นายกรัฐมนตรี ตำหนิเตือนภัยแผ่นดินไหวล่าช้า เร่งปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัยให้ทั่วถึง ผลติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวเข้าสู่สภาวะปกติ สั่งการกำชับทุกส่วนราชการเตรียมแผนรับมือให้เวลา 1 สัปดาห์ทุกอย่างต้องชัดเจน ยืนยันรัฐบาลจะดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างดีและเร็วที่สุด ด้านกทม.ระดมวิศกรเกือบ 200 คนตรวจสอบความปลอดภัยอาคาร 700 อาคาร คาดว่าจะใช้เวลา 2 วันตรวจสอบเพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน

หลังจากเหตุการณ์ แผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ที่จุดศูนย์กลางอยู่ในเมือง มัณฑะเลย์ ในประเทศเมียนมา ส่งผลให้ เกิดแผ่นดินไหวสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯในวันที่ 28 มีนาคม 2568 และ มีอาคารสูงจำนวนมากได้รับผลกระทบ
วันที่ 29 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. ณ อาคาร 3 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เขตดุสิต กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เพื่อติดตามสถานการณ์ ผลกระทบ และการแก้ไขปัญหาภัยจากแผ่นดินไหว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารส่วนราชการ และผู้ว่าราชการทุกจังหวัด เข้าร่วมประชุม
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ทันทีที่เริ่มการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีได้สอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า เมื่อเกิดแผ่นดินไหวแล้ว แต่ละหน่วยงานได้ทำอะไรบ้าง ซึ่งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. แจ้งว่า เมื่อได้รับการแจ้งเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา ก็ได้ส่งข้อความให้ กสทช. แจ้งเตือนประชาชนทันที 4 ครั้ง เริ่มตั้งแต่เวลา 14.42 น. ซึ่งกสทช. ก็รับแจ้งต่อทันทีในเวลา 14.44 น. ในพื้นที่ 4 จังหวัด กทม.และปริมณฑล แต่ยอมรับว่า การส่ง SMS มีความล่าช้า เนื่องจากระบบมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนในการส่งข้อความ ที่สามารถทยอยส่งได้คราวละ 1-2 แสนรายเท่านั้น และจะแจ้งได้เมื่อได้รับข้อความจาก ปภ.
นายกรัฐมนตรี ได้ท้วงติงว่า การแจ้งเตือนประชาชนยังมีความล่าช้า ซึ่งตนเองได้สั่งการทันทีภายหลังทราบสถานการณ์ ตั้งแต่เวลา 14.00 น. แต่ระบบไม่มีการแจ้งเตือนไปยังประชาชน รวมถึงข้อบกพร่องในการประสานงานกับค่ายมือถือต่าง ๆ ก็ล่าช้า ตลอดจนข้อความที่แจ้งเตือนประชาชนก็ไม่มีประโยชน์มากนัก ข้อความที่สื่อสารออกไปเกิดประโยชน์น้อยมากต่อประชาชน ไม่ตรงตามความต้องการ
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวยอมรับว่าผิดเอง ที่ไม่ได้แจ้งว่าจะต้องแจ้งข้อความอย่างไร ขณะเดียวกันเชื่อว่า เมื่อระบบ Cell Broadcast เริ่มใช้งานได้ ก็จะตอบโจทย์สถานการณ์ภัยพิบัติของไทย โดยได้ขอบคุณรายการโทรทัศน์ทั้งหมด ที่ออกรายการเฉพาะกิจ สามารถทำได้ภายในไม่ถึง 5 นาที หลังจากที่ได้สั่งการ พร้อมกำชับทุกคนให้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องแผ่นดินไหวกับประชาชนให้มากขึ้น ว่าต้องทำตัวอย่างไร เมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอีก รวมทั้งอุบัติเหตุ ขอให้วางแผนเตรียมไว้ เพื่อแจ้งประชาชน ว่าเส้นทางไหนปิดหรือมีปัญหา ควรส่ง SMS บอกข้อมูลแจ้งประชาชนได้
“กรมอุตุนิยมวิทยายืนยันว่า Aftershock ที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรง อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัย เพื่อให้สามารถกระจายข้อมูลได้รวดเร็วและทั่วถึงมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติหรืออุบัติเหตุขนาดใหญ่” นายกรัฐมนตรี ระบุ
นายกฯให้เวลา 1 สัปดาห์เตรียมแผนรับมือ
นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้หน่วยงานเตรียมแนวทางที่จะป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้มากที่สุด ภายใน 1 สัปดาห์ ดังนี้
1.ให้กระทรวง DE ปภ. และ กสทช. ให้ ปภ. ที่มีอำนาจหน้าที่ในการเตือนภัยดำเนินการส่งหนังสือ และข้อความ SMS ที่จะ broadcast ไปให้ กสทช. ในทันที (โดยที่ไม่ต้องรอการประชุม หรือคำสั่งการจากนายกรัฐมนตรี) โดยที่ กสทช. ทำงานร่วมกับ operator เพื่อเตรียม capacity ไว้ให้เพียงพอและเพิ่ม capacity ในการส่งข้อความ SMS ในยามฉุกเฉิน และขอให้ ปภ. เร่งพัฒนาระบบ cell broadcast ที่สามารถส่งข้อความฉุกเฉินไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องในไทยได้ทันที ภายในเวลา 3 เดือน
2.ให้กรุงเทพมหานคร เร่งดำเนินการค้นหาผู้สูญหาย และเร่งหามาตรการในการควบคุมการออกใบอนุญาตอาคารสูง และการกำหนดมาตรฐาน และตรวจสอบอาคารสูงเพื่อรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้หากปล่อยปละละเลยแล้วสร้างอาคารเสร็จแล้วมีผู้อาศัย แล้วไม่มีคุณภาพจะเกิดปัญหาที่มากกว่าขณะนี้ นอกจากนี้ ขอให้ความร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนา ในการตรวจสอบโบราณสถานต่าง ๆ ว่าผลกระทบหรือไม่ให้กระทรวงกลาโหม นอกจากการจัดหายุทโธปกรณ์ในการบริการประชาชน รถ โรงครัว รถขนส่งแล้ว ขอให้หน่วยงานความมั่นคง เตรียมกำลังพล เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
3.ให้กระทรวงสาธารณสุข – เตรียมแพทย์สำรอง และเตียงเสริมให้เพียงพอต่อความต้องการที่สำคัญการเยียวยาทางด้านจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบและครอบครัว
4.ให้กระทรวงมหาดไทย ปภ. ต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการแจ้งเตือน ถ้าหากไม่มีแนวทางที่ชัดเจน จะต้องมีการจัดการที่เด็ดขาดต่อไป และนายกรัฐมนตรีจะติดตามเป็นระยะ ๆ
5.ให้กระทรวงคมนาคม ขอให้มีมาตรการที่ชัดเจนในการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน อาคารสูง ขอให้กรมโยธาธิการ สภาวิศวกรรมสถานในการตรวจสอบที่เข้มงวด
6.ให้กระทรวงท่องเที่ยวร่วมมือกับทางสภาวิศวกรรม และกรมโยธาธิการตรวจสอบโรงแรมขนาดสูง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการ และจะติดตามผลภายใน 1 สัปดาห์ถึงมาตรการที่ชัดเจน
สำหรับ ระบบขนส่งสาธารณะหยุดบริการ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม รายงานว่า ทันทีที่เกิดเหตุนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้ตั้งศูนย์สั่งการของกระทรวงทันที โดยสั่งการให้ระบบขนส่งมวลชนหยุดบริการชั่วคราว เพื่อตรวจสอบสถานการณ์โดยทั่วไป ทั้ง ทางอากาศ ราง และน้ำ โดยมุ่งเน้น โครงสร้างยกระดับ อุโมงค์ใต้ดิน ให้วิศวกรเข้าตรวจสอบ
ส่วนทางอากาศสั่งปิดทันทีตั้งแต่บ่ายโมงกว่า เช็กโครงสร้างอาคารและรันเวย์ ก่อนกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งภายใน 1 ชั่วโมง ส่วนโครงสร้างถนนทุกหน่วยได้ตรวจสอบทันที โดยเฉพาะเส้นทางที่สุ่มเสี่ยง คือ สะพานข้ามแม่น้ำ ทางยกระดับของการทางพิเศษฯ พบว่ามีปัญหาจุดเดียวคือบริเวณ ทางขึ้น-ลงเชื่อมระหว่างทางด่วนกับถนนวิภาวดีรังสิต -ดินแดง ที่มีเครนจากบนอาคารเอกชนพังลงมาทับ
ขณะที่การขนส่งทางราง ทางยกระดับและใต้ดินก็เปิดให้บริการหมดแล้วเช้านี้ ยกเว้นสายสีชมพูกับสายสีเหลืองปิดอีก 1 วัน เพื่อตรวจสอบโครงสร้าง ขณะที่ถนนเปิดทั้งหมดแล้ว ยกเว้นทางขึ้นทางด่วนวิภาวดีที่เครนพังลงมา หากพร้อมจะเปิดในบ่ายวันนี้
ด้าน นายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี จากที่ได้ติดตามสถานการณ์ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงปัจจุบันพบว่าหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวมีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นกว่า 100 ครั้ง และทุกครั้งที่เกิดจะมีความรุนแรงน้อยลง แนวโน้มการเกิดอาฟเตอร์ช็อก จะเลื่อนไปทางทิศเหนือ ทางเทือกเขาหิมาลัยและประเทศจีน จะเกิดห่างจากไทยมากขึ้นกว่าเดิม ยืนยันว่าผลกระทบกับประเทศไทยน้อยลง และหากเกิดแรงสั่นสะเทือนเพียงระดับ 5 ก็จะไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน
รัฐบาลประกาศมาตรการเยียวยาเร็วๆนี้
ต่อมาเวลา 10.45 น. ณ กรมป้องกันบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวและมาตรการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ว่า วันนี้มาประชุมและติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (28 มี.ค. 68) เวลาประมาณ 13:30 น. หลังจากเกิดเหตุ รัฐบาลได้มีการสั่งการและดำเนินการช่วยเหลือทันที โดยวันนี้ได้สรุปผลการดำเนินงาน รวมถึงแนวทางการแก้ไขและปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา และส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีรายงานว่า ตึกที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม 1 แห่ง แต่อาคารอื่นๆ ในกรุงเทพมหานครไม่ได้รับผลกระทบในระดับที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทั้งนี้ โครงสร้างอาคารในกรุงเทพมหานครได้ถูกออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือนตามมาตรฐานที่กำหนด ขณะนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองกำลังตรวจสอบ สาเหตุของการถล่มของอาคารดังกล่าว และจะรายงานผลภายในหนึ่งสัปดาห์ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ แผ่นดินไหวครั้งนี้ยังทำให้ประชาชนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนในหลายพื้นที่ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า มี Aftershock เกิดขึ้นประมาณ 50 ครั้ง แต่มีขนาดเล็กและลดลง โดยครั้งสุดท้ายที่มีการวัดแรงสั่นสะเทือนได้คือช่วง เที่ยงคืนของเมื่อวาน ที่ขนาด 1.2 ริกเตอร์ ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อประชาชน
“รัฐบาลขอยืนยันว่า จะดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กำลังดำเนินงานอย่างเต็มกำลัง” นายกรัฐมนตรีย้ำ
นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ทำงานอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหน่วยกู้ภัยที่เข้าไปช่วยเหลือบริเวณอาคารถล่ม ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเป็นผู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการและมาตรการช่วยเหลือต่อไป รวมถึงการจัดการพื้นที่เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า สถานการณ์แผ่นดินไหวในประเทศไทยขณะนี้ได้คลี่คลายลงแล้ว สำหรับผู้ที่พักอาศัยในตึกสูง ขอให้รอการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่อาคารก่อนกลับเข้าไป สำหรับ ที่พักอาศัยทั่วไป ขณะนี้สามารถกลับเข้าไปได้ตามปกติ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ยังรู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งทางกรุงเทพมหานครจะเปิด สวนสาธารณะ 5 แห่ง ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลความปลอดภัย
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะดำเนินมาตรการปรับปรุงการแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแจ้งเตือนผ่าน SMS และช่องทางอื่นๆ เพื่อให้ข้อมูลถึงประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง สำหรับมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รายละเอียดจะมีการประกาศเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้

กทม.ระดมวิศวกร ตรวจ 700 ตึกใน2 วัน
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า สถานการณ์และภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวมี 2 เรื่อง คือ หนึ่งเรื่องการกู้ภัยอาคารถล่มที่เขตจตุจักร สั่งการเดินหน้าเต็มที่ ไม่มีการยกเลิกใด ๆ ทั้งสิ้น และมีการปรับยุทธวิธีให้สอดคล้องกับสถานการณ์คือ มีการนำเครื่องมือหนักเข้าไปเพื่อนำชั้นที่ถล่มลงออกมาเข้าไปหาคนที่รอดชีวิตอยู่ด้านใน ทั้งนี้ เมื่อคืนมีการใช้เครื่องมือของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โดยเดินหน้าเต็มที่ ห้ามหยุด ห้ามช้า เพื่อช่วยชีวิตคนให้ได้มากที่สุด
ในส่วนภารกิจที่ 2 คือ อาคารส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ ที่ประชาชนอาจจะยังกังวล หน้าที่ของกทม.คือต้องสร้างความมั่นใจว่าอาคารมีความปลอดภัย ซึ่งวันนี้จะมีการส่งวิศวกรอาสาที่มีอยู่ประมาณ 130 คน เข้าไปตรวจอาคารเหล่านี้ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ถ้าเป็นของอาคารภาครัฐ อาคารหน่วยงานราชการ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองจะเป็นผู้รับผิดชอบในการส่งเจ้าหน้าที่ไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
ส่วนอาคารเอกชน กทม. กับวิศวกรอาสาจะเข้าไปดูแล โดยเมื่อคืนใน Traffy fondue มีประชาชนแจ้งเรื่องรอยแตกร้าว ประมาณ 2,000 ราย มีหน่วยวิศวกรนั่งตรวจสอบ ซึ่งมีอาคารประมาณ 700 แห่ง ที่ต้องลงไปดูละเอียดในวันนี้ เขตที่แจ้งเข้ามามากที่สุดจะเป็นแถวในชั้นในเนื่องจากมีตึกสูง ส่วนเขตรอบนอกแทบไม่มีเลย
สำหรับประชาชนที่ยังมีความกังวลกับการทำงานในตึกสูงวันจันทร์นี้ ต้องเร่งตรวจสอบให้มั่นใจว่าปลอดภัยแล้วค่อยเปิด ซึ่ง 2 วันนี้เป็นช่วงเวลาที่จะต้องเร่งดำเนินการ หลังจากนี้จะออกคำสั่งให้อาคารสูงขนาดใหญ่ซึ่งต้องมีผู้ตรวจสอบอาคารออกมาตรวจสอบอาคารอีกครั้ง แต่เชื่อว่าทุกคนต้องเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก โดย 2 วันนี้จะมีการระดมสรรพกําลังลงไปตรวจสอบให้มากที่สุด
“ ตอนนี้เรามีวิศวกรอาสาประมาณ 100 คน กับเคสที่มีการคัดกรองกว่า 700 อาคาร ก็จะเดินหน้าตรวจโดยจัดลำดับความสำคัญ พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนตามหลักวิทยาศาสตร์และให้ตั้งสติ เพราะภาพตึกที่พังถล่มเป็นเพียงตึกเดียวและเป็นตึกที่มีการก่อสร้างซึ่งมีหลายปัจจัยให้มีการถล่ม แต่ในข่าวร้ายก็ยังมีข่าวดี เพราะนอกจากนี้อาคารทั้งหมดไม่มีการพังทลาย และกฎหมายควบคุมอาคารเราก็มีการกําหนดให้ออกแบบรับแผ่นดินไหวอยู่แล้ว”
สำหรับเรื่องการจราจรขณะนี้ยังเป็นปัญหาอยู่ย่านดินแดงทั้งขาเข้า-ขาออก ซึ่งเป็นการจัดการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ต้องไปคุยกับทางผู้รับเหมาของอาคาร ก็ต้องขอเร่งรัดผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย เพราะ กทม. จัดการเองไม่ได้ ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าใต้ดิน BTS เปิดให้บริการตามปกติเรียบร้อยแล้ว การจราจรน่าจะบรรเทาลงไปได้
ส่วนสวนสาธารณะที่เปิดให้เข้าใช้ได้ตลอดเมื่อคืน มีผู้ใช้บริการประมาณ 700 คน ซึ่งเป็นผู้ที่กังวลจากเหตุการณ์ต่าง ๆ โดย กทม. และภาคเอกชนได้ร่วมจัดน้ำและอาหารแจก นี่คือจุดแข็งของคนไทยเมื่อเกิดวิกฤติก็จะช่วยเหลือกัน โดยวันนี้ยังเปิดสวนต่อตลอด 24 ชม. เพื่อให้คนที่ยังไม่สบายใจมาใช้บริการได้ โดย 2 วันนี้ จะจัดให้มีดนตรีในสวนเพิ่มเติมให้ประชาชนที่อยากอยู่ในที่โล่งมีความสบายใจและผ่อนคลายจิตใจมากยิ่งขึ้น รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
“ต้องบอกว่าสถานการณ์ทั่วไปเริ่มคลี่คลายขึ้นแล้ว เป็นหน้าที่ของเราพยายามนำความเชื่อมั่นกลับมา ต้องยืนยันว่าเมื่อวานแผ่นดินไหวรุนแรงมาก ในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา แต่ว่าอาคารที่พังทลายมีอยู่แค่ 1 อาคาร และเป็นอาคารที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ อาคารที่เหลือไม่มีการพังทลาย ขอให้ทุกคนอย่าตื่นตระหนก สถานการณ์จะค่อย ๆ คลี่คลาย อาฟเตอร์ช็อกมีจำนวนน้อยและเบาลง สภาพการจราจรเช้านี้ก็ยังดีอยู่ คนเริ่มปรับการเรื่องเดินทางและเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ ด้วย ขณะนี้จุดกังวลอย่างเดียวคือเร่งเปิดทางด่วน โดยพยายามประสานกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทยให้เสร็จสิ้นทันวันจันทร์ที่จะถึงแน่นอน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว