ภูมิใจไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
กรณีการโทรศัพท์เจรจาระหว่าง ‘นางสาวแพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี กับ ‘สมเด็จฮุนเซน’ ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ของประเทศไทย และกองทัพไทย ส่งผลให้พรรคการเมืองหลายพรรค ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและ พรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านออกมาเคลื่อนไหวในช่วงค่ำวันที่ 18 มิถุนายน
โดยพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลออกแถลงการณ์ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล โดยมีขอความว่า กรณีการโทรศัพท์เจรจาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุนเซนประธานวุฒิสภา กัมพูชา ซึ่งมีผลกระทบต่ออธิปไตย ดินแดน ผลประโยชน์ของประเทศไทย และกองทัพไทย ตามที่ประชาชนได้รับทราบแล้วนั้น
พรรคภูมิใจไทย ขอเรียนว่ากรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ได้ประชุมพิจารณาถึงกรณีที่เกิดขึ้นและมีมติให้พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยทุกคน ได้ส่งใบลาออกต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีผลวันที่ 19 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
พรรคภูมิใจไทย ขอเรียกร้องให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ประเทศไทย ต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชน และกองทัพ
พรรคภูมิใจไทย พร้อมจะร่วมมือกับประชาชนชาวไทย สนับสนุนกองทัพ และ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจ เพื่อธำรงรักษาอธิปไตย ดินแดน และ ประโยชน์ของประเทศไทย ทุกวิถีทาง อย่างสุดกำลัง
พลังประชารัฐเรียกร้องนายกฯลาออก
พรรคพลังประชารัฐ มีความห่วงใยต่อสถานการณ์และการดำเนินนโยบาย ด้านความมั่นคงภายในประเทศ ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ที่สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอ ขาดประสบการณ์ และชั้นเชิงการเจรจา ต่อการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกัมพูชา อย่างเห็นได้ชัด ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินต่อที่น้องประชาชน และอาระประเทศ โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวเจรจา ที่ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงกับประเทศ พร้อมกับการแสดงถ้อยคำที่ดูหมิ่นศักดิ์ศรี กองกำลังด้านความมั่นคงของประเทศ ที่ปกป้องรักษาอธิปไตยให้กับคนไทยด้วยความยากลำบาก ดังนั้นเห็นควรให้นายกรัฐมนตรีประกาศลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในฐานะที่ผมทำงานด้านความมั่นคงมาตลอดทั้งชีวิต เหมือนที่เคยกล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาว่า การดำเนินงานด้านความมั่นคงไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจในหลายมิติ การเป็นผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาข้อมมือ และสุดท้ายก็เกิดเรื่องที่ทำร้ายความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศขึ้น นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยมีผู้นำที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความเสียเสียเปรียบ และอ่อนแอ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน
“ผมขอยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องชาวไทยทุกคน ทหารไทยทุกนาย บนผืนแผ่นดินไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข แผ่นดินไทย ต้องเป็นของคนไทย ต้องไม่ยอมให้ใครมารุกราน เป็นอันขาด”
ไทยสร้างไทยชี้ไร้สภาวะผูนำ
ด้านพรรคไทยสร้างไทยออกแถลงการณ์เรื่อง ขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการ “ลาออก” จากตำแหน่ง
จากการที่ปรากฏคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับอดีตผู้นำประเทศกัมพูชา ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่ออธิปไตยแห่งราชอาณาจักรไทย เสื่อมเสียเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศ และกองทัพไทย โดยกล่าวว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา” ทั้งที่กองทัพได้ทำหน้าที่ในการปกป้องอธิบไตยของประเทศอย่างเต็มที่แต่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยกลับกล่าวหาแม่ทัพแห่งกองทัพไทยว่าเป็นคนของฝั่งตรงข้าม แสดงให้เห็นถึงการไร้ภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะและจริยธรรมทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี จนสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
พรรคไทยสร้างไทยเห็นว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร สมควรต้องรับผิดชอบทางการเมือง โดยการ “ลาออก” จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงจิตสำนึกในหน้าที่ของผู้นำที่ดี รวมทั้งต้องไม่ใม่ใช้อำนาจหรือกระทำการใด ๆ ที่กระทบต่อสภาผู้แทนราษฎร หรือหน่วยงาน หรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้อง
อนึ่ง พรรคไทยสร้างไทยขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลสนับสนุนการแสดงความรับผิดชอบ โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกดังที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อนำพาสถานการณ์ไปสู่ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในระบบการเมืองรวมทั้งเพื่อปกปักรักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิ และผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่ประโยชน์ของกลุ่มตระกูลใดหรือบุคคลใด
พรรคเพื่อไทยเรียกร้องคนไทยสามัคคี
ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็ออกแถลงการณ์มีข้อความว่าพรรคเพื่อไทยยืนยันภารกิจปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนชาวไทย
สนับสนุนแนวทางของรัฐบาลฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศยึดหลักสันติวิธีในการแก้ปัญหา
ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีพลังใดจะเหนือกว่าพลังสามัคคีของคนไทยเพื่อประเทศไทย

พรรคประชาชนเรียกร้องยุบสภา
ต่อมาเช้าวันที่ 19 มิถุนายน ที่รัฐสภานายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง หลังกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา รวมถึงการประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย
เพจเฟซบุ๊ก พรรคประชาชน โพสต์ว่า นายณัฐพงษ์กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ถือเป็น “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ทำลายความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนต่อการบริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกฯ ไปจนหมดสิ้น
หลังจากก่อนหน้านี้พรรคประชาชนได้เตือนแล้วว่าการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทยเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสร้างปัญหาตามมา โดย 2 ปีที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลไม่สามารถส่งมอบนโยบายที่เสนอไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ แม้แต่ความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจของประชาชน ลามมาจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตั้งแต่สงครามการค้าจนถึงปัญหาชายแดน

บรรยากาศในสังคมเมื่อวานนี้ มีข้อเรียกร้องหลากหลาย ซึ่งวันนี้ตนและ สส.พรรคประชาชน ขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการยืนยันการหาทางออกตามวิถีทางประชาธิปไตย และยืนยันอีกครั้งกับจุดยืนของพรรคประชาชนดังที่เราประกาศชัดมาตลอด ว่าภายใต้รัฐสภาชุดนี้เราจะไม่ร่วมเป็นรัฐบาล ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศคือการยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อร่วมกันตัดสินใจเลือกตัวแทนและผู้นำประเทศใหม่ กลับไปจุดเริ่มต้นของการมีผู้นำที่มีความชอบธรรม
สำหรับข้อเสนอให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่ง หากเราดูหน้ากระดานทางการเมืองที่เป็นอยู่ จำนวน สส. แต่ละพรรคการเมืองในสภาฯ และรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่ได้ยื่นต่อ กกต. ในการเลือกตั้งปี 2566 ก็ไม่ชัดเจนว่าการลาออกของนายกฯ จะทำให้เกิดทางเลือกใหม่ที่ดีกับการบริหารจัดการประเทศในภาวะวิกฤตเพียงใด
สิ่งที่เราทุกคนควรช่วยกันยืนหยัดขันแข็งคือ ไม่ยอมรับข้อเรียกร้องที่เลยเถิดออกจากวิถีประชาธิปไตย ด้วยการใช้อำนาจนอกระบบอย่างการรัฐประหาร ตนเข้าใจดีว่าอารมณ์ของสังคมตอนนี้ กำลังขาดความเชื่อมั่นต่อผู้นำประเทศ แต่ขอเชิญชวนให้ทุกคนยืนยันหลักการให้แน่น และตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่ทุกท่านต้องการคืออะไร ตนเชื่อมั่นว่าทุกคนต้องการรัฐบาลที่สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศได้ ดังนั้นทางออกเดียวที่เราจะได้รัฐบาลที่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ คือรัฐบาลที่มีความชอบธรรม มาตามระบบกลไกของระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่ทางออกแน่นอน
ดังนั้นด้วยบริบทสถานการณ์ทั้งหมด จุดยืนของตนและพรรคประชาชน คือการเรียกร้องให้นายกฯ ใช้อำนาจในการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนในการเลือกตั้ง เปิดโอกาสให้ทุกพรรคนำเสนอนโยบายของตัวเอง ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจเลือกรัฐบาลใหม่ เลือกนายกฯ คนใหม่เข้ามาแก้ปัญหาของประเทศ
นอกจากนี้ ตนยังขอส่งข้อเรียกร้องไปยังพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันที่ยังไม่ได้ประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ถ้าท่านคิดเห็นตรงกับเราว่าการใช้อำนาจนอกระบบและการเปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯ อย่างเดียว ไม่ใช่ทางออก ถ้าท่านให้ความสำคัญกับการหาทางออกให้กับประเทศไทย สร้างรัฐบาลที่มีความชอบธรรมเพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นของประชาชน เราขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่จะมีการประชุมในวันนี้ มีมติประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลเช่นกัน

นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังหารือ เรื่อง สถานการณ์ไทย-กัมพูชา วันที่ 19 มิถุนายน 2568
นายกฯขออภัยประชาชน
ต่อมาในช่วงเที่ยงของวันที่ 19 มิถุนายน นายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังหารือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผู้บัญชาการทหารบก เรื่อง สถานการณ์ไทย-กัมพูชา
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ก็ได้มีการเชิญหน่วยงานความมั่นคง กระทรวงต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยถึงเรื่องของสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่เกิดขึ้น
“ก่อนอื่นดิฉันต้องขออภัยพี่น้องประชาชนคนไทยทุกๆคนที่มีในเรื่องของกรณีที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาระหว่างที่ดิฉันคุยกับผู้นำทางกัมพูชา จริงๆเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องขออภัยพี่น้องประชาชนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ”
“ตัวดิฉันเองได้มีโอกาสได้คุยกับทางแม่ทัพภาคที่ 2 แล้วก็ทางกองทัพ อธิบายถึงเจตนาว่าเป็นเพียง tactic ของการสื่อสารที่จะเจรจาต่อไปว่า เราจะต้องแสดงความเข้าใจเขาก่อนแล้วก็เพื่อจะคุยถึงดีเทลต่อๆไป เพื่อจะให้เป็นการต่อรองเพื่อให้การปะทะนั้นหยุดลงอันนี้คือความตั้งใจที่แท้จริงว่าต้องการจะให้สถานการณ์สงบสุขเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ทราบจริงๆว่าจะมีการอัดคลิป และเผยแพร่แบบนี้ก็ได้ทำความเข้าใจกับทางกองทัพเรียบร้อยแล้ว ทางกองทัพก็รับฟังแล้วก็บอกว่าวันนี้เราต้องร่วมมือกันเพื่อที่จะผนึกกำลังเอาไว้ คนไทยทุกๆคนก็ต้องผนึกกำลังเอาไว้เช่นกัน
“เพราะว่าวันนี้เองทุกภาคส่วนได้สรุปไว้ว่ามันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ คือภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆของประชาชน หรือหรือว่าของอะไรที่จะพูดถึงว่ารัฐบาลและกองทัพต้องมาสู้กันวันนี้เราไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเองแบบนี้”
“เราต้องปกป้องอธิบายไตยของเราไว้และนี่คือสิ่งที่เห็นตรงกันแล้วก็ยินดีที่จะซัพพอร์ต รัฐบาลยินดีที่จะซัพพอร์ตกองทัพทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการสนับสนุนใดๆก็ตามที่ทางกองทัพต้องการ คือสิ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำร่วมกัน การที่เราจะออกมาทำอะไรหรือว่าตัดสินใจในมิติต่างๆ เราต้องคำนึงถึงประชาชนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาด้วย แล้วก็แน่นอนว่าประชาชนตรงชายแดนด้วย นี้คือสิ่งที่เราต้องนึกถึง ให้ความมั่นใจ ให้ความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชนตรงนั้นด้วย”
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า วันนี้กระทรวงต่างประเทศได้ย้ำการดำเนินการโดยสันติวิธี แล้วก็ผ่านขบวนการทวิภาคี กระทรวงต่างประเทศก็ได้เชิญเอกอัครราชทูตของกัมพูชาประจำประเทศไทยเพื่อยื่นหนังสือประท้วง เพื่อแสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา
“จริงๆทั่วโลกไม่มีใครทำแบบนี้ที่ผู้นำคุยกันไม่ว่าจะเป็นประเทศใหญ่ๆที่มีการตกลงกันหรือมีการพูดคุยเจรจาอะไรใดๆ ถ้าไม่ได้บอกก่อนว่าจะมีการอัดคลิปเป็นการ Official ที่คุยกัน เช่น เวลาที่ทุกท่านจะได้เห็นว่าดิฉันโทรไปแสดงความยินดีกับประเทศต่างๆ เราก็จะติดต่อทางกระทรวงต่างประเทศเป็น protocol ที่ถูกต้องแล้วก็ทราบว่ามีการอัดคลิปเกิดขึ้น แต่แบบนี้เป็นการโทรคุยส่วนตัวโดยมือถือส่วนตัวของดิฉันเพราะฉะนั้นการกระทำแบบนี้ก็ถือว่าไม่ควรเป็นที่ยอมรับต่อทั่วโลกอยู่แล้ว”นางสาวแพทองธาร กล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลไทยกับกองทัพก็ขอแสดงความรับผิดชอบในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยที่เรากำลังดูแลร่วมกัน แล้วก็ขอยืนยันอีกครั้งว่าทางรัฐบาลกับกองทัพเองเป็นหนึ่งเดียวกัน อยากให้พี่น้องประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกับเราด้วย เพื่อที่จะสามารถคีย์เอาไว้ในชาติปกป้องอธิปไตยของเราไว้ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะต้องมาสู้กันเอง
“สิ่งที่เกิดขึ้นดิฉันก็ต้องขออภัยในความที่ไม่ทราบจริงๆว่ามีการอาจคลิปแบบนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เอง ดิฉันรับทราบดีแล้วก็ต่อจากนี้ก็จะระวังในเรื่องของการพูดคุยให้มากขึ้นและแน่นอนว่าทางกองทัพที่เราคุยกัน เรามั่นใจอย่างหนึ่งว่าถ้าเรารวมกันเป็นหนึ่ง ถ้าเราสามัคคีกัน เราจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกันอย่างแข็งแรงได้”นายกรัฐมนตรีกล่าว

นาย จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลออกแถลงการณ์กระทรวงต่างประเทศเรียกทูตกัมพูชายื่นหนังสือประท้วง
จากนั้นนาย จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เมื่อเวลา 13.30น ดังนี้
แถลงการณ์รัฐบาล “กรณีสถานการณ์ความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา”
พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขออภัยต่อพี่น้องประชาชนด้วยความจริงใจ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับผู้นำกัมพูชาที่เกิดขึ้น โดยทุกการดำเนินการเป็นไป ภายใต้เจตจำนงที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนไทย ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและพักอาศัยอยู่ในกัมพูชาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ทั้งนี้เจตนาดังกล่าว ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุไม่พึงประสงค์และน่าเสียใจอย่างยิ่งที่ความจริงใจของเรา กลับมีผลตอบรับตรงกันข้าม
รัฐบาลไทยยึดหลักสันติวิธี ใช้กลไกทวิภาคีเรื่องเขตแดนที่มีอยู่ โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาร่วมมือกันมาตลอด 26 ปี เพื่อคลี่คลายปัญหา แต่ในระหว่างนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์สื่อสารโต้ตอบไปมา ที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น หากรัฐบาลนิ่งเฉย และไม่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ย่อมเกิดความเสี่ยงที่จะบานปลายไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสียต่อชีวิตและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยได้ นายกรัฐมนตรีจึงตัดสินใจใช้วิธีทางการทูต ผ่านการโทรศัพท์พูดคุยโดยตรงกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งถือเป็นวิธีปฏิบัติหนึ่ง ที่ผู้นำประเทศโดยทั่วไปใช้แก้ไขปัญหาระหว่างรัฐบาล และเลือกใช้ถ้อยคำที่มุ่งโน้มน้าวให้กัมพูชาร่วมมือลดระดับการเผชิญหน้า โดยมีเป้าหมายสำคัญประการเดียว คือ ปกป้องอธิปไตย รักษาผลประโยชน์ของชาติ
รัฐบาลที่มาจากประชาชน ต้องปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน และต้องไม่แสดงออกเพียงมุ่งหวังคะแนนนิยมทางการเมือง เมื่อปรากฏเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาขาดความจริงใจ และไม่มีความเคารพซึ่งกันและกันในการร่วมมือแก้ไขปัญหา รัฐบาลไทยจึงได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมความพร้อมรับมือต่อภัยคุกคามของชาติ โดยนายกรัฐมนตรีได้ประชุมหารือและประสานการปฏิบัติกับผู้นำเหล่าทัพและฝ่ายความมั่นคงอย่างใกล้ชิดเป็นเอกภาพ
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมาเพื่อยื่นหนังสือประท้วง แสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา ซึ่งขัดต่อหลักปฏิบัติในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นสากล และจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเป็นลำดับต่อไป
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน ที่ทุ่มเทปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีพลังใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังสามัคคีของพี่น้องชาวไทย ไม่ตกเป็นเหยื่อของสงครามข่าวสารที่อาจมีผู้ไม่หวังดีมุ่งทำลายเอกภาพของฝ่ายไทย ด้วยปฏิบัติการหลายรูปแบบซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
รัฐบาลขอให้คำมั่นต่อพี่น้องประชาชนว่า จะทุ่มเทอย่างที่สุดเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมรับใช้และรักษาทุกชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างสุดความสามารถดังที่ได้ดำเนินการเสมอมา