ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์– นักเรียนเปิดม่านรูดสวิงกิ้ง และ สะเทือนวงการท่องเที่ยวไทย นักท่องเที่ยวถูกทำร้าย

ประเด็นฮอตในโซเชียลมีเดียรอบสัปดาห์– นักเรียนเปิดม่านรูดสวิงกิ้ง และ สะเทือนวงการท่องเที่ยวไทย นักท่องเที่ยวถูกทำร้าย

1 กรกฎาคม 2012


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 24-30 มิถุนายน 2555

เรื่องแรก เป็นเรื่องที่บรรดาผู้ใหญ่และผู้ที่เกี่ยวข้องต่างต้องหันกลับมาให้ความใส่ใจกันมากกว่าเดิมเป็นการด่วน ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยาวชนไทยและสังคมไทยในปัจจุบัน ที่นับวันยิ่งมีการพัฒนาในเรื่องต่างๆ ไปมากมาย ไม่ว่าจะเทคโนโลยีหรือการศึกษา แต่สิ่งที่สวนทางและด้อยถอยลงไปทุกวัน คือ พฤติกรรมและสภาพจิตใจของคนในสังคม รวมไปถึงเยาวชนที่ได้ชื่อว่าเป็นอนาคตที่สำคัญของประเทศชาติ โดยล่าสุดมีพฤติกรรมของเด็กนักเรียนที่สร้างความตกใจให้สังคมไทยอย่างมาก เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ว่ามีเด็กนักเรียนชาย-หญิงจับกลุ่มกันเข้าไปโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชุมชน จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าประสานกับทางโรงแรมเพื่อขอเข้าตรวจค้น และเมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักของโรงแรมก็พบกลุ่มนักเรียนชาย-หญิง อายุระหว่าง 14-17 ปีของสถาบันเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง ที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าของตัวเองกันอย่างชุลมุน โดยนักเรียนกลุ่มนี้เปิดห้อง 2 ห้อง ห้องละ 5 คน รวม 10 คน เพื่อมีเพศสัมพันธ์กันแบบสวิงกิ้งชาย 3 หญิง 2 โดยจะโทรนัดกลุ่มเพื่อนทั้งสถาบันเดียวกันและต่างสถาบันมาเปิดห้องเพื่อมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งทำกันประจำแทบทุกวันในช่วงเช้า

กรณีที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า ทางโรงแรมม่านรูดเปิดให้เด็กนักเรียนเหล่านี้เข้าไปได้เช่นไรทั้งที่ใส่ชุดนักเรียน ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อสังคมแต่อย่างใด ซึ่งทางด้าน พ.ต.อ.วิฑูรย์ พละสาร ผกก.สภ.เมืองเพชรบุรี เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ดำเนินการสอบสวนนักเรียนกลุ่มนี้ โดยให้แบ่งแยกออกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรกให้เรียกผู้ประกอบการโรงแรมมาสอบสวนและตรวจสอบหลักฐานว่ามีใบอนุญาตเปิดโรงแรมถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งให้มีการสอบสวนด้วยว่ามีการปล่อยปละละเลยให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้ามาใช้บริการได้อย่างไร ส่วนประเด็นที่ 2 ให้เรียกผู้ปกครองของเด็กนักเรียน และทางโรงเรียนมารับทราบถึงพฤติกรรมของเด็กนักเรียนร่วมกันด้วย

การดำเนินคดีกับทางโรงแรมม่านรูดที่เกิดเหตุนั้น ในเบื้องต้นกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน โดยจะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก หรือฐานที่ปล่อยให้มีการเข้าไปมั่วสุมดังกล่าว

และอีกเรื่อง ที่ทำให้สังคมต้องยิ่งตระหนักกับพฤติกรรมของเยาวชนไทยมากขึ้น เพราะล่าสุดในสังคมออนไลน์ ก็กำลังมีการพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่มีคลิปนักเรียนชายและหญิงกำลังมีเพศสัมพันธ์กันในโรงภาพยนตร์ในจังหวัดราชบุรี จากภาพในคลิปวิดีโอที่ปรากฏจะเห็นว่าฝ่ายชายตัดผมรองทรง แต่งกายเครื่องแบบนักเรียน ขณะที่ ฝ่ายหญิงตัดผมสั้นประมาณติ่งหู แต่งกายคล้ายเครื่องแบบนักเรียนชั้น ม.ต้น โดยพลอดรักกันระหว่างนั่งอยู่บนเก้าอี้โรงภาพยนตร์ รอบข้างเป็นเก้าอี้ว่าง ไม่มีผู้คนนั่งชมอยู่บริเวณดังกล่าว

คลิปดังกล่าวถูกอัพโหลดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ความยาว 7.36 นาที ภาพที่ปรากฏผ่านกล้องอินฟาเรดของทางโรงภาพยนตร์ระบุวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 มีการซูมภาพเข้าไปเพื่อให้เห็นพฤติกรรมของนักเรียนคู่นี้ชัดมากขึ้น และถูกถ่ายจากโทรศัพท์มือถือที่ปรากฏบนคอมพิวเตอร์จากห้องควบคุมอีกที พร้อมกับมีเสียงผู้ชายหลายคนพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันอย่างสนุกสนาน

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเผยแพร่คลิปดังกล่าวออกไป สังคมออนไลน์ต่างมีผู้แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงรุมประณามถึงความไม่เหมาะสมของนักเรียนหญิงชายคู่นี้ และผู้ที่ถ่ายคลิปแต่กลับพูดถึงกันอย่างสนุกปากโดยไม่ห้ามปราม เป็นอย่างมาก และต่อมาไม่นาน พบว่าคลิปวิดีโอดังกล่าวนี้ได้ถูกลบออกไปแล้ว

“คือถ้าคนเพชรเองเขาดูก็รู้แล้วคะว่ามีโรงเรียนอะไรบ้าง แต่โรงเรียนที่เห็นชัดๆ ก็น้องชุดพละ ผู้หญิงชัดมากคะ ส่วนผู้ชายมีทั้งเทคนิคกับอาชีวะคะ แต่ไม่เข้าใจว่าคนเราอยากขายข่าวหรอคะ ต้องตั้งหัวข้อข่าวรุนแรงเกินไปหรือป่าว เราไม่รู้ว่าเขาไปแล้วทำอย่างที่เราว่าหรือป่าว เขาอาจจะไปอยู่แบบนั้นแล้วมีความสุขไปวันๆๆ แต่ไม่จำเป็นต้องไปมีอะไรกันอย่างที่ข่าวออก แต่สังคมก็ตัดสินเขาไปแล้ว ด้วยข่าว สังคมมันจะดีหรือไม่ดีก็เริ่มจากบ้าน น้องเขาอาจจะไม่มีวุฒิภาวะในการตัดสินใจว่าที่ไปนั่นดีหรือไม่ดี ในสายตาผู้ใหญ่ เรื่องนี้ต้องแก้ไขทั้งบ้าน โรงเรียน ครอบครัว ตัวเด็กคะ”

“เด็กจะอยู่ในสถาบันยังไง อนาคตมันมืดแล้วนะ สงสารพ่อแม่จริงๆ ผู้ชายก็พอด้านได้แต่ผู้หญิงล่ะ โอ๊ย ไม่อยากคิด อีหนูขาดสติจริงๆ”

“เด็กทำไมถึงกล้าทำได้ขนาดนี้ หรือว่าสังคมมีเป็นตัวอย่างเยอะ เลยอยากลองกัน หรือว่าโรงเรียนไม่ใส่ใจพฤติกรรมของเด็ก หรือว่า พ่อแม่ ไม่สั่ง ไม่สอน อะไรยังไง แล้วต้องเร่งแก้ไขซักทีนะ”

“ทางโรงแรมเห็นว่าเป็นเด็ก แล้วปล่อยให้เข้าไปได้ยังไง หรืออยากได้เงิน ไม่สนใจว่าใครอายุเท่าไหร่ เข้าได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดอายุเหรอ”

“ปฏิรูปการศึกษาแล้วเป็นแบบนี้กัน ใครรับผิดชอบ ยิ่งปฏิรูปยิ่งแย่ลง สิทธิผู้เรียน ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือ กิจกรรมบูรณาการ เด็กมันคิดใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้แค่เนี๊ย หรือจะปฏิรูปเป็นหลักสูตรให้ชัดเจนไปเลย”

เรื่องที่สอง ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของประเทศ กับกรณีที่มีคนร้ายกระชากกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย บริเวณโรงแรมกะตะธานีในจังหวัดภูเก็ต แต่นักท่องเที่ยวต่อสู้ ทำให้ถูกแทงเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บสาหัส 1 คน จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า ผู้เสียชีวิตคือ น.ส.สมิทธ์ มิเชล อลิชซาเบท (Smith Michelle Elizabeth) อายุ 59 ปี สัญชาติออสเตรเลีย ถูกแทงด้วยอาวุธมีดสปาต้าเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายตัดขั้วหัวใจทะลุปอด 1 แผล ความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ส่วนผู้บาดเจ็บชื่อ น.ส.ลินิน แทมมี่ ลี (Lynin Tammee Lee) อายุ 45 ปี สัญชาติเดียวกัน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลศิริโรจน์ภูเก็ต ถูกมีดแทงเข้าที่บริเวณต้นแขนด้านขวา 1 แผล แพทย์ต้องเย็บ 24 เข็ม

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งว่า นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียทั้ง 2 คน มีอาชีพเปิดบริษัทเอเย่นต์ทัวร์นำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวประเทศไทย ซึ่งเพิ่งเดินทางมา จ.ภูเก็ตกับพรรคพวกอีก 10 คน เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งได้เข้าพักโรงแรมกะตะธานี ภูเก็ต บีช รีสอร์ต และมีกำหนดเดินทางกลับในวันที่ 22 มิถุนายน โดยเดินทางมาดูสถานที่ของโรงแรมในการนำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว จ.ภูเก็ต โดยก่อนเกิดเหตุผู้ตายพร้อมเพื่อนทั้ง 10 คน ได้เดินทางออกจากโรงแรมไปรับประทานอาหารค่ำและแยกย้ายกันกลับ ซึ่งผู้ตายและผู้บาดเจ็บได้เดินเท้ากลับโรงแรมจนมาถึงร้านขายยาแห่งหนึ่ง และได้ถูกคนร้ายกระชากกระเป๋า แต่ทั้งสองขัดขืนต่อสู้ พร้อมตะโกนให้คนช่วยเหลือ จนคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงนักท่องเที่ยวทั้งสองและขับรถหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้ทรัพย์สินแต่อย่างใด

ผู้ต้องหา ขณะทำแผนประกอบรับคำสารภาพ กรณีแทงนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเสียชีวิต ที่มาภาพ: httpentertainment.goosiam.comnewshtml0035383.html
ผู้ต้องหา ขณะทำแผนประกอบรับคำสารภาพ กรณีแทงนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียเสียชีวิต ที่มาภาพ: httpentertainment.goosiam.comnewshtml0035383.html

แน่นอนว่า เรื่องนี้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวของไทยอย่างภูเก็ตแน่นอน แม้ขณะนี้ผู้ต้องหาจะถูกจับกุมได้แล้วก็ตาม แต่ประเทศไทยเราคงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัย และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาเที่ยวอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนเหมือนกัน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงกรณีการทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวเพียงกรณีเดียวที่เกิดขึ้น ยังมีกรณีก่อนหน้าและตามมาอีกหลายกรณี โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก็เกิดกรณีนักท่องเที่ยวชาวดูไบถูกทำร้าย โดยคนขับรถตุ๊กตุ๊กอารมณ์ร้อนเรื่องค่าโดยสารที่ตกลงกันไม่ได้ จนเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง ทำให้คนขับรถโมโหที่ถูกนักท่องเที่ยวชายดูไบด่าทอ จึงใช้วิทยุสื่อสารตีเข้าที่ศีรษะจนหัวคิ้วซ้ายแตก เลือดอาบใบหน้า นักท่องเที่ยวคือ นายอาเหม็ด ทาฮา ทาฮา อายุ 34 ปี ชาวดูไบ นั่งประท้วงอยู่กลางถนนในสภาพศีรษะแตก เลือดอาบใบหน้า และไม่ยอมไปโรงพยาบาล มีอาการโมโหอย่างหนัก เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำรถยนต์มารับตนเองและครอบครัวรวม 8 คน ไปส่งที่โรงแรมหาดกะรน โดยจะไม่ยอมเดินทางโดยรถตุ๊กตุ๊กรับจ้างและไม่ยอมจ่ายค่าโดยสารอย่างเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำรถยนต์มาให้บริการนำครอบครัวของนายอาเหม็ดไปส่งยังที่พักโรงแรมหาดกะรนตามที่ร้องขอ ส่วนนายอาเหม็ด ผู้บาดเจ็บ ได้นำตัวส่ง รพ.เมืองป่าตอง ซึ่งแพทย์ได้เย็บแผลให้ 10 เข็ม

ทางด้านนายภูริต มาศวงศา อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ภูเก็ต กล่าวว่า เหตุการณ์นักท่องเที่ยวออสเตรเลียถูกชิงทรัพย์และถูกแทงเสียชีวิตนั้น ทางประเทศสิงคโปร์ได้นำเสนอข่าวว่าภูเก็ตเป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัย เต็มไปด้วยอาชญากรรม ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของภูเก็ตเป็นอย่างมาก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเพราะภูเก็ตมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอ จึงน่าที่จะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้พอกับจำนวนประชากรและนักท่องเที่ยว ในการป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดปัญหา รวมทั้งจะต้องตีกรอบบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดอีกด้วย

“พวกผู้ประกอบการมักเห็นแก่ประโยชน์ กลัวจะไม่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวทำให้เสียรายได้ถ้ามีข่าว แต่ในทำนองเดียวกัน ถ้าปิดข่าว ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการไม่นึกถึงสวัสดิภาพนักท่องเที่ยว ต่อไปใครจะมาเที่ยว เพราะท่านเอาเปรียบลูกค้าที่มาต่อลมหายใจให้ธุรกิจของพวกท่านเอง ก็เท่านั้น”

“ดูข่าวแล้วสลด เสียภาพลักษณ์ของประเทศจริงๆ เสียเพราะคนบางจำพวกเท่านั้นเอง”

“แต่มันต้องดูเป็นกรณีๆ ไป ฝรั่งนิสัยไม่ดีก็มีเยอะ ไม่ใช่เอะอะอะไรคนไทยผิด ฝรั่งถูกเสมอ บางทีเมาแล้วไปจับหน้าอกสาวไทย ถูกรุมก็สมควรแล้ว แต่บางรายไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่แน่ชัดนะซิ”

“ปัญหาอาจเกิดเพราะสื่อสารกันหมดไม่รู้เรื่อง นักท่องเที่ยวก็กลัวถูกต้ม รถโดยสารก็อยากรับนักท่องเที่ยวหวังได้ราคาพิเศษ ไม่มีความเชื่อใจกัน ทำป้ายประกาศราคาให้ชัดเจนคนละเท่าใด ไปที่ไหนไปเลย”

“ผู้บัญชาการทหารบอกกล่าวเกี่ยวกับกับการก่อการร้ายด้วยว่า ประเทศเราไม่ใช่เป็นเป้าหมาย เหตุที่เกิดขึ้นก็สามารถจับคนร้ายได้แล้ว ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ปัจจุบันนี้เป็นยุคของโลกาภิวัตน์ สื่อไร้พรหมแดน สื่อที่ออกมารวดเร็วมาก เราไม่สามารถจะสกัดกั้นอะไรได้หมด ทุกคนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพียงลำพังเจ้าหน้าที่คงทำอะไรไม่ได้มาก”

เรื่องที่สาม แม้ว่าจะอยู่ในช่วงกระแสฟุตบอลยูโร แต่ฟุตบอลไทยก็สามารถสร้างความตกตะลึงให้แฟนฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นอย่างมาก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย เอเอฟซี ยู 22 แชมเปียนชิพ 2013 รอบคัดเลือก กลุ่มเอฟ ที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา นักเตะทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 22 ปีลงสนามเป็นนัดที่ 3 และพลิกล็อกพ่ายทีมชาติลาวไป 0-1 ประตู ท่ามกลางเสียงเฮของแฟนบอลเจ้าถิ่นที่ล้มทีมชาติไทยได้ ขณะที่ทีมชาติไทยมีสิทธิ์ตกรอบในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้สูงมาก

โดยในครึ่งแรก เป็นเจ้าภาพลาวที่เล่นได้ดีกว่าอย่างชัดเจน และเป็นฝ่ายครองบอลบุกเข้าใส่ทีมชาติไทยอยู่ข้างเดียว มีโอกาสได้ลุ้นประตูหลายครั้งแต่ก็ยังทำอะไรไทยไม่ได้ จบ 45 นาทีแรกยังไม่มีทีมใดทำประตูได้ ลาวทำประตูนำ 1-0 ได้ในครึ่งหลัง โดยกองหน้าของลาวหลุดเข้าไปยิงมุมแคบเข้าประตูได้สำเร็จ

หลังจากนั้นลาวยังเล่นได้เหนือกว่าไทย มีโอกาสยิงประตูเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้ง จนช่วงท้าย ไทยเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน จากการทำฟาวล์ผู้เล่นเจ้าถิ่น โดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดงไล่ออกไป ทำให้ทำอะไรเพิ่มไม่ได้ จบเกม ลาวเอาชนะไทยไปได้ 1-0

ภายหลังเกมดังกล่าว แฟนฟุตบอลทีมชาติไทยจำนวนมากในโลกไซเบอร์ต่างพากันกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำลงของทีมชาติไทย และการที่ทีมชาติไทย ซึ่งอดีตเคยสร้างผลงานเกรียงไกรในย่านอาเซียน กลับทำผลงานได้ย่ำแย่มาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง ทั้งการตกรอบแรกซีเกมส์ รวมทั้งพ่ายทีมรองบ่อน ก็ทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทยหลายคนมองไม่เห็นอนาคตที่ทีมชาติไทยจะก้าวขึ้นไปสู่ระดับโลกได้เลย

อีกทั้งหลายคนยังชื่นชมทีมชาติลาวที่พัฒนาฝีมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็แอบเหน็บทีมชาติไทยที่ทำผลงานตกลงไปแทนที่ โดยบางความเห็นบอกว่า รู้สึกอายมากที่ทีมชาติไทยทำผลงานได้ย่ำแย่ คงเป็นเพราะนักเตะทีมชาติไทยทุ่มเทให้กับการเล่นในสโมสรมากกว่าทีมชาติ ทำให้มีเวลารวมทีมกันน้อย จนสร้างผลงานได้ไม่เป็นที่น่าประทับใจ อย่างไรก็ตาม ก็จะเชียร์ทีมชาติไทยต่อไป

“เห็นข่าวนี้แล้วนึกถึงหนังเรื่องนึงเมื่อหลายปีก่อน ที่ทำทีมลาวไปบอลโลกได้ก่อนไทยอะ จำชื่อเรื่องไม่ได้ ออกแนวตลกๆ ตามความเห็นผม แข่งที่เวียงจันทร์ บ้านเขา ก็มีสิทธิ์ชนะอยู่แล้ว แม้แต่บอลพรีเมียร์ลีกหรือทีมชาติใหญ่ๆ ถ้าไปแข่งบ้านทีมเล็ก ทีมที่เล่นในบ้านก็เล่นเต็มที่ แฟนบอล เสียงเชียร์ ก็มีสิทธิ์ชนะ หรือยันเสมอทีมใหญ่ๆ ได้เสมอ แม้แต่แมนยูก็ยังแพ้ทีมเล็กๆ เวลาไปเยือนเช่นกัน ต้องมองจุดนี้ด้วยครับ แต่ก็อย่างว่า บอลไทยควรจะพัฒนาระบบจริงๆ”

“นักเตะไม่อยากเล่นให้ทีมชาติเพราะไม่มีค่าจ้าง แรงจูงใจน้อยกว่า ถ้าได้เล่นสโมสรฝีเท้าเก่งๆ ก้อได้เดือนเป็นแสนบาท และอะไรอีกหลายอย่างก้อตามมา พอถูกเรียกมาติดทีมชาติก้อเล่นไม่เต็มที่ กลัวเจ็บเล่นให้กับสโมสรไม่ได้ ถ้าเปรียบเทียบเมื่อก่อน มีแต่คนอยากติดทีมชาติ อยากเล่นให้ทีมชาติ วิธีแก้ไข ตั้งทีมฟุตบอลไทยขึ้นมา ไม่เอานักเตะจากสโมสร หานักเตะเองและเล่นให้ทีมชาติอย่างเดียว มีเงินเดือนให้ เวลาไม่มีแข่ง ก็อุ่นเครื่องกับทีมสโมสรใหญ่ๆ ในไทย แต่อยากให้ดูแลโดยรัฐบาลและไม่ขึ้นกับ บังยี”

“บอลลีกก้าวหน้า ไหนทีมชาติตกต่ำ ส่วนใหญ่มาจากผลประโยชน์ทั้งสิ้น ดูบอลยูโรยังดีกว่าอีก จะว่าไม่เชียร์ก็ไม่ใช่ดูเตะกันดิ เฮ่อออ!!”

“ผมว่าแฟนบอลไทยทุกคนควรจะหาแกนนำเพื่อที่จะขับไล่นายกสมาคมนะครับ ก่อนที่ศรัทธาในทีมชาติไทยจะหมดไปเพราะนายกสมาคมที่ห่วยแตกแบบนี้ นัดวันไหนก็รวมตัวไปเลยครับ ทั้งประเทศ ดูซิว่าถ้าคนแอนตี้ทั้งประเทศยังจะมีสปริตลาออกหรือป่าว ช่วยกันหน่อยครับ”

“เลิกตั้งทีมบอลทั้งหมดในเมืองไทย แล้วไปเอาดีด้านมวยไทยดีกว่าน่ะผมว่า บอลไทยไม่ไหวจริงๆ ผมไม่ได้คิดไปเอง ไม่คิดจะดูถูกฝีมือ แต่ความจริงมันมันก็คือความจริง ยอมรับซะ”

“เอาตรงๆ เลยนะ ไม่ดูบอลให้เสียเวลาหรอก ไม่สนุกเหมือนเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว นั่งเชียร์กันกับครอบครัว เย้ๆ อันนี้เห็นบอลตัวใครตัวมันเลย ลุ้นไม่ขึ้นจิงๆ เดี๋ยวนี้ถ้าอยากได้อารมณ์ประมาณเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ก็คงต้องดูวอลเล่ย์ ยังเชียร์กันมัน พอๆ กับดูมวยเลย”

เรื่องที่สี่ เป็นบริษัทที่ผลิตรายการ แล้วเกิดเป็นกระแสสังคมให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง สำหรับบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เมื่อเว็บบอร์ดชื่อดังหลายแห่งได้พากันตั้งกระทู้แสดงความเห็นเกี่ยวกับรายการ “คนอวดผี” เทปล่าสุด ออกอากาศเมื่อคืนวันพุธที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยปล่อยให้ผู้ร่วมรายการหญิงในช่วงล่าท้าผีแต่งกายหวาบหวิวโชว์หน้าอกจนเกินงาม ไม่เหมาะกับการออกไปท้าผีตามชื่อ จนทำให้ทีมงานต้องทำการเซ็นเซอร์ตลอดเวลา

เมื่อรายการดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไป ก็ทำให้ผู้ชมบางส่วนได้เข้าไปแสดงความเห็นผ่านเว็บบอร์ดว่า ทางบริษัทเวิร์คพอยต์ฯ ต้องการขายอะไรกันแน่ ที่ปล่อยให้ผู้ร่วมรายการแต่งชุดดังกล่าว หรือว่าเป็นความตั้งใจของทีมงาน เพื่อต้องการเรียกเรตติ้งและสร้างกระแสให้รายการ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงควรจะเปลี่ยนชื่อใหม่จากรายการ “คนอวดผี” มาเป็นรายการ “คนอวดนม” น่าจะเหมาะสมมากกว่า นอกจากนี้ก็อยากให้ทางรายการพิจารณาให้ผู้เข้าร่วมแต่งตัวรัดกุมมากกว่านี้ เพราะทางรายการได้นำเสนอภาพในลักษณะนี้มาโดยตลอด แม้จะบอกว่าผู้เข้าร่วมรายการเป็นผู้ชมจากทางบ้าน แต่ดูลักษณะและการแต่งตัวของผู้ร่วมรายการหญิงในแต่ละเทปแล้ว เหมือนว่าหลุดมาจากงานมอเตอร์โชว์ หรือหน้าปกนิตยสารวาบหวิวอะไรแบบนั้นมากกว่า

ภาพจากรายการ คนอวดผี  ที่มาภาพ: httpwww.talkystory.comp=38045
ภาพจากรายการ คนอวดผี ที่มาภาพ: httpwww.talkystory.comp=38045

“ไม่รู้ว่าคุณปัญญามีคอนเซ็ปต์ของแต่ละรายการในบริษัทอย่างไรกันแน่ เพราะจากกรณีล่าสุด ในรายการ ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ก็ต้องจ่ายค่าปรับไปกว่า 5 แสน น่าจะเป็นบทเรียนในการควบคุม ระมัดระวังภาพที่ออกอากาศได้แล้ว แต่ทำไมถึงยังมีกรณีเช่นนี้หลุดออกมาอีก จะว่าไป แต่ละรายการของบริษัท เวิร์คพอยท์ ฯ ก็เป็นรายการที่ดี ได้รับรางวัลมามากมาย คงถึงเวลาที่ทางบริษัทต้องพิจารณารายการและควบคุมกันอย่างจริงจัง ไม่หวังแต่เพียงผลประโยชน์ แต่หันมาใส่ใจสังคมอย่างจริงจังบ้างแล้ว”

“ความจริงรายการดีๆ ของเวิร์คพ้อยท์มีเยอะนะครับ แต่พักหลังนี่ชักไปกันใหญ่ คนอวดผี หลังจากมีคุณเจนเข้ามานี่เห็นทุกอย่างเลยครับ ถ้าเห็นทุกอย่างจริงไปช่วยคุณตำรวจคลี่คลายคดีที่ยังค้างคาเพราะหาหลักฐานพยานไม่ได้ดีกว่าไหมครับ ผมเลิกดูนานแล้ว ส่วนไทยแลนด์ก็อตทาเล้นท์หลังจากเทปวาดรูปด้วยนมออกอากาศ ก็เลิกดูอีก ช่วงหลังนี่เวิร์คพ้อยท์เล่นกับ “นม” เยอะนะ แต่รายการดีๆ ของเวิร์คพ้อยท์ก็ยังดูอยู่ครับ”

“เสี่ยตา ปัญญา เดี๋ยวนี้ ชอบทำรายการเสียชื่อแหะ ไทยแลนก๊อตทาเล้น ก็ทีแระ”

“อวดกันทุกเทปอ่ะ บางเทปขาสั้นจุ๊ดจู๋มาเชียว สะกดผีได้ ผีเห็นอะนิ่งเลย ยืนนิ่งอยู่ลืมหลอกเลยไปเลย”

“เห็นแล้วต้องบอกว่าไร้สาระมากๆ ครับ แต่งตัวแบบนี้จะมาโชว์ผีหรือล่าผีกันแน่ ชอบอยู่อย่างเดียวเกี่ยวกับการให้ความรู้เกี่ยวกับกรรมของคุณ ริว”

“รายการนี้จริงๆ ดีนะครับ สอนให้รู้จักกฎแห่งกรรม แต่การสวมชุดแบบนี้จะเซ็นเซอร์ทำไมครับ ในเมื่อผู้สมัครจากทางบ้านรายการหามาอยู่แล้ว และหลายๆ เทปก็ชอบใส่เสื้อแบบกล้องอินฟาเรทเห็นทะลุเลย เป็นกำลังใจให้ทางทีมงานนะครับ เพราะผมดูทุกครั้ง แม้จะมีรายการพิเศษขั้นบ้าง แต่ก็จะติดตามครับ”

“ก็ผีไม่มีจริงในรายการ เลยต้องหาจุดอื่นมาขายแทนไง”

เรื่องที่ห้า ถือว่าเป็นเรื่องช็อกวงการบันเทิงกันเลยทีเดียว เมื่อความรักที่ก่อเกิดจาก “ธรรมะ” สุดท้ายแล้วก็จบลงเพราะ “ธรรมะ” เมื่อ พระเจสัน ยัง หันหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ตั้งใจบวชตลอดชีวิต ทำให้ฝ่ายเจ้าสาว ดาริกา จาโกต้า ที่ได้มีการหมั้นหมายกันก่อนที่พระเจสัน ยัง จะทำการบวช ต้องถอนหมั้นอย่างเป็นทางการ พร้อมคืนสินสอด เปิดทางให้พบทางธรรมอย่างแท้จริงตามปรารถนา พร้อมอนุโมทนาบุญด้วย ซึ่งพระเจสันก็ส่งหนังสือยืนยันไปศึกษาพระธรรมที่วัดไทยที่แคนาดา อำลาวงการบันเทิงแบบไม่มีกำหนด เพื่อเจริญรอยตามพระธรรมมงคลญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์) ที่เคยปูพื้นที่ในเรื่องพุทธศาสนาไว้ที่แคนาดามาเป็นเวลานาน มีตำแหน่งเป็นพระราชาคณะชั้นธรรม และเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ฝ่ายธรรมยุตินิกาย อายุ 91 ปี ในพรรษาที่ 71

(ซ้าย) พระเจสัน ยัง ขณะอยู่ในผ้าเหลือง และ (ขวา) เมื่อครั้งพิธีหมั้นกับหวานใจ ดาริกา จาโกต้า ที่มาภาพ: httpwww.dailynews.co.thentertainment121721
(ซ้าย) พระเจสัน ยัง ขณะอยู่ในผ้าเหลือง และ (ขวา) เมื่อครั้งพิธีหมั้นกับหวานใจ ดาริกา จาโกต้า ที่มาภาพ: httpwww.dailynews.co.thentertainment121721

โดยความรักของพระเจสัน ยัง และดาริกา จาโกต้า ดำเนินมาด้วยความรักในพระพุทธศาสนาที่คล้ายกัน ฝ่ายหญิงมีเชื้อสายอินเดียและนับถือในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล กินมังสวิรัติ จึงทำให้พระเจสันประทับใจในตัวฝ่ายหญิง ในขณะที่มีโอกาสรู้จักกันในการไปฝึกสมาธิ คบหากันได้ 2 ปี จึงตัดสินใจหมั้นหมาย โดยทั้งคู่อายุห่างกัน 6 ปี

ทั้งคู่คบหากัน มีโอกาสไปมาหาสู่กัน ทั้งดาริกายังได้มีโอกาสเจอแม่ของพระเจสัน ยัง ตั้งแต่แม่ของพระยังแข็งแรงอยู่ จนต่อมาเมื่อแม่ของพระป่วยหนักด้วยหลายโรครุมเร้า ทั้งเบาหวาน ไต และอัมพฤกษ์ ร่างกายซีกซ้ายอ่อนแรง ก็เป็นดาริกาคนนี้ที่เข้าไปช่วยดูแลคุณแม่ของพระในช่วงสุดท้าย ขณะเดียวกัน ทางครอบครัวของดาริกาก็ให้การต้อนรับและเอ็นดูพระเจสันในวันเป็นฆราวาสเป็นอย่างดี

ก่อนหน้าที่จะจัดงานหมั้น ทั้งพระเจสัน ยัง และดาริกา ซึ่งได้มีโอกาสร่ำเรียนหลักสูตร “ครูสมาธิ” รุ่นที่ 29 ของสถาบันจิตตานุภาพ วัดธรรมมงคล ซึ่งหลักสูตรนี้ต้องเรียนให้ครบ 200 ชั่วโมง (6 เดือน) และระหว่างวันที่ 8-11 มีนาคม นักเรียนรุ่นนี้ อันประกอบด้วยคนไทยเเละเเคนนาดากว่า 2,500 คน ต้องไปเดินธุดงค์ทำสมาธิบนดอยอินทนนท์ 4 วัน 3 คืนตามโครงการของหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร

โดยฝ่ายดาริกา จาโกต้า ยืนยันว่าตอนแรกรู้สึกตกใจ เมื่อพระเจสันเอ่ยว่าไม่ปรารถนาทางโลก หากแต่เมื่อนำกลับมาคิดจึงถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีและได้บุญ จึงเข้าใจและยืนยันว่ายังคงเป็นกัลยาณมิตรต่อพระเจสัน และได้มีการพูดคุยกันแล้ว อีกทั้งฝ่ายหญิงยังขอบคุณพระธรรมที่ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสเจอกัน พบรักกัน และจบลงด้วยธรรมะ พร้อมคืนสินสอด อีกทั้งทำบุญอนุโมทนาบุญด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจในการบวชครั้งนี้

นับว่าเป็นข่าวดีของวงการบันเทิงไทย ที่แม้ว่าจะเสียดารามือฉมังไปอีกหนึ่งราย ทั้งฝากฝีไม้ลายมือไว้สวยงามก่อนละทางโลก หากแต่ในทางธรรม แฟนละคร แฟนเพลง ยังคงส่งกำลังใจและอนุโมทนาบุญครั้งนี้กับพระเจสันผู้หันหลังให้ทางโลกเข้าสู่ทางธรรมได้ต่อไป สาธุ

“ความสุขใดเหนือความสงบไม่มี สาธุ สาธุ สาธุ”

“อนุโมทนาด้วยครับ คำว่า “บวชไม่มีกำหนด” กับ “บวชไม่สึก” รายละเอียดของความหมายน่าจะต่างกันนะ ถ้าพระเจสันว่าอยาก “บวชไม่มีกำหนด” แต่ นสพ. มาพาดหัวว่า “บวชไม่สึก” น่าตกใจกับความหมาย”

“อนุโมทนา ที่ท่านมีดวงตาเห็นธรรม สาธุ”

“บวชเพื่อรอบรู้เรื่องทุกข์ ข้อให้มรรคผลนิพพาน เร็วๆ นะครับ อนุโมทนาบุญครับ”

“ช่อง 3 บอกว่าหลวงพ่อวิริยังค์พูดว่าพระเจสันสำเร็จสมาธิชั้นสูง “เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม” คำว่า เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม หมายความว่า พระเจสันเป็นพระอริยบุคคล ระดับโสดาบัน หรือนี่ สาธุ”

“อนุโมทนาสาธุ ประเทศไทยนานๆ มีข่าวดี รู้สึกมีความสุขจังเลยขอบคุณจริงๆ”

“อนุโมทนาบุญด้วยครับ แสดงว่าท่านสะสมบุญมาเยอะเลยได้เห็นธรรมเบื้องต้นเร็ว ซึ่งธรรมนี้ถ้าใครได้เห็นจะรู้ว่าสุขเหนือโลกเป็นเช่นใด ซึ่งสุขบนโลกใบนี้ ถ้าคนมีมิจฉาทิฐิ คงต้องการแค่มีเมียเป็นนางงามจักรวาล มีอำนาจบังคับคนทั้งโลกได้ แค่นี้เขาก็คิดว่าสุขที่สุด แต่มันนมีสุขเหนือกว่าคือ ทำให้ตัวเองรู้ธรรมะครับ คุณจะได้รู้เรื่องเล็กที่สุด เล็กกว่าอนุภาคนิวเคลียร์ เป็นแสนๆ เท่า จนถึงมวลสารที่ใหญ่เท่าจักวาล”