ThaiPublica > สู่อาเซียน > SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 ชะลอตามเศรษฐกิจโลกแผ่ว

SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 ชะลอตามเศรษฐกิจโลกแผ่ว

17 ธันวาคม 2024


SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 เศรษฐกิจ CLMV ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำหลายด้าน ทั้งจากนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่แน่นอนสูง และอาจมีการกีดกันการค้าวงกว้างกว่าที่ Trump หาเสียงไว้

เศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงเล็กน้อย
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจ CLMV ปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงเล็กน้อยตามเศรษฐกิจโลกที่จะแผ่วลงจากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมของนโยบาย Trump 2.0 เช่น ผลจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ สินค้าจีนราคาถูกเข้ามาตีตลาดในประเทศมากขึ้นทดแทนตลาดสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยนโยบายประเทศเศรษฐกิจหลักปรับลดน้อยกว่าที่เคยคาดไว้จากแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์ที่เร่งตัว อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในประเทศ CLMV มีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามการจ้างงาน ช่วยบรรเทาผลกระทบจากอุปสงค์ต่างประเทศชะลอตัวได้บ้าง นอกจากนี้ เศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนที่เติบโตดีจะช่วยสนับสนุนภาคท่องเที่ยวของเศรษฐกิจ CLMV ให้ขยายตัวต่อเนื่องได้ รวมถึงเศรษฐกิจ CLMV จะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทข้ามชาติเพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และหลีกเลี่ยงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่อาจปรับสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการส่งออกในระยะต่อไป

ในปี 2568 SCB EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจกัมพูชาจะขยายตัว 6.0% (ทรงตัวจากปี 2567) สปป.ลาว 4.3% (ลดลงจาก 4.5% ในปี 2567) เมียนมา 2.2% (ลดลงจาก 2.3% ในปี 2567) และเวียดนาม 6.5% (ลดลงจาก 6.8% ในปี 2567)

ปัจจัยเฉพาะของแต่ละประเทศมีความสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
เวียดนามมีแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากได้ประโยชน์จากกระแสการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน ด้วยห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่มีความพร้อม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงระยะทางการขนส่งไปตลาดจีนที่สั้น ตลาดในประเทศที่เติบโตดี และความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและสนธิสัญญาการค้าเสรีต่าง ๆ กัมพูชาจะเติบโตดีรองลงมา จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ช่วยสนับสนุนตลาดแรงงานในประเทศ และเสถียรภาพการคลังที่ยังมั่นคงสามารถใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจจีนที่เติบโตชะลอลงจะเป็นปัจจัยกดดันเพราะกัมพูชาพึ่งพาจีนสูงในหลายด้าน สปป.ลาวยังเปราะบางสูง แม้จะได้อานิสงส์จากอุปสงค์ในภูมิภาคอาเซียน แต่เสถียรภาพด้านการคลังและเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังเปราะบางมาก ท่ามกลางค่าเงินกีบอ่อน เงินเฟ้อสูง ทุนสำรองระหว่างประเทศต่ำ และต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นหลังถูกจัดอันดับเครดิตที่ระดับ Speculative ปัจจัยเหล่านี้จะกดดันศักยภาพเศรษฐกิจต่อไป เมียนมาขยายตัวต่ำต่อเนื่อง ผลจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจซบเซาท่ามกลางเหตุการณ์รุนแรงที่ยังไม่คลี่คลาย ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกมีส่วนทำให้อุปสงค์ต่างประเทศอ่อนแอลงมาก ประกอบกับปัญหาอื่น ๆ เช่น เงินจัตอ่อนค่า เงินเฟ้อเร่งตัว และการขาดแคลนปัจจัยการผลิตจากเส้นทางการขนส่งและการค้าหยุดชะงัก

เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ CLMV อาจเผชิญกับความเสี่ยงในหลายด้าน
เศรษฐกิจ CLMV จะต้องเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำหลายด้าน ทั้งจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจมีการกีดกันการค้าประเทศวงกว้างกว่าที่ Trump หาเสียงไว้ โดยเฉพาะเวียดนามที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ อาจแข็งขึ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยปลายทาง (Terminal rate) ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่จะสูงกว่าคาดการณ์เดิม กดดันให้ค่าเงินกลุ่มประเทศ CLMV เผชิญแรงกดดันอ่อนค่ามากขึ้น ส่งผลทำให้เงินเฟ้อลดลงช้า และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นในบางประเทศที่พึ่งพาการกู้จากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน มูลค่าหนี้เสียที่ยังอยู่ในระดับสูงในบางประเทศอาจกดดันการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์และเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางการเงินในประเทศ รวมทั้งกดดันการลงทุนภายในประเทศ สุดท้ายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนับว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา เนื่องจากจะกระทบต่อผลผลิตการเกษตรและสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ ซึ่ง CLMV จัดว่าเป็นภูมิภาคที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลำดับต้น ๆ ของโลก

การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับ CLMV
การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับ CLMV มีแนวโน้มขยายตัวค่อยเป็นค่อยไปในปี 2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ CLMV ในภาพรวม อุปสงค์ในประเทศที่ปรับดีขึ้นและการค้าชายแดนไทย-เมียนมาที่ฟื้นตัว ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากไทยไป CLMV ในปี 2568 มีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้น ปัจจัยสนับสนุนมาจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยและโลกที่มีแนวโน้มปรับลดลงจากปี 2567 และบรรยากาศแวดล้อมทางธุรกิจที่ปรับดีขึ้น ในระยะปานกลาง SCB EIC มองว่าเศรษฐกิจ CLMV ยังเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพการเติบโตโดดเด่นและน่าสนใจ สำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการขยายตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดในภูมิภาค รวมถึงต้องการกระจายฐานการผลิตเพื่อลดต้นทุนและใช้ประโยชน์จากสนธิสัญญาการค้าเสรี

การเติบโตรายประเทศ

  • กัมพูชา
    เศรษฐกิจกัมพูชาคาดว่าจะขยายตัว 6% ในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการส่งออกและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงขาลงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะจากนโยบาย Trump 2.0

    ปัจจัยบวก
    1)การท่องเที่ยวและการส่งออกฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับอุปสงค์ทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดแรงงานและอุปสงค์ในประเทศดีขึ้น
    2)การผ่อนคลายวงจรอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจช่วยให้สภาวะทางการเงินของกัมพูชาผ่อนคลายลงผ่านการใช้เงินดอลลาร์ และสนับสนุนการฟื้นตัวของการเติบโตของสินเชื่อ
    3)เสถียรภาพการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีหนี้สาธารณะต่ำ การขาดดุลงบประมาณลดลง และพื้นที่ทางการคลังเพียงพอสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

    ปัจจัยลบ
    1)การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวชาวจีน และการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างล่าช้า
    2)การส่งออกในบางภาคส่วนมีความเสี่ยงจากภาษีสหรัฐฯ ที่อาจสูงขึ้น
    3)ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงมีอยู่ รวมถึงการพึ่งพาทั้งตลาดการส่งออกและพันธมิตร FDI ที่กระจุกตัว ตลอดจนสินค้าส่งออกมูลค่าเพิ่มต่ำ

    ปัจจัยเสี่ยง
    1)หนี้ภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูงและ NPL ที่เพิ่มขึ้นก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินและการกู้ยืมของสถาบันการเงิน
    2)ทรัมป์ 2.0 อาจเพิ่มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้อุปสงค์ทั่วโลกและคำสั่งซื้อการส่งออกที่อ่อนแอลง ขณะเดียวกันก็ทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งส่งผลเสียต่อการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศของกัมพูชา
    3)การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อการผลิตทางการเกษตรและรายได้ของเกษตรกร

  • สปป.ลาว
    เศรษฐกิจของ สปป.ลาว คาดว่าจะขยายตัว 4.3% ในปี 2568 การเติบโตได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์ในระดับภูมิภาคซึ่งสนับสนุนการส่งออกและการท่องเที่ยวพร้อมทั้งการลงทุนด้านโลจิสติกส์และพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันสำคัญยังคงมีอยู่จากเสถียรภาพทางการเงินและเสถียรภาพภายนอกที่อ่อนแอ

    ปัจจัยบวก
    1)อุปสงค์จากภายนอกสนับสนุนการค้าและการท่องเที่ยวในภูมิภาค
    2)การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านลอจิสติกส์ช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค
    3)FDI ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าพลังน้ำ โลจิสติกส์ และพลังงานหมุนเวียน
    4)แผนการจัดการหนี้ในอนาคต 7.3 7.0 เป็นกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนทางการคลัง

    ปัจจัยลบ
    1)เงินกับลาวยังคงอ่อนค่าท่ามกลางทุนสำรองต่างประเทศที่มีจำกัด
    2)อัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่องทำให้กำลังซื้ออ่อนตัวลง ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายและการขาดแคลนของแรงงานที่ทำให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้น
    3)ภาระหนี้สาธารณะที่สูง พื้นที่ทางการคลังมีจำกัดและอันดับเครดิตของประเทศที่อยู่ในระดับเก็งกำไร (Tris Rating: BB+) กดดันความสามารถของรัฐบาลในการกู้ยืมและดำเนินมาตรการกระตุ้นทางการคลัง

    ปัจจัยเสี่ยง
    1)การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
    2)Trump 2.0 และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ภายนอก ขณะเดียวกันก็ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงและแรงกดดันเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น
    3)การใช้เงินดอลลาร์เป็นหลัก(Dollarization) จำกัดประสิทธิภาพของการส่งผ่านนโยบายการเงิน

  • เมียนมา
    เศรษฐกิจเมียนมาในปี 2568 จะยังคงได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอ
    สิ่งแวดล้อม. ความผันผวนของค่าเงินยังคงเป็นข้อกังวลหลักเนื่องจากการอ่อนตัวของจ๊าดทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ การฟื้นตัวขึ้นอยู่กับการยุติความขัดแย้งอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในระยะสั้น

    ปัจจัยบวก
    ภาคเกษตรกรรมอาจได้รับประโยชน์จากราคาพืชผลที่ดีขึ้น
    ความต้องการคำสั่งซื้อภายในประเทศบางส่วนเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนการนำเข้า

    ปัจจัยลบ
    ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
    การหยุดชะงักทางการค้าโดยเฉพาะบริเวณชายแดน
    ตลาดแรงงานเปราะบางส่งผลให้ความเปราะบางและความยากจนของครัวเรือนเพิ่มขึ้น
    อัตราเงินเฟ้อสูงเนื่องจากการอ่อนตัวของเงินจั๊ต
    การขาดแคลนปัจจัยการผลิต เช่น ไฟฟ้าและวัสดุ
    การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกยังคงกัดกร่อนความเชื่อมั่นทางธุรกิจ

    ปัจจัยเสี่ยง
    ความผันผวนของค่าเงินเนื่องจากการขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐ
    นโยบายของรัฐบาลที่ไม่แน่นอน เช่น กฎหมายการเกณฑ์ทหาร การควบคุมสกุลเงินและการควบคุมราคา
    การคว่ำบาตรเพิ่มเติมจากประเทศตะวันตก
    ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการคลังเนื่องจากรายได้ภาครัฐลดลง และแหล่งเงินกู้ภาครัฐมีจำกัด
    การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นยางิ

  • เวียดนาม
    เศรษฐกิจเวียดนามคาดว่าจะชะลอลงเล็กน้อยเป็น 6.5% ในปี 2568 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม การรค้าและการโยกย้ายลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะช่วยชดเชยผลกระทบได้บางส่วน อุปสงค์ในประเทศน่าจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปและนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ผ่อนคลายจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ

    ปัจจัยบวก
    1)การย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนามเพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จะสนับสนุนการส่งออกและ FDI
    2)ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวต่อเนื่อง
    3)การฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศจากการจ้างงานที่แข็งแกร่งขึ้น
    4)นโยบายการคลังและการเงินที่ผ่อนคลาย
    5)แรงกดดันเงินเฟ้อผ่อนคลาย

    ปัจจัยลบ
    1)การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ภาษีการค้า และนโยบายเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนที่ส่งผลต่ออุปสงค์ภายนอก
    2)การไหลเข้าของสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นอาจกดดันผู้ผลิตภายในประเทศ
    3)สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นอาจกดดันเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารขนาดเล็ก

    ปัจจัยเสี่ยง
    1)ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์อาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มขึ้น นำไปสู่การฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้อ
    2)มาตรการลงโทษของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกของเวียดนาม
    3)การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นำไปสู่ความเสียหายและความสูญเสียทางการเกษตร

    บทวิเคราะห์โดย… https://www.scbeic.com/th/detail/product/clmv-outlook-dec24