ThaiPublica > เกาะกระแส > “ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร” แนะรัฐแก้ความเหลื่อมล้ำ สร้างวัฒนธรรมความเสมอหน้า – ตื่นรู้ – โปร่งใส

“ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร” แนะรัฐแก้ความเหลื่อมล้ำ สร้างวัฒนธรรมความเสมอหน้า – ตื่นรู้ – โปร่งใส

18 สิงหาคม 2012


ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดสัมมนาโครงการวิจัย “สู่สังคมไทยเสมอหน้า การศึกษาโครงสร้างความมั่งคั่งและโครงสร้างอำนาจเพื่อการปฏิรูป” ทุนศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ศูนย์สารนิเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร หัวหน้าโครงการวิจัย ได้กล่าวถึงความเป็นมาและภาพรวมความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยว่าครัวเรือนไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ความมั่งคั่งในความเป็นเจ้าของที่ดิน และยังมีความเหลื่อมล้ำอื่นๆ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟูระหว่างปี 2533-2538 และมีแนวโน้มลดลงเพียงเล็กน้อย หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540

“ปัจจุบัน ระดับความเหลื่อมล้ำของไทยเป็นรองก็แต่เพียงลาตินอเมริกาและแอฟริกาเท่านั้น”

ศ.ดร.ผาสุกระบุว่า ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ส่งผลต่อไปถึงความเหลื่อมล้ำด้านอื่นๆ ได้แก่ ความมั่งมี อาทิ ในที่ดิน และสินทรัพย์อื่นๆ

ความเหลื่อมล้ำด้านสังคม อาทิ การแบ่งช่วงชั้นทางสังคม การเข้าถึงการศึกษา การได้รับการยอมรับนับถือ ศักดิ์ศรี

ความเหลื่อมล้ำด้านการเมือง อาทิ การเข้าไม่ถึงอำนาจทางการเมืองและการกำหนดโยบาย

ประเทศอื่นๆ ในโลกกำลังเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงเช่นกัน ทั้งนี้เป็นผลพวงของการดำเนินนโยบายตามแนวทาง “เสรีนิยมใหม่” ที่เชื่อว่าความเหลื่อมล้ำเป็นผลดีกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ การให้ความสำคัญกับกลไกตลาดเป็นตัวกำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นหลัก พร้อมทั้งลดบทบาทรัฐในระบบเศรษฐกิจ เปิดเสรีการค้า การลงทุน การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการลดบทบาทของสหภาพแรงงาน ฯ

ดังนั้น ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้จึงเป็นปัญหาของโลก ทั้งภายในแต่ละประเทศและระหว่างประเทศ แม้แต่ประเทศในกลุ่มโออีซีดี หรือองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development – OECD) ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศอื่นๆ ก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ

“ถึงกระนั้น ข่าวดีก็พอมีอยู่ บางประเทศปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการเมืองจนสามารถลดความเหลื่อมล้ำลงได้ เราน่าจะเรียนรู้ได้บ้างจากประเทศเหล่านี้”

ศ.ดร.ผาสุกยกตัวอย่างที่ลาตินอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางพอๆ กับไทย และยังเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องความเหลื่อมล้ำสูงมากที่สุด ขณะนี้บางประเทศดำเนินมาตรการใหม่ๆ ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน เช่น อุดหนุนให้เด็กๆ ของครัวเรือนฐานะไม่ดีได้ไปโรงเรียน และรับการตรวจรักษาอย่างทั่วถึง

อาร์เจนตินาและบราซิล ปฏิรูประบบภาษีจนสามารถเก็บภาษีได้คิดเป็นร้อยละ 34 ของจีดีพี เท่ากับค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศโออีซีดี (เยอรมัน อังกฤษ ฝรั่งเศส สแกนดิเนเวีย สหรัฐฯ) เมื่อเปรียบเทียบกับไทยที่จัดเก็บภาษีได้คิดเป็นร้อยละ 17 หรือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่อาร์เจนตินาและบราซิล ไม่ต่างจากไทยคือเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางเหมือนกัน

การปฏิรูปภาษีดังกล่าว ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีรายได้พอจะใช้จ่ายด้านสังคม ประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมาก เช่น เอกวาดอร์และอาร์เจนตินา สามารถต่อรองกับบริษัทข้ามชาติ อาทิ บริษัทน้ำมัน บริษัทเหมืองแร่ ให้เพิ่มส่วนแบ่งรายได้จากกำไรให้รัฐบาลเอามาใช้จ่ายได้สังคม

ศ.ดร.ผาสุกระบุว่า น่าแปลกใจที่ประเทศเพื่อนบ้านแถบอาเซียน ล้วนมีการกระจายรายได้ดีกว่าไทยทั้งสิ้น ทั้งที่สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไม่ต่างกับไทย อีกทั้งยุทธศาสตร์เศรษฐกิจก็ไปในทิศทางเดียวกัน ตัวอย่างเช่น มาเลเซีย เคยมีความเหลื่อมล้ำสูง แต่ได้ลดลงจนขณะนี้ต่ำกว่าไทยมาก จากการทำโครงการสุขภาพถ้วนหน้ามาตั้งแต่ปี 2513 รัฐบาลแบ่งที่ดินของรัฐให้กับเกษตรกรผู้เช่า และจงใจอุดหนุนเพิ่มโอกาสให้ครัวเรือนระดับล่างได้รับการศึกษาดีถึงขั้นอุดมศึกษา

ทำไมมาเลเซียจึงทำได้สำเร็จ?

“เพราะว่ารัฐบาลและคนส่วนใหญ่ของประเทศเชื่อว่า การลดความเหลื่อมล้ำจะลดความขัดแย้งด้านเชื้อชาติระหว่างคนจีนกับคนมาเลย์ลงได้นั่นเอง”

ศ.ดร.ผาสุกกล่าวว่า อีกบทเรียนหนึ่งคือ คนฐานะดีมักจะต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยกับมาตรการลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเชื่อว่าพวกเขาจะเสียประโยชน์ แต่นั่นเป็นความคิดสั้น คือ คิดแบบ “ถ้าเธอได้ ฉันไม่ได้” (Zero-sum-game) สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำไม่มาก และมีระบบประกันสังคมที่ดี จะเป็นสังคมคมที่มีความราบรื่น ผู้คนขยันขันแข็ง และมีประสิทธิภาพทางการผลิตมากกว่า

ในช่วง 5-6 ปีมานี้ การเรียกร้องด้านการเมืองได้กลายเป็นประเด็นสำคัญของการเมืองไทยร่วมสมัย ขบวนการเสื้อแดงได้ใช้คำว่า “ไพร่” และ “อำมาตย์” เสียดสีถึงผู้ที่ยังคิดแบบสังคมมีชนชั้นในระบอบการเมืองเดิม ซึ่งมีคนจำนวนน้อยอยู่เหนือคนจำนวนมาก และคนจำนวนมากต้อง “เกรงใจ” คนมีอำนาจจำนวนน้อยนั้น

“ชาวเสื้อแดงคนหนึ่งบอกนักวิชาการว่า ในความเห็นของเขา ประชาธิปไตย คือ ความยุติธรรม ทั้งทางด้านกฎหมาย การเมือง และการศึกษา”

ข้อเรียกร้องเช่นนี้ ศ.ดร.ผาสุกกล่าวว่า ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่เมืองไทยเท่านั้น แต่พบเห็นได้ทั่วไป เช่น ปรากฏการณ์ “Arab Spring” ในตะวันออกกลาง และการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งที่ลาตินอเมริกา และแม้แต่ที่ยุโรปใต้ ที่กำลังมีวิกฤติเงินยูโรในขณะนี้

ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเมืองใหม่นั้น ศ.ดร.ผาสุกกล่าวว่า ในแต่ละประเทศมีลักษณะคล้ายๆ กัน แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ได้แก่ การที่คนระดับล่างของประเทศได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างกว้างขวาง ขณะนี้ผู้คนต้องโยกย้ายไปทำงานต่างถิ่นทั้งภายในประเทศของตนเอง และที่ไปทำงานต่างประเทศก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากประสบการณ์ และได้เห็นความแตกต่าง ผู้คนใช้อินเทอร์เน็ต ฟังวิทยุชุมชน และดูเคเบิลทีวี หลายๆ สถานี ทุกๆ คนได้รับการศึกษาแบบไม่เป็นทางการเหล่านี้เป็นประจำทุกวัน”

อีกปัจจัยหนึ่งที่เกิดขึ้นทุกแห่ง คือ การต่อต้านเศรษฐกิจแนวเสรีนิยมใหม่ เพราะทำให้ผลได้ทางเศรษฐกิจตกอยู่ในมือของคนเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านั้น แต่ทุกแห่งก็มีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะด้วย

ที่เมืองไทย ศ.ดร.ผาสุกระบุว่า รายได้ต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้น 3 เท่าภายในเวลา 30 ปี หรือในชั่วอายุคนเดียว เมื่อผู้มีรายได้สูงขึ้นก็จะเปลี่ยนทัศนคติ ความคาดหวังในชีวิตและความต้องการต่างๆ จะหลากหลายขึ้น รู้สึกว่าเขาควรจะได้รบการปฏิบัติที่ดีกว่านี้ เขาควรจะมีสินค้าและบริการสาธารณะ เช่น การศึกษา ถนนลาดยาง รถไฟฟ้า เขาควรจะได้พูดคุยกับนักการเมืองเพื่อบอกว่าเขาอยากได้อะไร เขาเห็นกับตาว่าคนบางคนเข้าถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาอยากได้ได้ดีกว่าตนเอง และก็อยากอยู่ในสภาพเช่นนั้นบ้าง

ในกระบวนการนี้ เส้นแบ่งระหว่างเมือง-ชนบท รวย-จน ผู้ใหญ่-ผู้น้อย รางเลือนลง กระบวนการดังกล่าวนี้คือกระบวนการสร้างความรู้สึกเป็น “พลเมือง” หรือ citizen และมีศักยภาพที่จะนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและก้าวหน้าได้

ที่สำคัญคือ คนชั้นกลางในเมืองไม่อาจผูกขาดความต้องการเสรีภาพ การสร้างเส้นสาย การเรียกร้องธรรมาภิบาล ความเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเมืองประชาธิปไตย อีกต่อไป ประชาชนคนอื่นๆ อีกจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในประเทศเดียวกัน อาจอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าชนบท หรือกึ่งชนบท ก็ต้องการสิ่งเดียวกัน

ในเมืองไทย การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคมในชั่วหนึ่งอายุคนที่ผ่านมานั้น จึงได้สร้าง “วัฒนธรรมของความเสมอหน้า” ขึ้นมาด้วย หมายความว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ยอมรับการเมืองแบบเก่า ซึ่งคนชั้นกลางมีการศึกษาสูงเป็นผู้กำหนดหรือพยายามกำกับอีกต่อไป

“ที่บ้านเราก็มีข่าวดีเหมือนกัน ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ก็ได้ลดลงหลังปี 2544 เพราะผลพวงของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น นโยบายสุขภาพถ้วนหน้า นโยบายขยายสินเชื่อให้กับคนรายได้น้อย และนโยบายการศึกษาฟรี 12 ปี เมื่อเร็วๆ นี้และผลพวงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจที่โยกย้ายจากที่ทำงานมีรายได้น้อยมาสู่มีรายได้สูงขึ้น”

ศ.ดร.ผาสุกกล่าวว่า การลดลงดังกล่าวไม่ได้มากมายอะไรนัก เพราะเราก็ยังอยู่สูงกว่ามาเลเซีย และใกล้เคียงกับลาตินอเมริกา รัฐบาลไทยยังสามารถทำอะไรได้อีกมาก เพื่อให้ครัวเรือนรายได้น้อยได้ส่งลูกเข้าโรงเรียนคุณภาพ และได้เรียนถึงอุดมศึกษา เพื่อให้เกษตรกรรายได้น้อยได้เข้าถึงสินเชื่อราคาพอสมควร และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้สูงกว่าเดิม และเพื่อให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลปืนเที่ยงได้เข้าถึงสินค้าและบริการสาธารณะต่างๆ เสมอเหมือนผู้อยู่ใกล้ สินค้าและบริการสาธารณะของเรามีไม่เพียงพอและคุณภาพย่ำแย่

แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ารัฐบาลมีงบประมาณจำกัด และงบประมาณจำกัดนี้ก็เพราะเก็บภาษีได้น้อย คือ ร้อยละ 17 ของจีดีพี เพียงแค่การปรับปรุงการเก็บภาษี ก็จะเพิ่มรายได้ได้อีกถึงมากกว่า 1 ใน 5 และถ้าปฏิรูประบบภาษีเสีย จะเพิ่มได้อีกถึง 1 ใน 3 ก็ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมาเพื่อใช้จ่ายสร้างสินค้าสาธารณะที่จำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อลดทอนความเหลื่อมล้ำ โดยไม่ต้องมีภาระหนี้สาธารณะเพิ่ม สิ่งที่เสนอไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นเพียงทำตามอย่างประเทศอื่นๆ ที่กำลังทำอยู่เช่นกันเท่านั้น

ในด้านสังคมและการเมือง เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันหลายฝ่ายทั้ง นักเขียน นักวิชาการ และสื่อ ในการปรับแปลงวัฒนธรรมที่ดูเหมือนจะส่งเสริมความเหลื่อมล้ำให้ดีขึ้น เช่น การยอมรับว่า ผู้คนอาจมีความคิด ความพอใจทางการเมือง ที่ต่างกันเป็นเรื่องปกติ เป็นการเริ่มต้นที่ดี การกระจายอำนาจและการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายทุกรูปแบบต้องเดินหน้าต่อไป

การสร้างความตื่นรู้ให้กับสังคมไทยถึงวิธีการอันแยบยลต่างๆ ที่ผู้อยู่ในอำนาจพยายามส่งอิทธิพลต่อทิศทางของการเมืองและนโยบาย โดยผลพวงของความพยายามดังกล่าว อาจจะปิดกั้นหรือเป็นผลเสียกับคนจำนวนมาก การสร้างความตื่นรู้ตรงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะจะนำไปสู่การอภิปรายกันถึงแนวทางที่ตัดตอนแนวโน้มดังกล่าว และสร้างความเสมอหน้า

สุดท้าย ศ.ดร.ผาสุกกล่าวว่า นักเศรษฐศาสตร์บางคนเห็นว่า ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นเพื่อจูงใจให้คนทำงาน แต่ขณะนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักพูดถึงการลดความเหลื่อมล้ำว่าเป็นวิธีสร้างกำลังใจให้ทำงานหนัก และเพื่อให้เกิดสังคมสันติสุข จะเห็นได้ในกรณีประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เช่น เดนมาร์ก สวีเดน เป็นสังคมเสมอหน้าสูง มีความราบรื่น และยังมีเศรษฐกิจที่น่าพอใจกว่าประเทศอื่นๆ อีกด้วย