ThaiPublica > Sustainability > Global Issues > UNGCNT Forum ชูธุรกิจแห่งอนาคต Inclusive Business พลิกโลกปัจจุบันให้ยั่งยืน

UNGCNT Forum ชูธุรกิจแห่งอนาคต Inclusive Business พลิกโลกปัจจุบันให้ยั่งยืน

3 ธันวาคม 2024


สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย(UNGCNT)ผนึกสมาชิก 140 องค์กร จับมือสหประชาชาติ เดินหน้าโมเดลธุรกิจแห่งอนาคต Inclusive Business สร้างกำไรอย่างยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขณะที่ UN ชูภาคเอกชนไทยคือหัวหอกเปลี่ยนสังคมไทยเป็นธรรม ตั้งเป้าหมายการระดมทุน 160,000 ล้านบาท สร้างธุรกิจสีเขียว

การประชุมผู้นำความยั่งยืนประจำปี UN Global Compact Network Thailand Forum (GCNT Forum) 2567

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand : UNGCNT) ร่วมกับสหประชาชาติในประเทศไทย (United Nations in Thailand) จัดประชุมผู้นำความยั่งยืนประจำปี UN Global Compact Network Thailand Forum (GCNT Forum) 2567 ภายใต้หัวข้อ “Inclusive Business for Equitable Society” หรือ “ธุรกิจที่ครอบคลุมเพื่อสังคมที่เท่าเทียม” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุม GCNT Forum จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เพื่อแสดงพลังของสมาชิกสมาคมฯ เกือบ 140 องค์กร ทุกขนาด ทุกภาคอุตสาหกรรม ยกระดับการทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน ตามหลักสหประชาชาติบนพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goals – SDGs Goals ทั้ง 17 ข้อ อย่างเท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ในการประชุม GCNT Forum ที่ผ่านมาสมาชิกได้ร่วมประกาศการดำเนินการการพัฒนายั่งยืน หรือ SDGs มีเป้าหมายลดผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เรื่องการปกป้องความหลากหลายทาง ชีวภาพ และเรื่องการพัฒนาคน ซึ่งในกลุ่มสมาชิกได้ดำเนินการมีความคืบหน้าอย่างมากในการเปลี่ยนคำมั่นเหล่านั้น เป็นทั้งนโยบาย และการปฏิบัติจริง ซึ่งสมาชิกมีสัดส่วนของรายได้ทั้งหมด มีสัดส่วนกว่าครึ่งหนี่งของระดับ GDP ประเทศ

“เราเชื่อมั่นว่าสมาชิกได้ลงมือทำตลอดห่วงโซ่อุปทานและขอบเขตธุรกิจ ซึ่งจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงและยั่งยืน ดังจะเห็นได้จากรายงานประจำปีที่สมาชิก ได้จัดส่งต่อ UN Global Compact ภายในวันที่ 31 ธันวาคม พบว่า  98% ของสมาชิก ได้จัดทำรายงานนโยบายด้านความยั่งยืน ครอบคลุมด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะรับผิดชอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืน มีมาตรการป้องกันความเสี่ยง และ รายงานผลการตรวจสอบรอบด้าน หรือ Due Diligence” นายศุภชัย  กล่าว

นายศุภชัย  กล่าวว่า  ในเชิงสิ่งแวดล้อม สัดส่วน 80%ของสมาชิก มีการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกามแนวทาง SBTi (Science-based Target Initiatives) ใน Scope 1 และ Scope 2  รวมกัน 30 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือ 1 ใน 4 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งจากนี้ไปสมาคมฯ ได้เร่งดำเนินการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ รวมทั้งการรายงานข้อมูลใน Scope 3  ซึ่งหมายถึงในระดับของคู่ค้า และห่วงโซ่อุปทาน และรายงานเปิดเผยด้วยว่าสมาชิกสมาคมฯ ได้เริ่มนำพลังงานสะอาดมาใช้ในสัดส่วน 20% ของพลังงานทั้งหมด และ 60% ของสมาชิกสมาคมฯ ลงทุนในโครงการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Scope 1: Direct emissions from sources คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่องค์กร/เจ้าของเป็นผู้ควบคุม ส่วน Scope 2: Indirect emissions from energy or utilities การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมเช่นการนำเข้าหรือซื้อพลังงานต่าง ๆ ซึ่งมักจะเกิดจากการใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก และ Scope 3:Indirect GHG emission เช่น การเดินทางด้วยพาหนะที่ไม่ใช่ขององค์กรในสถานประกอบการของผู้รับจ้าง การจ้างเหมาบริการต่าง ๆ เป็นต้น

“ที่น่าสนใจคือสมาชิกเริ่มสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จากสินค้าและบริการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำเช่น ข้าว หรือ ไข่ไก่ ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutral โดยรายได้จากสินค้าเหล่านี้คิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด” นายศุภชัย  กล่าว

ด้านการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร เกือบ 80% ของสมาชิก ได้จัดอบรมพนักงาน ทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยี ความเท่าเทียมทางเพศ การไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงการต่อต้านการทุจริต  โดยสถิติสะท้อนตัวชี้วัดที่สำคัญของสมาคมฯ คือ การส่งเสริมความโปร่งใสของการดำเนินงานของสมาชิก พร้อมตรวจสอบได้ เพื่อวางระบบปิดจุดอ่อนและเสริมจุดแข็งภายในองค์กร กล่าวคือ การสร้างเป้าหมาย และการเก็บข้อมูลเป็นระบบ พร้อมรายงานผลอย่างต่อเนื่องต่อสาธารณะชน ซึ่งสร้างกลไกตลาดให้เกิดการเปรียบเทียบทั้งกับตัวเองหรือระหว่างองค์กรปีต่อปี จนนำไปสู่การแข่งขันในการทำธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อไป

นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย

ไทยอันดับ 1 อาเซียน ความยั่งยืน 6 ปีซ้อน

นายศุภชัย  กล่าวอีกว่า สมาคมฯ ได้เริ่มกิจกรรมมาเกือบ 10 ปีแล้ว ซึ่งสมาชิกได้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนที่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม  แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่ต้องช่วยกันหาทางออก และนำมาปรับเป็นยุทธศาสตร์ของสมาคมฯ  ความท้าทายประการแรกคือ การร่วมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยและโลก บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs ทั้ง 17 ข้อ ภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 5 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของสมาคมฯพบว่า ไทยมีความคืบหน้าในการบรรลุ SDGs ระดับดีเยี่ยม 4  เป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน 6 ปีติดต่อกัน และเป็นอันดับที่ 45 ของ 166 ประเทศทั่วโลก หรือได้คะแนน 74.7 คะแนน ขณะที่คะแนนเฉลี่ยของภูมิภาค อยู่ที่ 67.2  แต่สิ่งที่น่ากังวลจากรายงาน สำนักงานใหญ่ UN Global Compact ที่ นครนิวยอร์ก เมื่อพิจารณาระดับโลกแล้วกลับมีเพียง 17% ตามการรายงาน SDGs Growth Rate ในปี 2024 ที่ บรรลุตามแผน ขณะที่ สัดส่วน 48%  มีความล่าช้า และอีก 37% ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ หรือมีความถดถอย

3D ความท้าทายที่ต้องปรับตัว

ส่วนความท้าทายประการที่สอง คือ กระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก 3 เรื่องใหญ่ที่สำคัญ คือ 3 D คือ Deglobalization, Decarbonization และ Digitalization  โดยทั้งสามประเด็นนี้ ล้วนเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด

1.Deglobalization หมายถึง การทวนกลับของกระแสโลกาภิวัตน์ อันเกิดจากการแบ่งขั้ว และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ รวมทั้งสภาวะสงครามนำไปสู่สถานการณ์ไม่แน่นอน ในการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ บังคับให้เราต้องปรับโครงสร้างของห่วงโซ่อุปทานของเศรษฐกิจ

2.Decarbonization หมายถึง การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และภาวะการสร้างก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่ทุกประเทศ ยังดำเนินการล่าช้า ส่งผลให้ทั่วโลกยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 ความล่าช้านี้จะสร้างผลกระทบในวงกว้าง National Bureau of Economic Research ของสหรัฐฯ ได้ประมาณว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ คิดเป็น 12 % ของ GDP โลก และหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ในปลายทศวรรษนี้คนจะจนลงกว่าเดิมถึง 50 %

การลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นหนึ่งในเกณฑ์ การค้าระหว่างประเทศ ทำให้เกิดข้อบังคับใช้มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรปเต็มรูปแบบ โดยเริ่มต้นในปี ค.ศ. 2026 เป็นการคิดค่าธรรมเนียมจากผู้นำเข้าสินค้า ที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง ส่งผลให้สินค้าส่งออกของไทยที่เข้าข่าย เช่น เหล็ก และ อะลูมีเนียม อาจเสียความสามารถในการแข่งขัน ในตลาดยุโรปได้หากไม่ปรับตัว

ส่วน ผลกระทบใกล้ตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่รุนแรงคือวิกฤติอุทกภัย ที่ประชาชนภาคเหนือได้รับผลกระทบและประชาชนภาคใต้กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

3.Digitalization การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล หรือยุค AI สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ของไทย รายงานว่า เมื่อปี 2566 มูลค่าของ เศรษฐกิจดิจิทัลไทยสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน  17% ของ GDP และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องประมาณ 8-10% ต่อปี

ธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ในไทย คาดว่า จะเติบโตเฉลี่ยกว่า  30% ต่อปี และใน 4 ปีข้างหน้า การลงทุนใน Data Center ในประเทศไทยจะมีมูลค่ามากกว่า 280,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 1.1 % ของ GDP

ขณะที่กระแส Deglobalization ทำให้ บริษัทระดับโลก หาทำเลใหม่ ๆ ในการลงทุนอุตสาหกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของการเมืองโลก ก็อาจจะส่งผลดีให้กับประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจด้านดิจิทัล ของอาเซียน  แต่ Data Center ต้องใช้พลังงานจำนวนมาก โดยเฉพาะ Data Center ในยุคของ AI คิดเป็น  1-3% ของความต้องการพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญของผู้ให้บริการ Data Center ระดับโลก ที่มาลงทุน เป็นปัจจัยกำหนดขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

กำหนด 5 เป้าหมายเร่งสร้างความยั่งยืน

นายศุภชัย  กล่าวว่า เพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยแพ็ก ได้กำหนด 5 เป้าหมาย ให้ภาคเอกชนสามารถร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุดและเป็นที่มา ในโครงการ Forward Fasterto 2030 for Inclusive Business ได้แก่

1.SDG 5 บรรลุความเสมอภาคทางเพศ เปิดโอกาสให้กับทุกคนในองค์กรเป็นตัวแทน มีส่วนร่วม และเป็นผู้นำโดยเท่าเทียม และ กำหนดค่าตอบแทนที่เท่าเทียม ในตำแหน่งเดียวกัน

2.SDG 13 ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย บรรลุ Net Zero หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ อย่างช้า ที่สุดภายในปี 2050 และร่วมกับภาคส่วนในการเปลี่ยนผ่านอย่างเป็น ธรรม หรือ Just Transition

3.SDG 8 กำหนดค่าจ้างที่เหมาะสมกับการดำรงชีพ หรือ Living Wage และ ผลักดันให้แรงงานทุกคนมีค่าจ้างที่เหมาะสม

4.SDG 6 ฟื้นคืนแหล่งน้ำ เสริมสร้างความสมบูรณ์และร่วมมือกับภาค ส่วนต่าง ๆ บำรุงรักษาแหล่งน้ำ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพอย่างน้อย 100 แห่ง ทั่วโลก อาทิ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

5.การเงินและการลงทุนด้าน SDGs ซึ่งเกี่ยวโยงกับ SDGs ทุกข้อ ด้วยการกำหนดเป้าหมาย ติดตาม และรายงานสัดส่วนการลงทุนด้าน SDGs อย่างต่อเนื่อง

“ ทั้ง 5 เป้าหมายสมาชิกสามารถนำไปปรับใช้ตามบริบทขององค์กรขณะที่สมาคมฯจะนำมาปรับเป็นยุทธศาสตร์และเป้าหมายในการดำเนินการต่อไป”นายศุภชัย  กล่าว

เปิดโอกาส 4 ด้านเรียนรู้สู่ชุมชน-คนเท่าเทียม

นายศุภชัย  กล่าวว่า ประเทศไทยจะต้องผลักดัน ปัจจัยพื้นฐานใหม่ อีก 4  ด้าน เพื่อเร่งให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยเร็ว ประกอบด้วย

1.เร่งส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม โดยนอกจากการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนแล้ว อาจเสริมด้วยการปรับสถานประกอบการธุรกิจ เป็นศูนย์การเรียนรู้ หรือ Learning Center ที่ผนวกทั้งความรู้ด้านวิชาชีพ และจิตสำนึกด้านความยั่งยืนเปิดประตูให้เด็กและ เยาวชน ได้ทดลอง เรียนรู้ การเป็นผู้ประกอบการ มีความเป็น entrepreneur แบบ actions-based learning โดยหากทุกสถานประกอบการ โรงงาน หรือฟาร์ม สามารถกลายเป็น learning center มีหลักสูตรของชุมชนได้ จะก่อให้เกิดคลังความรู้มหาศาล เสริมจินตนาการของเด็ก สนับสนุนการเรียนรู้ ในโรงเรียน สามหมื่นกว่าแห่งทั่วประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

ทั้งนี้บุคลากรในยุคต่อไป จำเป็นต้องอาศัยทักษะดิจิทัล คู่กับความตระหนักรู้ทางคุณธรรมและจริยธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง ระบบการศึกษาทั้งในและนอกห้องเรียน ที่จะเตรียมทรัพยากรมนุษย์ สำหรับเศรษฐกิจยุค ดิจิทัล หรือยุคเศรษฐกิจ 5.0 ต้องช่วยสร้าง “สังคมแห่งภูมิปัญญาที่ยั่งยืน” ที่ อาศัย Sustainable Intelligence  ไม่ใช่เฉพาะ Artificial Intelligence เพียงอย่างเดียว

2.เร่งส่งเสริมการเข้าถึงดิจิทัลเทคโนโลยี หรือ Computing Technology โดยเฉพาะการช่วยให้เด็กทุกคนมีคอมพิวเตอร์ ที่จะช่วยเปิด ประตูแก่นักเรียน ผู้ประกอบการ Start-ups หรือแม้แต่เกษตรกร สู่ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวคือ คลังข้อมูลออนไลน์ ขณะเดียวกัน เราต้องช่วยกัน พัฒนาสื่อดิจิทัลเพื่อความบันเทิงแบบสร้างสรรค์ ส่งเสริมคุณค่า ตลอดจนสามารถ address เรื่องของความยั่งยืน

3.เร่งส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งการเงินในรูปแบบใหม่ ๆ รวมทั้งระบบ fintech และ virtual banking เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน หรือกลุ่มเปราะบาง ที่มักเรียกว่า underbanked ตลอดจน SMEs ฐานรากที่อาจจะยังเข้าไม่ถึงระบบการเงินของธนาคารพาณิชย์ปัจจุบัน ลดปัญหาหนี้นอกระบบ อีกทั้งช่วยแรงงานข้ามชาติส่งเงินกลับประเทศอย่างปลอดภัย

นอกจากนั้น อาจเสนอวิธีการใหม่ ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ โดยใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น แปลงป่าไม้ให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งมีมูลค่าเป็นรูปแบบของคาร์บอนเครดิต ทำให้ชาวบ้านและชุมชนที่อยู่คู่กับป่าหันเปลี่ยนอาชีพ การสร้างรายได้ มาเป็นการดูแลรักษาและปลูกป่า

4.เร่งส่งเสริมระบบประกันพื้นฐาน ทั้งประกันสุขภาพ ประกันอุบัติภัย ให้ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของ Contract Farming และประชากรทุกคน  เพราะถ้าสามารถเข้าถึงกลุ่มที่เข้าไม่ถึงของประกันภัย ประกันชีวิต แน่นอนประกัน สุขภาพ ก็จะสร้างความไม่มั่นคงให้กับระบบของครอบครัว และชีวิตการทำงานของทุก ๆ คน

นายศุภชัย  กล่าวว่า เมื่อปีที่ผ่านมา ธุรกิจการประกันเกษตรกรรมทั่วโลก มีขนาดประมาณ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และในอีกสิบปีข้างหน้า คาดว่าจะโตถึงเกือบ 7 หมื่นหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะโตเร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และ ผู้ประกอบการด้านประกันภัยขนาดใหญ่ของโลก ต่างสนใจธุรกิจนี้มากขึ้น จะเป็นการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ลดความยากจน

“เราต้องเร่งทำงานเชิงรุก แข่งกับเวลา เพื่อ “พลิก” ความเหลื่อมล้ำ เป็นความเสมอภาคเท่าเทียม เร่งให้ทุกคนเข้าถึง 4 ปัจจัยพื้นฐานใหม่ “พลิก” ธุรกิจของเรา เป็นธุรกิจแห่งอนาคต และ “พลิก” โลกปัจจุบัน เป็นโลกที่ยั่งยืน” นายศุภชัย กล่าว

มิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ (Michaela Friberg-Storey) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย

ภาคเอกชนหัวขบวนสร้างความยั่งยืน

นางมิเกลล่า ฟิลแบรย์-สตอเร่ (Michaela Friberg-Storey)ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า จากการประชุม COP29 (Conference of the Parties) ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างประเทศที่จัดขึ้นเพื่อหารือและตัดสินใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ครั้งที่ 29  ที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ ได้ตั้งเป้าหมายใหม่ต้องระดุมทุนให้ได้อย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้เดินหน้าพันธกิจต่าง ๆ ได้ โดยต้องอาศัยความร่วมมือกับภาคเอกชน โดยมีรัฐเป็นผู้กำกับดูแล

ในส่วนประเทศไทยภาคเอกชนเป็นผู้นำ ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยพบว่า 70% ของการลงทุนมาจากภาคเอกชนประเทศไทย ซึ่งคิดเป็น 90% ของ GDP ประเทศนอกจากนี้ เอสเอ็มอี คิดเป็น 99.6% ของธุรกิจทั้งหมดในประเทศไทย ฉะนั้นจึงมั่นใจว่า เอกชนจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม สร้างความเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ทำให้การพัฒนายั่งยืน เดินควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ยังพร้อมกันกับการผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิต ที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจ สร้างโอกาสให้กับชีวิตผู้เกี่ยวข้องในสังคม มีส่วนทำให้เกิดความเท่าเทียมในสังคม ภาคประชาสังคม ธุรกิจ องค์กรการค้าระหว่างประเทศ  มาร่วมมือกันออกแบบการพัฒนาการสร้างความร่วมมือให้เกิดความเข้มแข็ง สร้างสังคมแห่งอนาคต

“การสร้างที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ในความร่วมมือกับหน่วยงาน 21 องค์กร มุ่งมั่นร่วมมือกับท่านทั้งหลาย ซึ่งประเทศไทยทำได้ GCNT ทำได้”

ทั้งนี้ก่อนถึงปี 2050 จะต้องมีการทุนในทุนมนุษย์ พัฒนาคนหนึ่งล้านคนได้รับการส่งเสริมทักษะ ขยายไปทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน ที่จะต้องพัฒนาเชื่อมโยงกันใน 3 มิติ คือ  มุ่งเน้นเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรม นำโดยออกแบบเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความเท่าเทียม และการปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน พัฒนาธุรกิจที่เป็นมีอนาคตที่ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการผลักดันการเปลี่ยนแปลงสีเขียว เพื่อคนรุ่นหลัง จะประกอบไปหัวใจสำคัญ ดังนี้

1.การเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม จะต้องมั่นใจได้ว่าการพัฒนานั้นจะไม่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยการตอบสนองความต้องการเพิ่มทักษะสีเขียวและสร้างโอกาสให้กับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบาง การลงทุนด้านการศึกษาตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงทุกระดับการศึกษา การบูรณาการความยั่งยืน และการสนับสนุนแรงงานปัจจุบันด้วยการฝึกทักษะใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจสีเขียว

การเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยสร้างทักษะด้าน Green ให้มีแรงงานในภาคส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อมอบโอกาสให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิง ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน คนเปราะบาง ฯลฯ ดังนั้นการบรรลุผลตรงนี้ได้จำเป็นต้องมุ่งไปที่การพัฒนาการศึกษา เน้นการลงทุน การพัฒนาเด็ก สร้างนวัตกรรมการศึกษา เพื่อไปสู่การสร้างเทคโนโลยีด้านการลดคาร์บอนฯ

2.การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความเท่าเทียม การพัฒนาที่ครอบคลุมตั้งแต่การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างบทบาทผู้นำธุรกิจในการเป็นต้นแบบการปฏิบัติที่ยั่งยืนและความสามารถในการทำกำไรสามารถอยู่ร่วมกันได้ นวัตกรรมในพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำกำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรม

การพยายามนำเทคโนโลยี นวัตกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความเท่าเทียม สร้างการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง การบำบัดน้ำเสียต่าง ๆ ซึ่งในประชุม COP มีพูดถึง SDGs จำเป็นต้องเป็นเรื่องนำที่ต้องพัฒนา ดังนั้นการใช้ AI ก็เป็นเรื่องจำเป็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อเพิ่มคุณค่าในการดำเนินการมิติต่าง ๆ

3.การปลดล็อกการเงินที่ยั่งยืน มีการระดมทุนการเงินด้านการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศเป็นการลงทุน ไม่ใช่การกุศล ประเทศไทยเป็นผู้นำ ในการระดมทุนผ่านโครงการ ESG และการออกพันธบัตรความยั่งยืน ทางเลขาธิการสหประชาชาติ พูดชัดเจนถึง Climate Finance การเงินเพื่อสภาพอากาศ มีการตั้งเป้าหมายกองทุนด้านสภาพภูมิอากาศตั้งไว้ 3 แสนล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ครอบคลุมถึงการดำเนินการด้านคาร์บอนเครดิต เพื่อชุมชน ซึ่งการมีเงินทุน สามารถช่วยให้มีอนาคตที่สามารถฟื้นตัวได้ง่าย

นางมิเกลล่า กล่าวอีกว่า การกระทำของผู้นำภาคเอกชนจะกำหนดอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนมากขึ้น ที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นวัตกรรมขับเคลื่อนความก้าวหน้า และความร่วมมือปลดล็อกการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนแปลงได้ ทเลขาธิการสหประชาชาติ พูดชัดเจนถึง Climate Finance การเงินเพื่อสภาพอากาศ เป็นการลงทุน ไม่ใช่การบริจาค มีการตั้งเป้าหมายกองทุนด้านสภาพภูมิอากาศตั้งไว้ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ครอบคลุมถึงการดำเนินการด้านคาร์บอนเครดิต เพื่อชุมชน ซึ่งการมีเงินทุน สามารถช่วยให้มีอนาคตที่สามารถฟื้นตัวได้ง่าย

สำหรับในประเทศไทย การตั้งเป้าหมายการระดมทุนและออกพันธมิตรมูลค่า 4.6 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ  หรือ 160,000 ล้านบาท ถือเป็นหัวใจของความพยายามสร้างความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนการการบรรลุสังคมที่เท่าเทียมกันต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างธุรกิจ รัฐบาล ภาคประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ ความร่วมมือระหว่างสหประชาชาติและเครือข่าย GCNT  สะท้อนให้เห็นถึงการแสดงพลังในการทำงานร่วมกัน

นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

ขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่กลุ่มคนฐานราก 7 ด้าน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Inclusive Business -Catalyst for Change to An Equitable Society” ธุรกิจแบบมีส่วนร่วม เร่งสร้างสังคมไทยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง  ว่า  เศรษฐกิจไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตต่ำมาตลอดเพียง 1.9% ต่อปี ขณะที่รายได้ต่อGDP ของไทยก็ต่ำมาก โดยหากเทียบกับประเทศอเมริกาใต้รายต่อหัวของไทย กับ ชิลี อาร์เจนตินา บราซิล ล้วนมีรายได้เกินหมื่นเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี จึงเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องยกระดับรายได้ ชีวิตความเป็นอยู่ และความสุขของประชาชน  โดยเริ่มขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนฐานรากใน 7 ด้านคือ

1.ไทยได้ลงนามการลงนามทำสัญญาเขตการค้าเสรี สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) เอฟตา ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ได้เจรจาบรรลุกข้อตกลงแล้ว กำลังจะลงนามภายในปี 2568  ที่กรุงดาวอส ในงาน World Economic Forum ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาล หลังจากเจรจามายาวนาน เป็นสิ่งสำคัญที่จะฟื้นการค้าและการลงทุน ส่งออกไปกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป

2.การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ตั้งแต่ ระดับกลาง ล่าง เป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง กำลังหาทางแก้ไข ฟื้นฟูหนี้ หลังจากวิกฤติโควิด

3.ดึงดูดการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจใหม่รองรับโลกเปลี่ยนแปลง อาทิ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ดาวเทียม  หุ่นยนต์ และการผลิต TCB เซอร์กิตบอร์ด และแผงวงจรต่างๆ มีการลงทุนในไทยแล้ว  ไทยจึงมีโอกาสเป็นศูนย์กลางทางด้านการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ ชิป ส่วนประกอบสมาร์ทโฟน  และยังมีโอกาสดึงดูดให้โครงการดาตาเซ็นเตอร์จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีโครงการลงทุนกระจายไปทั่วโลกมีโอกาสมาลงทุนในไทย

4.พัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) พัฒนาธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์โลกเป็นโจทย์ยาก ที่จะต้องยกระดับ SMEs ให้ยกระดับตัวเองให้มีสินค้าที่ที่มีอัตลักษณ์ มีศิลปะ งานฝีมือจึงจะสามารถแข่งขันได้ ไม่สามารถแข่งขันด้านการผลิตจำนวนมากได้

5.เปิดโอกาสให้คนเก่งเข้ามาในประเทศ เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี และเรียนรู้ร่วมกัน เช่นการเปิดเงื่อนไขวีซ่าให้คนเหล่านนี้สามารถทำงานในประเทศไทยได้นานขึ้น

6.ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ร่วมมือกับภาคเอกชน ห้างร้านต่างๆ นำสินค้าจากผู้ประกอบการในไทยมาจำหน่าย โดยพยายามหาสมดุล ผลประโยชน์ระหว่างประชาชน ผู้ประกอบการ ไม่ให้สินค้าแพงเกินไป และภาคธุรกิจอยู่รอดได้

7.พัฒนาผู้ประกอบการ ให้เข้าถึงตลาดสิ่งแวดล้อม  ผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนา แผงโซลาร์ กรีน พลังงานทดแทน

นายพิชัย  กล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม จะต้องมั่นใจได้ว่าการพัฒนานั้นจะไม่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังโดยการตอบสนองความต้องการเพิ่มทักษะสีเขียวและสร้างโอกาสให้กับทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบาง การลงทุนด้านการศึกษาตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงทุกระดับการศึกษา การบูรณาการความยั่งยืน และการสนับสนุนแรงงานปัจจุบันด้วยการฝึกทักษะใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจสีเขียว

ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยสร้างทักษะด้าน Green ให้มีแรงงานในภาคส่วนนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อมอบโอกาสให้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้หญิง ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน คนเปราะบาง ฯลฯ การบรลุผลตรงนี้ได้จำเป็นต้องมุ่งไปที่การพัฒนาการศึกษา เน้นการลงทุน การพัฒนาเด็ก สร้างนวัตกรรมการศึกษา เพื่อไปสู่การสร้างเทคโนโลยีด้านการลดคาร์บอนฯ

“Inclusive Business เป็นทางออกสำคัญในการสร้างสังคมที่ยั่งยืนและเท่าเทียม เป็นการวางรากฐานสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต ด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน” นายพิชัย กล่าว

  • UNGCNT ขับเคลื่อน Inclusive Business โมเดลธุรกิจยุคใหม่ สร้างสังคมที่เท่าเทียมและยั่งยืน
  • UNGCNT-UN in Thailand เตรียมจัดงาน GCNT Forum 2024 ชู “Inclusive Business” กระตุ้นเศรษฐกิจ