ThaiPublica > เกาะกระแส > ทีดีอาร์ไอวิเคราะห์แรงงานไทยปี’55 สายอาชีวะมาแรง – ปี’56 คาดป.ตรีตกงานตรึม

ทีดีอาร์ไอวิเคราะห์แรงงานไทยปี’55 สายอาชีวะมาแรง – ปี’56 คาดป.ตรีตกงานตรึม

24 ธันวาคม 2012


ข่าวแจก : สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ)

ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์
ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์

ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยถึงแรงงานไทยในปี 2555 โอกาสและความท้าทายในปี 2556 ว่าปี 2555 เป็นช่วงขาขึ้นของแรงงานไทย มีการปรับตัวครั้งใหญ่ของโครงสร้างตลาดแรงงานไทยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทั้งผู้ประกอบการและตัวแรงงาน รวมทั้งแรงกดดันตลาดแรงงานเสรีในประชาคมอาเซียน ทั้งนายจ้างลูกจ้างต้องปรับตัว เรียนรู้ จึงอยู่รอด ที่สำคัญทำให้ประเทศไทยก้าวพ้นกับดักเศรษฐกิจแรงงานราคาถูก สู่การใช้แรงงานที่มีความรู้ความสามารถมากขึ้น

ไฮไลท์แรงงานไทยในปี 2555 : โอกาสที่มาแบบไม่ตั้งตัว

ดร.ยงยุทธกล่าวว่าในภาพรวมด้านจำนวนแรงงาน แนวโน้มการจ้างงานยังคงสูงขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางปี 2555 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงการฟื้นตัวจากผลกระทบน้ำท่วมปลายปี 2554 แต่ความตึงตัวของแรงงานไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื่องจากบางสาขาการผลิตที่ฟื้นตัวมาแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะสาขาการก่อสร้าง หรืออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานแบบเข้มข้น เช่น สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ ตัดเย็บกระเป๋า รองเท้า ฯลฯ ซึ่งมีภาวะการเข้า-ออกสูง จึงมีความต้องการแรงงานต่อเนื่อง และยังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้

ขณะที่ผลจากการปรับขึ้นค่าจ้างตามนโยบายค่าจ้าง 300 บาทของรัฐบาลรอบแรกเมื่อเดือนเมษายน 2555 ดึงดูดให้มีคนเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งมาจากผู้ที่ว่างงานอยู่แล้วปรับตัวเองมาสู่ตลาดแรงงาน ทำให้สถานการณ์ตึงตัวของตลาดแรงงานผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ดร.ยงยุทธกล่าวว่าแต่หากดูในเชิงคุณภาพ ความขาดแคลนในเชิงคุณภาพยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากมีปัญหาเรื่องสมรรถนะและทัศนคติของแรงงานบางอย่างที่สืบเนื่องมาจากระบบการศึกษา แรงงานใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานยังมีปัญหาเรื่องพื้นฐานความรู้ เป็นภาระของผู้ประกอบการในการจัดฝึกอบรมเพิ่มเติมให้ ขณะที่แรงงานในสายอาชีวศึกษาเกิดความต้องการสูงขึ้นมาก มีลักษณะพิเศษต่างจากปีก่อน ๆ คือมีภาพของการปรับเปลี่ยนในการใช้ขบวนการปรับปรุงการผลิตที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้น 2 ช่วง ช่วงแรกเมื่อมีการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทรอบแรก ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ปรับขบวนการใช้แรงงานระหว่างปี มีการเพิ่มผลิตภาพมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต

ตัวเลขที่ยืนยันประเด็นนี้จากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงานคือ ผลิตภาพแรงงานที่สูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเพิ่มสูงถึง 8% ต่างจากในอดีตที่ผลิตภาพแรงงานจะอยู่ในระดับ 3-4% มาโดยตลอด ดังนั้นผลจากภาวะช็อคขึ้นค่าจ้าง 300 บาท ทำให้ผลิตภาพแรงงานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าตัว และมีการปรับประสิทธิภาพการผลิตอย่างมากเพื่อปรับตัวให้อยู่รอด โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม

การเปลี่ยนแปลงช่วงที่สอง คือ หลังจากน้ำท่วมใหญ่และค่อย ๆ ฟื้นตัวมาในปลายปีนี้ (ปลายปี 2554 ต่อเนื่องถึงปี 2555 ) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต ทำให้มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งเกิดจากมีการทบยอดคำสั่งซื้อในช่วงเกิดภาวะน้ำท่วมมาเร่งผลิตในต้นปี 2555 ทำให้เกิดความต้องการแรงงานมากผิดปกติ โดยเฉพาะสายวิชาชีพ อีกส่วนหนึ่งคือมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานสายช่าง เพื่อไปดูแลอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนมาใช้ ทำให้มีความต้องการแรงงานสายวิชาชีพเพิ่มมากขึ้น เปลี่ยนแปลงจากแนวโน้มเดิมที่เคยมีมาในอดีต ปรากฏเด่นชัดในสายยานยนต์ ที่รับเพิ่มนับหมื่นคน

แรงงานไทยปี 2556 โอกาสและความท้าทาย

ดร.ยงยุทธกล่าวต่อว่าสิ่งที่ยังน่าวิตกในปี 2556 คืออัตราการว่างงานของผู้มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากนโยบายปรับอัตราเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แม้จะบังคับใช้ในภาคราชการ แต่มีผลกระทบกับตลาดแรงงานภาคเอกชนที่ผู้ประกอบการขนาดกลางลงมา ไม่สามารถจ้างแรงงานระดับป.ตรีขึ้นไปได้มากนัก แต่เน้นการใช้คนเดิมมากกว่าการจ้างคนใหม่ ขณะที่ในภาคราชการจะมีผู้จบการศึกษาปริญญาตรีทั้งคนเก่าและผู้จบใหม่ จะแข่งขันกันเข้าเป็นข้าราชการ ซึ่งรับได้จำนวนไม่มาก ดังนั้นโอกาสการมีงานทำของแรงงานปริญญาตรีจึงไม่สดใสนัก ขณะที่ในกลุ่มผู้จบใหม่ก็มีต้นทุนในการศึกษาต่อระดับสูงกว่าป.ตรีแพงมาก ตั้งแต่หลักหลายแสนบาทจนถึงหลักล้านบาท

สำหรับอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าว นับจากวันที่ 14 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไปมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการใช้แรงงานต่างด้าวครั้งใหญ่ โดยไม่เปิดให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพิ่มอีกต่อไป โดยให้แรงงานเก่าที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วและยังมีการจ้างงานอยู่ เมื่อหมดสัญญาก็จะต้องกลับออกไปก่อน หากประสงค์จะทำงานค่อยยื่นขอกลับเข้ามาอย่างถูกต้อง การดำเนินการเช่นนี้แม้จะทำให้ต้นทุนนายจ้างสูงขึ้น แต่ก็แลกมากับระบบน้ำดีที่มีจำนวนมากขึ้นคือ ระบบการจ้างงานที่มีความโปร่งใสและสามารถบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองแรงงานได้ดีกว่าเดิม ทั้งเรื่องค่าจ้างสวัสดิการต่าง ๆ และสิ่งที่นโยบายเร่งรัดกว่าเดิมคือ การนำเข้าแรงงานแบบจีทูทีจากบางประเทศในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งค่าจ้างแรงงานยังต่ำกว่าไทย เพื่อมาทดแทนแรงงานที่ขาด คนเก่าที่ผิดกฎหมายและถูกผลักดันกลับออกไป

“เป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่ต้องใช้ความสามารถในการบริหารจัดการคนมากกว่าเดิม หากคิดว่าต้นทุนการนำคนเข้ามาทำงานแพงขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจจะต้องคิดปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตโดยการใช้แรงงานต่างด้าวน้อยลงใช้แรงงานไทยมากขึ้น ฉะนั้นอุตสาหกรรมทั้งหลายจึงจำเป็นต้องหาทางที่จะเพิ่มผลิตภาพแรงงานอย่างไม่มีทางเลี่ยง อีกทั้งกระแสการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ก็กดดันให้มีการปรับตัวเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งผลิตภาพแรงงานจะเป็นปัจจัยสำคัญ”ดร.ยงยุทธกล่าว

นอกจากนี้สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องเจอในปี 2556 คือการปรับค่าจ้างขึ้นต่ำวันละ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ข้อเสนอคือในช่วงที่จะไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างต่อไปอีก 2 ปี (2557-2558) รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยในการปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพและคุณภาพอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เพื่อให้ปรับตัวอยู่รอดได้ สำหรับคนที่ไม่ไหวก็ควรให้ความรู้เพื่อตั้งตัวเปลี่ยนธุรกิจใหม่ได้ สร้างโอกาสเป็นเถ้าแก่ให้มากขึ้น รวมทั้งนโยบายสร้างงานขนาดใหญ่ควรเน้นการให้คนไทยเข้ามาทำงานให้มากที่สุด หากจะมีมาตรการช่วยเหลือด้วยการลดการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามที่ภาคธุรกิจเรียกร้องก็ไม่ควรลดเกิน 2% และมีกำหนดระยะเวลาชัดเจนเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ไม่มีการปรับค่าจ้าง เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับกรณีชราภาพ ซึ่งเงินออมของผู้ประกันตนในระยะยาว

ในส่วนของกลุ่มแรงงานนอกระบบ เป็นเรื่องใหญ่ที่ควรต้องมีการดูแลติดตาม สิ่งที่ต้องทำมากขึ้นคือ การให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงทางรายได้และสิทธิความคุ้มครองต่าง ๆ ที่แรงงานนอกระบบยังด้อยสิทธิอยู่มาก รวมถึงการดูแลติดตามการใช้แรงงานเด็กที่ต้องทำให้ไม่มีการใช้แรงงานเด็กในสภาพเลวร้ายเกิดขึ้น

ค่าจ้าง 300 และ 15,000 จุดเปลี่ยนแรงงานไทย

การที่รัฐบาลมีนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้าง 300 บาทและเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ทำให้ประเด็นเรื่องแรงงานมีการพูดถึงมาตลอดในช่วงปี 2555 และจะยังคงต่อเนื่องไปถึงปี 2556 เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีผลกระทบสูง นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกิน 10 ปีที่มีผลกระทบกับแรงงานเยอะมาก มีการรื้อโครงสร้างตลาดแรงงาน ก่อผลกระทบกว้างขวางในสังคมและทำให้เรื่องแรงงานเป็นที่สนใจในสังคม ทำให้ภาคแรงงานมีความเข้มแข็งขึ้น และภาพรวมในแง่สมรรถนะแรงงานไทยดีขึ้น ในธุรกิจขนาดใหญ่มีการใช้แรงงานความรู้สูงเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามความท้าทายของแรงงานไทยอยู่ที่ทิศทางการพัฒนาประเทศ ซึ่งพัฒนามาถึงจุดเปลี่ยนที่จะต้องยกระดับจากการใช้ฐานเทคโนโลยีต่ำ ประสิทธิภาพต่ำ สมรรถนะต่ำ ค่าจ้างแรงงานต่ำ ออกจากกับดักมาสู่ความท้าทายใหม่ ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ทุกรูปแบบ เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันในตลาดเสรีที่ไม่ใช่แค่ในประเทศอีกต่อไป จึงเป็นอีกจังหวะก้าวของแรงงานไทย โดยเฉพาะแรงงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีจะสามารถก้าวมาเป็นผู้ประกอบการได้มากขึ้น