ก่อนยุบสภา ! ภูมิใจไทย-เพื่อไทย วัดเดิมพันเฉียด 5 แสนล้าน ชิงอำนาจเลือกตั้งครั้งใหม่

ก่อนยุบสภา! วัดเดิมพันเพื่อไทย ชิงเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามออเดอร์ผู้มีบารมีนอกพรรค นำไปสู่รัฐบาลแตกหัก พรรคภูมิใจไทยถอนตัว เผยเกมแลกหมัดคดีฮั้ว สว. ชิงอำนาจองค์กรอิสระ ง้างคดีเขากระโดง-ค่าต๋งเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ดึงผลประโยชย์แข่ง F1 พ้นมือเครือข่ายเนวิน

10 เดือนของ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร แทบจะไม่มีฮันมีมูนพีเรียด ต้องเผชิญหน้ากับเกมการเมืองภายใต้การเมืองพลิกขั้ว และฝ่ายค้านที่เข้มข้นและเข้มแข็งอย่างพรรคประชาชน (ปชน.) ต้องไต่เส้นด้ายเกมนิติสงคราม ทั้งภายในรัฐบาล และแบกคดีของนายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาและอดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีบารมีเหนือพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งมีทั้งคดีอาญาตามมาตรา 112 และคดีการรักษาตัวจากการใช้แพทย์ 3 ราย และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ให้การช่วยเหลือ หรือ “คดีชั้น 14” ซึ่งอยู่ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อสถานการณ์การเมืองเดินมาถึงจุดแตกหัก นายกรัฐนตรีตัดสินใจปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายได้ออเดอร์-ข้อแนะนำของนายทักษิณ ชินวัตร ให้ยึดกระทรวงมหาดไทย คืนจากโควต้าพรรคร่วมรัฐบาลที่มีคะแนนเสียงอันดับ 2 คือภูมิใจไทย (ภท.)

แต่การเจรจาและการกดดันไม่เกิดผล นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่ยอมถอยออกจากเก้าอี้ แม้นายกรัฐมนตรี จะเปิดโควต้าใหม่ ให้ภูมิใจไทยไปคุมกระทางสาธารณสุขและกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นของแถม

จังหวะที่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เตรียมเอกสารให้ฝ่ายภูมิใจไทยกรอกสาระสำคัญ-เปลี่ยนกระทรวง ก้าวไปสู่การทำบัญชีรายชื่อคณะรัฐมนตรีใหม่ในโผ ครม. “แพทองธาร 1/1” ต้องสะดุดเมื่อถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงจากนายอนุทิน ชาญวีระกูล

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

 

การดีลทางการเมืองมาถึงจุดแตกหัก ถึงกับมีการ “ขีดเส้นตาย” ให้ภูมิใจไทยรับข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธภายใน 48 ชั่วโมง จึงเกิดการตอบโต้ภายใน 12 ชั่วโมงถัดมา คือพรรคภูมิใจไทย “ถอนตัว” จากการร่วมรัฐบาล นายอนุทิน โชว์การเก็บของออกจากกระทรวงมหาดไทยและที่ทำเนียบรัฐบาล

แต่แล้วก็มีปัจจัยแทรกซ้อน มีการปล่อยคลิปการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร กับ ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ทำให้เหตุการณ์การเมืองบานปลาย เดินหน้าไปสู่จุดเสี่ยง ที่จะยุบสภา หรือลาออก หรือต้องล้างไพ่คณะรัฐนตรีใหม่

ปฐมเหตุศึกชิงกระทรวงมหาดไทย 3.8 แสนล้าน

ก่อนหน้านี้ 20 วัน ก่อนเกมการยึดกระทรวงมหาดไทยจะเริ่มต้น วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร เปิดประเด็นว่า “กระทรวงมหาดไทยเป็นหัวใจหลักในการนำนโยบายไปสู่ประชาชน วันนี้ยังทำได้ไม่เต็มที่ และเวลาเหลือน้อย จึงจำเป็นต้องให้เพื่อไทยเข้ามาดูแลเพื่อเร่งผลักดันผลงานให้เป็นรูปธรรม” พร้อมวิเคราะห์ว่า รัฐบาลเพื่อไทยต้องปรับ ครม. เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้ถึงมือประชาชนภายในช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 ปี ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า

ในวันนั้นทักษิณ มั่นใจมากกว่า ภูมิใจไทย จะไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และถ้าถอน..ก็เป็นสิทธิของแต่ละพรรค

เดิมพันชนะเลือกตั้งครั้งหน้า

เบื้องหลังการเอ่ยยึดกระทรวงมหาดไทย คือ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มหาดไทยของบประมาณทั้งสิ้น 301,264,973,700 บาท

รวมกับงบฯ รัฐวิสาหกิจในกำกับอย่าง การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค องค์การตลาด องค์การกำจัดน้ำเสีย อีกยอดหนึ่ง

ยังมีเค้กงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท อยู่ในบัญชีมหาดไทย 21,259 โครงการ งบประมาณ 79,960,372,305 บาท หากกระทรวงมหาดไทย ได้รับการอนุมัติตามนี้ จะมีเม็ดเงินในกระทรวงแห่งนี้ กว่า 381,225,346,005 บาท

ตอกย้ำด้วยวงประชุมพรรคเพื่อไทย ที่ สส.ประสานเสียง “ยึดมหาดไทย ได้ประโยชน์กว่า”

พร้อมยกภารกิจ สั่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เคลื่อนนโยบายปราบยาเสพติด การกระจายอำนาจ-คุมองค์กรปกครองท้องถิ่น ทั้ง อบจ. อบต. เทศบาล เคลื่อนนโยบายรัฐบาล

ทั้งผู้มีบารมีนอกพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า หากได้บริหารกระทรวงมหาดไทย การเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ไม่ต้องออกแรงมากนัก ถือเป็นตัวช่วย-บริการเสริมระดับพรีเมี่ยม

คดีแลกคดี หมัดต่อหมัด

การคัดง้างระหว่างฝ่ายเพื่อไทย กับภูมิใจไทย มีคดี-นิติสงคราม รออยู่อย่างแหลมคม พร้อมพลิก-พร้อมพลาดทุกจังหวะก้าวทางการเมือง ฝ่ายเพื่อไทย ต้องแบกคดีทักษิณ ถึง 2 คดี คือ คดีชั้น 14 และคดีอาญามาตรา 112 ซึ่งเดือนกรกฏาคมทั้งเดือน ทักษิณ ต้องขึ้น-ลงศาลฏีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ซึ่งมีการเรียกไต่สวนพยานกว่า 20 ปาก จับสัญญาณการสืบพยายนัดแรก ถือว่าเข้มข้นและไม่เป็นคุณกับทักษิณและเพื่อไทย

อีกคดี กรณีสำนักงบประมาณ มีหนังสือถึงนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ได้รับอนุมัติงบประมาณวงเงิน 5.1 หมื่นล้านบาท จากงบกลางปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แจ้งเรื่องรับไต่สวนการทุจริตโครงการนี้ไว้แล้ว

นอกจากนี้ยังมี กรณีคำร้องยื่นยุบพรรคเพื่อไทย และ 6 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีครอบงำพรรค ที่ยังคาอยู่ในคณะกรรมการ ป.ป.ช.

บนเวทีการต่อสู้เกมนิติสงคราม คดีที่ฝ่ายเพื่อไทยสนธิกำลังกับพรรคประชาชาติ (ปปช.) ที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นหัวขบวน ตั้งเกม “ฮั้วเลือก สว.” เป็นธงนำในการฟาด “สว.สีน้ำเงิน” ที่เป็นเครือข่ายอำนาจพรรคภูมิใจไทย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)

 

ฝ่ายเพื่อไทย-พรรคประชาชาติ ผนึกกำลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จับมือกับอนุกรรมการไต่สวนฯ ของ กกต. ออกหมายเรียกนักการเมืองระดับ “หัวแถว” พรรคภูมิใจไทย เข้าให้ข้อมูล มีทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล-เนวิน ชิดชอบ- และบรรดากรรมการบริหารพรรค ติดรากแห

เป้าหมายของฝ่ายเพื่อไทย-พรรคประชาชาติ คือ คว่ำเกม สว.สีน้ำเงิน ให้พ้นรัฐสภา แล้วเลื่อนชั้น สว.สำรองของฝ่าย “สีแดง” เข้าสู่สภาสูง และยัดคดียุบพรรคสีน้ำเงิน แต่เกมนี้ดูจากรายชื่อพยานราวกับหางว่าวหลายร้อยคน จึงยังมีเวลาต่อสู้กันอีกยาวนาน

ต่อท่ออำนาจใหญ่ ในองค์กรอิสระ

ไม่เฉพาะอำนาจในสภาสูง หรือวุฒิสมาชิก ที่จะดลบันดาลผ่าน-สกัดกฏหมายสำคัญ แต่ยังมีอำนาจในการสรรหาบุคคลเข้ารับตำแหน่งในองค์กรอิสระ แน่นอนว่า สว.สีน้ำเงิน ที่เป็นเครือข่ายภูมิใจไทย ถือว่ายึดเสียงส่วนใหญ่ไว้ในสภาสูง เมื่อถึงวาระต้องพิจารณาและให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลเพื่อเข้าดำรงตำแหน่งใน 6 องค์กรอิสระ และ 7 ตำแหน่งในองค์กรอื่นตามที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ ก็คงไม่พ้นเงื้อมมือ

ทั้งนี้ “องค์กรอิสระ” ที่ต้องใช้อำนาจ สว. ประกอบด้วย 1. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน 2. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 9 คน 3. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 7 คน 4. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 7 คน 5. คณะกรรมการตรวจการแผ่นดิน 7 คน 6. ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน 1 คน 7. ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน

“องค์กรอื่นตามกฎหมาย” ที่ต้องใช้อำนาจ สว. ประกอบด้วย 1. อัยการสูงสุด 2. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) 11 คน 3. เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) 4. เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) 5. ประธานศาลปกครองสูงสุด 6. ตุลาการศาลปกครองสูงสุด 7. เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

เหล่านี้คืออำนาจอันหอมหวาน ที่ฝ่ายเครือข่ายอำนาจเพื่อไทยและพวก ไม่ได้จัดตั้งไว้ล่วงหน้า แต่ตกอยู่ในเงื้อมอำนาจของฝ่ายภูมิใจไทย การสกัดกวาดล้าง สว.สีน้ำเงิน ใน “คดีฮั้ว สว.” จึงเป็นเป้าหมายแบบเอาเป็นเอาตาย

เดิมพันใบอนุญาติกาสิโน 25,000 ล้าน

ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง ที่นำไปสู่การยุบสภา หรือการลาออกของนายกรัฐมนตรี การเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 3 กรฏาคม 2568 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. … หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งถือเป็นกฏหมายการเงิน ก็จะเริ่มต้นวาระที่ 1 และยาวไปจนถึงวาระ 2-3 และทูลเกล้าฯ นำไปสู่การประกาศใช้กฏหมาย และอาจจะได้คิกออฟ เริ่มเปิดประมูล ในกลางปี 2569 แต่ถ้าพลาดกฏหมายไม่ผ่านคาสภา นายกฯต้องเสี่ยงกับการ ลาออก หรือยุบสภาทันที

หากเส้นทางนี้ไม่มีอุปสรรค รัฐในฐานะเจ้าของใบอนุญาติ น่าจะได้เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาติ อย่างน้อย 5 ใบ 5 แห่ง ที่มีการปักหมุดกันไว้ล่วงหน้า อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง และประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน)

ราคาค่างวด ที่อยู่ในร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีนายกรัฐมนตรี คุมบอร์ดนโยบาย ใบอนุญาตให้นานสุด 30 ปี ประเมินทุก 5 ปี ต่ออายุ 10 ปี จ่ายครั้งแรก 5 พันล้าน รายปีอีก 1 พันล้าน

อัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตครั้งแรก ฉบับละ 5,000 ล้านบาท หากต้องมี 5 แห่ง ก็ราว 25,000 ล้านบาท รายปีปีละ 1,000 ล้านบาท ต่ออายุใบอนุญาต ฉบับละ 5,000 ล้านบาท ปีละ 1,000 ล้านบาท ค่าเข้ากาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย ครั้งละ 5,000 บาท

รวมธุรกิจสถานบันเทิงไว้ 10 ประเภท ที่ล้วนต้องมีใบอนุญาต ได้แก่ 1.ห้างสรรพสินค้า 2.โรงแรม 3.ร้านอาหาร ไนต์คลับ ดิสโก้เธค ผับ หรือบาร์ 4.สนามกีฬา 5.ยอชต์และครุยซิ่งคลับ 6.สถานที่เล่นเกม 7.สระว่ายน้ำและสวนน้ำ 8.สวนสนุก 9.พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP และ 10.กิจการอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด

แน่นอนว่าแผนการนี้ ไม่อยู่ในแผนของพรรคภูมิใจไทย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุมกลไกสำคัญคือ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 ความเห็นประกอบพิจารณาในคณะรัฐมนตรี และในรัฐสภา ที่จะผ่านโครงการ จึงเป็นด่านหิน

แม้ว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เห็นเส้นทางอยู่ไม่ไกล ลอยคอรอเข้าวาระประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 1 เพื่อรับหลักการ และวาระ 2 การตั้งแปรญัตติ และตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณารายมาตรา และจะเข้าสู่วาระที่ 3 ผ่านไปสู่วาระวุฒิสภา แต่ทว่า ทั้งนายอนุทิน และลูกพรรค-ลูกชายนายเนวิน ประกาศกลางสภาผู้แทนราษฎร “จะไม่มีวันเห็นด้วยกับการเปิดกาสิโน”

ขณะที่ “พรรคอนุรักษ์นิยม” อย่างรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อีก 1 พรรค ที่อยู่ในรัฐบาล แม้จะไม่แสดงท่าทีชัดเจนว่า จะเอาด้วยหรือไม่เอาด้วยกับ พ.ร.บ.ดังกล่าว แต่เมื่อถึงวาระต้องพิจารณาก็อาจจะมีแนวโน้ม เทร่างกฏหมายฉบับนี้

ส่วนท่าทีของสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เป็นฝ่ายสีน้ำเงิน ออกมาประกาศสำทับว่า “ต้องทำประชามติ” เท่านั้น ด่านสภาสูงยิ่งยากขึ้น 2 เท่า

สว. ส่วนใหญ่เห็นว่า ที่ต้องทำประชามติ เนื่องจากเห็นว่า เป็นเรื่องที่กระทบต่อความมั่นคงและประโยชน์สาธารณะ หากรัฐบาลไม่ดำเนินการ อาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 172 รวมถึงความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/1

งัดคดีที่ดินเขากระโดงหมื่นล้านในมือชิดชอบ

อีกคดีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย ต้องทำกราฟฟิกนำเสนอผู้บริหาร ให้อ่านทางแบบเข้าใจง่ายภายในครึ่งชั่วโมง คือ คดีที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของตระกูล “ชิดชอบ” และอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นเป้าหมายในการช่วงชิงของพรรคเพื่อไทย

ที่ดินผืนนี้มีราคาค่างวดไม่น้อย เคยมีนักการเมืองสนทนากันใต้ถุนรัฐสภา ไปจนถึงห้องอภิปรายว่า ราคาซื้อขายปัจจุบันน่าจะไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อตารางวา กรมที่ดินสรุปผลการรังวัดเอกสารสิทธิ์ ที่ดินรถไฟเขากระโดงทั้งหมด 5,083 ไร่ มูลค่าที่กล่าวถึงกันคือไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท ไม่นับรวมสิ่งก่อสร้างมูลค่ามหาศาล

ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีกรมที่ดิน ที่ขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย พรรคภูมิในไทย และการรถไฟแห่งประเทศไทย ขึ้นอยู่กับกระทรวงคมนาคม ของพรรคเพื่อไทย การยื้อยุดฉุดคดี จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีจุดสิ้นสุด

เมืองแห่งกีฬา F1 หลุดมือ 4 หมื่นล้าน

ปมผลประโยชน์ธุรกิจการเมืองโปรเจ็กต์ล่าสุด ที่เคยคาดว่าจะอยู่ในมือของเครือข่ายพรรคภูมิใจไทย คือการเป็นเจ้าภาพสนามแข่งกีฬา Formula One (F1) และรายการอื่นๆ ที่สหพันธ์รถยนต์ระหว่างประเทศ (Fédération Internationale de l’Automobile: FIA) ให้การรับรอง ซึ่งแต่เดิมเป็นที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะถูกจัดที่สนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ แต่คณะรัฐมนตรี วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เห็นชอบ “ที่อื่น”

สาระสำคัญของมติคณะรัฐมนตรี คือ เห็นชอบให้จัดการแข่งขันจะมีทั้งหมด 3 วันต่อปี ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2571-2575 พื้นที่หลักจะอยู่บริเวณ “สวนจตุจักร” ประกอบด้วยสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ พื้นที่ 800 ไร่, สถานีขนส่งหมอชิต 2 พื้นที่ 100 ไร่, พื้นที่ใกล้เคียงตลาดนัดจตุจักร พื้นที่ 240 ไร่ และสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พื้นที่ 163 ไร่ และพื้นที่หลังสำนักงานใหญ่บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และการรถไฟแห่งประเทศไทยรวม 2,000 ไร่ ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับการแข่งขัน

พร้อมกันนี้อนุมัติ กรอบงบประมาณ 41,397.67 ล้านบาท โดยรวมถึงงบประมาณที่จำเป็นเร่งด่วนในส่วนของค่าออกแบบเป็นจำนวนเงิน 218 ล้านบาทด้วย

…เกมที่เริ่มต้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลากยาวไปสู่เกมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หากนายกรัฐมนตรีลาออก และเสี่ยงที่จะไปถึงการ ยุบสภา! ไม่ได้มีเพียงการช่วงชิงปมผลประโยชน์กว่า 5 แสนล้าน ของ 2 พรรค แต่พรรคเพื่อไทย กำลังตกที่นั่งลำบากในเกมการทูต-ความมั่นคง และการค้า ที่หัวหน้าพรรคตกม้าตาย จากการถูกเปิดโปงการสนทนา กับผู้นำกัมพูชา ที่แลกด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติ ที่ประเมินมูลค่าไม่ได้…