อนที่บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมาพม่า”
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นและยังค้างคาอยู่ก็คือ เงินลงทุนที่ยังไม่อนุมัติ !!!
ขณะนี้โครงการโปรเจกต์นิคมฯ ทวายต้องการเงินลงทุน 3 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเฟสแรกหรือระยะเวลา 3 ปีแรกต้องการเงินลงทุน 1 แสนล้านบาท เพื่อเริ่มต้นการทำถนนเพื่อมุ่งไปยังนิคมฯ ทวาย รวมถึงการสร้าง “ท่าเรือ” เพื่อรองรับอุปกรณ์ ชิ้นส่วน เครื่องจักรในการก่อสร้าง ส่งผลให้การก่อสร้างนิคมฯ ทวายต้องชะงัก เพื่อรอเม็ดเงินในการลงทุน(ดูเอกสารเพิ่มเติม)
งานนี้ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ในฐานะอดีตเสนาบดี “กระทรวงคมนาคม” จึงอาสาเป็นหูเป็นตาให้รัฐบาล นำคณะนายทหารบินไปดูไซต์งานด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา จนมีขาเมาท์ซุบซิบกันว่ารมต.คมนาคมเกี่ยวอะไร หรือบินไปดูผลประโยชน์ให้นายใหญ่กันแน่…
การไปเยือนครั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพลได้ยืนยันต่อผู้บริหารนิคมฯ ทวาย ว่าจะนำเรื่องไปคุยกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อระดมทุน 1 แสนล้านบาท มาดำเนินการก่อสร้างตามแผน โดยทางรัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นเตรียมจับมือกันเพื่อระดมเม็ดเงินมาลงทุนในระยะของโครงการแรกนี้
อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบันนี้ โครงการนิคมฯ ทวายยังไม่ได้เดินหน้าไปสักเท่าไร เพิ่งเริ่มถมที่ ตัดไม้ เผาป่า เกลี่ยหน้าดิน เพื่อปรับพื้นที่เท่านั้น และมีแค่ท่าเรือชั่วคราวที่สามารถขนเครื่องมือกับอุปกรณ์ได้เล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่สามารถนำเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้าพื้นที่ได้
นอกจากนี้เรื่องการอพยพชาวพื้นเมืองออกจากเขตอุตสาหกรรม แถมด้วยปัญหาป่าชายทะเลที่มียุงชุกชุมอีก เรียกได้ว่า พบปัญหาร้อยแปดก็ว่าได้
แต่สำหรับในมุมของหน่วยงานความมั่นคง เมื่อเป็นนโยบายของรัฐบาล คงได้แต่ “เซย์เยส” เท่านั้น ดังนั้น ทหารในพื้นที่ก็ต้องปรับสภาพ วางกำลัง เพื่อดูแลตลอดเส้นทางการขนส่ง โดยเฉพาะเส้นทางจากด่านบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ที่ “กองพลเสื้อดำ” กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) ต้องรับผิดชอบความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ทั้งหมด
ขณะที่ในท้องทะเลฝั่งอันดามัน “ทัพเรือภาค 3” โดยเฉพาะ “ฐานทัพเรือพังงา” จะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลน่านน้ำ และตรวจตราความเรียบร้อยของการทำกิจกรรมทางเรือในอนาคตหากนิคมฯ ทวายกำเนิดขึ้น
ทำให้หลังตรวจไซต์งานที่นิคมฯ ทวายแล้ว พล.อ.อ.สุกำพลจึงบินมาตรวจเยี่ยมกำลังพลและความเรียบร้อย ณ ฐานทัพเรือพังงาไปในตัว เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา
“นิคมอุสาหกรรมทวายที่จะเกิดขึ้น จะทำให้เส้นทางเดินเรือแถวนี้คับคั่งมี กิจกรรมทางทะเลมากขึ้น ดังนั้น จึงให้ทัพเรือภาค 3 เตรียมตัวไว้เพื่อรองรับในอนาคตอันใกล้นี้ ตอนนี้กองทัพเรือภาค 3 มีเรืออยู่ 15 ลำ โดยในอนาคตต้องดูที่ภารกิจ หากมีกิจกรรมมากขึ้นเรือก็ต้องมากขึ้นตามภารกิจของกองทัพเรือ ในอนาคตกระทรวงกลาโหมพร้อมจะดูแลเรื่องจัดหาเรือให้” พล.อ.อ.สุกำพลระบุ
งานนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การเดินทางในวันที่ 6–7 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อดูไซต์งาน นิคมฯ ทวาย และลงพื้นที่ตรวจหน่วยทหารน้ำ เป็นไปเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับโครงการนิคมฯ ทวายล้วนๆ ส่วนจะมาดูผลประโยชน์เพื่อใครนั้น ไม่ช้าคงได้คำตอบ
ยังไม่นับว่าในภายหลัง “ผู้ใหญ่” ในกองทัพเรือเคาะสเปคเรือ “เรือฟริเกต” ว่าจะซื้อจากชาติใด การจัดซื้อเรือรบในโครงการต่อไปคงผุดขึ้นอีกหลายโครงการ เพื่อรองรับการการดูแลรักษาความปลอดภัยในทะเลอันดามัน ส่วนการจัดหาจะเข้าทางใคร เงินค้าอาวุธจะไปอยู่ไหน คงเป็นคำถามจี้ใจดำ “ผู้ใหญ่” ในกองทัพน่าดู…
คงต้องติดตามว่า การแก้ไขปัญหาและการระดมเงินทุนครั้งนี้ จะไปลงเอยที่จุดไหน สุดท้ายแล้วประเทศไทยต้องกู้เงินจากแหล่งทุนไหนเพื่อมาลงทุนโปรเจกต์นิคมฯ ทวาย และผลประโยชน์ที่ไทยได้รับจะคุ้มค่าตามเป้าหรือไม่ หรือจะดีแค่ราคาคุย