เรื่องยอดฮิตในรอบสัปดาห์
ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 5-11 ก.พ. 2555
ทำเอาผู้ใหญ่ต่างพากันทึ่งไปเลยกับประเด็นฮอต เรื่องแรก ของสัปดาห์นี้ กับความอัจฉริยะของเด็กวัยเพียง 3 ปี 2 เดือน “น้องธันวา” หรือ เด็กชายธันวา วรตุ่นแก้ว ที่จังหวัดลำปาง สามารถอ่านภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียน โดยสามารถอ่านทั้งหนังสือ วารสาร นามบัตร บัตรประจำตัวผู้เดินทาง ป้ายข้อความต่างๆ หรือแม้กระทั่งสื่อการเรียนการสอนของเด็กชั้นประถม แม้จะยังไม่ค่อยชัดเจนก็ตาม
ด้าน นางบัวลอย แม่ของน้องธันวาบอกว่า ตอนตั้งท้องน้องธันวา คุณแม่ชอบดูแต่หนังเกาหลี และเมื่อน้องคลอดจนถึง 2 ขวบ น้องธันวาก็ไม่ยอมพูดและส่งเสียงเลยจนแม่คิดว่าพูดไม่ได้แล้ว แต่พอ 2 ขวบ น้องมีทีท่าพยายามจะพูด และชอบเอาหนังสือมานั่งเปิดดู จนชาวบ้านแซวว่าน้องคงพูดเป็นแต่ภาษาเกาหลี เพราะส่งเสียงออกมาได้แต่ไม่ชัดเจน จนเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เพิ่งจะเปล่งเสียงออกมาจากการอ่านป้ายที่อำเภอ หลังจากนั้นก็ชอบอ่านหนังสือตลอด เวลามีคนถามว่าคุณแม่ทำอย่างไรน้องธันวาจึงฉลาด แม่ก็บอกได้เพียงว่า น้องชอบกินปลา ส่วนเนื้อสัตว์จะไม่ค่อยกินเพราะจะติดซอกฟัน ส่วนเรื่องความสามารถนั้นยังไม่ได้วัดค่าไอคิวและอีคิว เนื่องจากทางบ้านมีฐานะค่อนข้างยากจน
ซึ่งล่าสุด ทางนักจิตวิทยาได้เริ่มพยายามทำการทดสอบไอคิวของน้องแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากตั้งแต่เป็นข่าวมาก็มีคนรุมล้อมและพูดคุยซักถามน้องธันวาเป็นจำนวนมาก ทำให้ตัวเด็กเองมีความรู้สึกตื่นคนและขาดสมาธิในการทดสอบในที่สุด ก็คงต้องใช้เวลาและทดสอบกันอีกระยะ
“โดยส่วนตัว คิดว่าเป็นไปได้มั้ยว่า น้องเค้ายังมีความจำจากชาติที่แล้วหลงอยู่เพราะเป็นแบบนี้ คงไม่มีอะไรอธิบายได้แล้วนะ”
“อาจเป็นเพราะ เวลาอยู่บ้าน พ่อแม่ถ้าจะอ่านหนังสือให้ฟังบ่อย เด็กเลยจำได้ว่าภาพแบบนี้ออกเสียงยังไง ซึ่งการชอบดูคาราโอเกะ ก็จำได้แน่นอน เป็นการเรียนรู้จากการทำซ้ำ ไม่ใช่ของเก่าหรอก”
“พ่อแม่เด็ก ไม่เคยพูดว่าลูกเขาระลึกชาติได้ แต่พวกนักเลงคีย์บอร์ดเมนต์ใส่กันมั่วไปหมด ไม่รู้จะเก่งไปทำไมเรื่องแบบนี้”
“เด็กอายุขนาดนี้สอนอะไรก็จำ ตอนลูกชายผมอายุ 3 ขวบ ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษที่เป็นการ์ดรูปสัตว์ได้หมด ผมยังนึกว่าลูกผมเป็นอัจฉริยะ แต่พอโตมามันก็เรียนหนังสือเหมือนเด็กปกติ ข่าวแบบนี้ผมไม่แปลกใจ แต่ถ้าอ่านออกได้ออกโดยไม่มีการสอนนั่นแหละถึงจะแปลก”
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องความวิตกกังวลกับธรรมชาติ ที่มีสภาพอากาศและเหตุการณ์น่ากลัวเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เริ่มจากที่ประเทศอังกฤษซึ่งกำลังเผชิญกับหิมะตกอย่างหนัก และอากาศเย็นจัดถึงจุดเยือกแข็ง นอกจากนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์, ฝรั่งเศส, เดนมาร์ก และเบลเยี่ยม ต่างก็กำลังเผชิญหน้ากับอากาศหนาว อุณหภูมิลดต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียส
ประเทศไทยเราก็เช่นกัน ที่ยังคงน่าเป็นห่วงกับเหตุการณ์น้ำท่วมหนักที่อาจเกิดซ้ำในปีนี้ จากสภาพอากาศที่ยังคงอึมครึม เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เผลอแป๊บๆ ฝนก็ตก เล่นเอาชาวบ้านที่บ้านเรือนเพิ่งฟื้นจากประสบการณ์น้ำท่วมถึงกับปวดขมับกันเลยทีเดียว โดยล่าสุดน้ำก็ล้นตลิ่งขึ้นมาท่วมบ้านเรือนประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีก ซึ่งเป็นผลมาจากฝนที่ตกหนัก ประกอบกับการระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่นั่นเอง
และที่สร้างความตื่นตระหนกให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กมากในสัปดาห์นี้ คือภาพปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าทึ่งของก้อนเมฆรูปร่างประหลาด มีลักษณะคล้ายคลึงกับเกรียวคลื่นยักษ์สึนามิ โถมเข้าใส่ตึกบริเวณริมชายหาดปานามา ซิตี้ ในรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา สร้างความตกตะลึงแฝงความน่ากลัวในความสวยงามของภาพที่เห็น
ซึ่งมีการอธิบายออกมาจากเว็บไซต์ Weather.com โดย ดร.เกรค ฟอร์บส ว่า ปรากฏการณ์ครั้งนี้ เป็นผลมาจากสภาพอากาศที่อบอุ่น บวกกับความชื้นในอากาศมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากจึงทำให้เกิดหมอก แล้วเมื่อโดนแรงลมพัดเข้ามาจึงทำให้เกิดการกระจายตัวเป็นลักษณะลูกคลื่นพัดเข้าหาชายฝั่งตามภาพที่ปรากฏ โดยความชื้นในอากาศกับสภาพอากาศนั้นจะต้องรวมตัวกันได้อย่างพอดิบพอดีเท่านั้น ถึงจะเกิดคลื่นหมอกได้ โดยผู้เห็นเหตุการณ์ก็มีความคิดเห็นต่างๆ กันว่า
“มีมาให้ตกใจเล่นก่อน แล้วของจริงจะตามมาทีหลัง เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้ให้ดี”
“เป็นปรากฏการณ์ที่แปลกดี นี่ถ้าเกิดขึ้นที่บ้านเราคงบอกว่าเป็นลางบอกเหตุอีกแน่ๆ เลย”
“ธรรมชาติที่สวยงาม แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวเสมอๆ”
“ยิ่งนานวันธรรมชาติยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวัน เพราะเราไปทำลายธรรมชาติก่อนแท้ๆ เลย”
“ก็แป็นแค่หมอกแหละนะ ถึงจะไม่เคยเจอมาก่อน แต่ขอบอกว่าสวยมากจริงๆ ”
เรื่องที่สาม เรื่องการสืบหาตัวคนร้ายที่ถูกส่งต่อในเฟซบุ๊กมากในขณะนี้ เป็นภาพของผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับคดีฆ่าอดีตแฟนสาวนักศึกษาปริญญาโทเสียชีวิตจากเหตุความหึงหวง โดยดักพาไปเข้าโรงแรมก่อนกดคอลงในอ่างน้ำจนเสียชีวิต แล้วจึงโทรบอกญาติของหญิงสาวให้มารับศพ ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำที่โหดเหี้ยมกันอย่างแพร่หลายในโซเชียลเน็ตเวิร์ก อีกทั้งมีการแชร์รูปและข้อความต่อๆ กัน ทำให้เป็นผลดีในการสืบและตามตัวคนร้ายอย่างง่ายดาย โดยล่าสุดตามที่เว็ปไซด์มติชน ได้ลงไว้ตอนนี้ทางตำรวจได้เบาะแสของคนร้ายแล้ว พร้อมทั้งยังบอกว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะจับตัวคนร้าย เพราะหลังจากมีการแชร์รูปและข้อความต่อกันเป็นจำนวนมาก ก็มีพลเมืองดีต่างพากันบอกเบาะแสกันเป็นระยะ นี่แหละคืออิทธิพลของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก
“หนีไม่รอดหรอก ลองเขามาลงหน้าตาไว้ชัดแบบนี้ ไปไม่รอดแน่”
“หน้าตาก็ดี แต่ไม่น่าอำมหิตขนาดนี้เลย”
“เวรกรรมมีจริง ยังไงคนร้ายก็ต้องมารับใช้กรรม”
“ส่งต่อกันเยอะๆ นะ จะได้จับคนร้ายได้ไวๆ เดี๋ยวหลุดไปฆ่าใครเขาอีก”
“ตอนนี้มีบางโพสต์ที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวการตายของน้องผู้หญิง เนื่องจากการโพสต์เกินความจริงว่าถูก “ฆ่าข่มขืน” ระบาดไปทั่วเฟซบุ๊dแล้วนะครับ ซึ่งความจริงน้องเขาไม่ได้ถูกฆ่าข่มขืน แต่เป็น “การฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ครับ ผลชันสูตรสามารถยืนยันได้ครับ ดังนั้นรบกวนเพื่อนๆ ช่วยกันแชร์ข้อความที่ถูกต้องกันนะครับ เพราะข้อความที่ไม่ถูกต้องจะทำให้น้องเสียหายรวมถึงทางครอบครัวน้องอาจไม่สบายใจได้ครับ”
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องบังเอิญที่เทคโนโลยีสามารถจับผิดพฤติกรรมของ 3 รัฐมนตรีจากรัฐกรณาฎกะทางใต้ของอินเดีย โดยตามข่าวรายงานไว้ว่า มีภาพจากกล้อง;งจรปิดที่เผยให้เห็นว่ารัฐมนตรีทั้ง 3 คน แบ่งกันดูคลิปวิดีโอโป๊ระหว่างมีการประชุมสภา โดยล่าสุด รัฐมนตรีทั้ง 3 คน โชว์สปิริตด้วยการลาออก เพื่อที่จะไม่ให้พรรคบีเจพี (BJP) ที่ตนสังกัดอยู่ต้องรู้สึกอับอายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทั้ง 3 คน ยังคงปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้ดูหนังโป๊ระหว่างการประชุมสภา
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่โทรทัศน์ช่องต่างๆ ได้นำเสนอข่าวนี้ไป ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก และพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐมนตรีที่ดูคลิปดังกล่าวลาออกเนื่องจากการกระทำดังกล่าวด้วย
“การศึกษาวุฒิภาวะที่สูงขึ้นไม่ได้ทำให้จิตใจของคน หลุดพ้นจากเรื่องใต้สะดือได้เลยหรือ”
“ไม่เหมาะสม ไม่มีกาลเทศะ ของแบบนี้เค้าเอาไว้ดูในที่ลับ ไม่ใช่ดูในที่แจ้ง”
“กล้องเก็บหลักฐานไว้ชัดขนาดนั้น ยังปฏิเสธว่าไม่ใช่คลิปโป๊ แล้วดูอะไรกันนะ”
“ขึ้นชื่อว่าผู้ชาย ยังไงก็คิดแต่เรื่องพวกนี้”
“ยังไงก็ต้องขอยกย่อง แม้จะไม่กล้ายอมรับออกมาตรงๆ แต่ก็ยังแสดงสปิริตด้วยการลาออก รัฐบาลไทยน่าจะดูไว้เป็นตัวอย่างนะ”
เรื่องที่ห้า ยิ่งใกล้วันวาเลนไทน์ การรณรงค์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศก็เริ่มมีมากขึ้น โดยล่าสุดมีรายงานแจ้งว่า ทางตำรวจมีการคุมเข้มดูแลความเรียบร้อยในช่วงวันวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ โดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ตรวจตราดูแลตามหอพักและโรงแรม เนื่องจากมีความเป็นห่วงเรื่องของเด็กเยาวชนและยาเสพติด และมีการขอความร่วมมือไม่ให้ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ออกจากบ้านหลังเวลา 22.00 น. โดยให้ผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด หากพบเด็กเที่ยวเตร่อยู่หลังเวลา 22.00 น. จะนำตัวมาไว้ที่สถานีตำรวจทันที เพื่อให้ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน รวมทั้งมีการห้ามแต่งกายยั่วยุทางเพศด้วย
ซึ่งที่ผ่าน ในประเทศไทยก็มีการรณรงค์และคุ้มเข้มเช่นนี้ในเทศกาลวาเลนไทน์ของทุกปี เพราะเป็นเทศกาลแห่งความรักที่มองว่าเด็กและเยาวชนมีโอกาสในความเสี่ยงเกี่ยวกับเรื่องเพศมากที่สุด และในความเห็นของประชาชนทั่วไปเขามองมาตรการนี้ว่าอย่างไรกันบ้าง แล้วจะจัดการดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้จริงหรือ
“จะว่าไปแล้ว วันไหนเด็กไม่เกิน 18 เขาก็แอบไปอะไรกันได้ทั้งนั้น ไม่เฉพาะวันแห่งความรักหรอก”
“ทุกวันนี้โลกมันก้าวไปไกลแล้ว คงสอนได้เพียงแค่วิธีการป้องกันได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ศีลธรรม จริยธรรม สอนเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยจะได้”
“เรื่องแบบนี้ เหมือนเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น จริงๆ แล้ว เรื่องนี้เป็นปัญหาระยะยาวที่เราควรให้ความสำคัญและปลูกฝังที่ตัวเด็กนะ เพราะไม่ว่าเขาจะอยู่ไหน หรือเทศกาลอะไร พวกเขาก็จะได้มีสำนึกที่ดี ไม่ทำอะไรที่แย่ๆ ได้”
“กฎระเบียบนี้น่าจะทำทุกวันเป็นประจำ ไม่ใช่ตั้งมาเพื่อวันวาเลนไทน์เพียงวันเดียวนะคะ ทุกวันนี้ถึงได้เห็นวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 มีเพศสัมพันธ์กันตั้งแต่อายุยังน้อย และท้องโดยไม่พร้อมทั้งสองฝ่ายกันมาก สุดท้ายกลายเป็นขยะสังคม ถึงได้มีข่าวเอาเด็กมาทิ้งตามถังขยะ และห้องน้ำบ่อยๆ ไง จะแก้ปัญหาทั้งทีก็แก้ให้มันเต็มที่ไปเลย อย่ามาตั้งกฎแค่เทศกาล 1 ปีมีวันเดียวเลยค่ะ”
“ดีครับ ถึงเเม้จะควบคุมได้ไม่เต็มร้อย เเต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย คนที่ไม่เห็นด้วยนี่ผมว่า สิ่งที่เค้าออกมากวดขันถ้าเราเป็นเด็กวัยรุ่นปกติ ใช้ชีวิตธรรมดา มันก็ไม่น่าจะเดือดร้อนอะไรนะครับ ส่วนที่ว่า ไม่ใช่วันวาเลนไทน์มันก็มีเซ็กส์ได้ มันก็ใช่ เเต่วันนี้มันเป็นวันที่สุ่มเสี่ยงมากกว่าปกติ เหมือนการรณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่สงกรานต์ละครับรถชนมันก็ชนกันได้ทั้งปี เเต่ช่วงนี้มันเสียงมากกว่าเค้าก็รณรงค์สิครับ”