Krungthai Compass เผยแพร่ Research Note ประมวล Digital Profile ของคนไทยในปี 2024 พร้อมแนะ 3 แนวทางในการทำธุรกิจรับเทรนด์ชีวิตดิจิทัล
รู้หรือไม่? ไทยถูกจัดเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอยู่ในเกณฑ์ “ดี”
ไทยมีความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล อยู่ในอันดับที่ 51 จาก 121 ประเทศทั่วโลก และอันดับที่ 3 ของอาเซียน จากผลการจัดอันดับดัชนีคุณภาพชีวิตดิจิทัล (Digital Quality of Life Index: DQL Index)1 ซึ่งจัดทำโดย Surfshark องค์กรที่ทำงานด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ที่สำรวจและเก็บข้อมูลด้านดิจิทัล พบว่า ไทยได้รับการจัดอันดับคุณภาพชีวิตด้านดิจิทัลอยู่ในอันดับที่ 51 จาก 121 ประเทศทั่วโลก ปรับดีขึ้น 12 อันดับ จากปี 2563 ซึ่งมีอันดับอยู่ที่ 63 และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน พบว่าไทยมีดัชนีคุณภาพชีวิตด้านดิจิทัล อยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ตามลำดับ

ปัจจัยที่ทำให้ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอยู่ในเกณฑ์ “ดี” หรือเรียกว่าเป็น “จุดแข็ง” ของไทยได้แก่ คุณภาพอินเทอร์เน็ต (Internet Quality) โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Digital Infrastructure) และการใช้เทคโนโลยีมาปรับเข้ากับการทำงานของรัฐบาล (e-Government) ซึ่งแต่ละมิติมีรายละเอียดดังนี้
1) ด้านคุณภาพอินเทอร์เน็ต: “เน็ตไทยเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 6% สำหรับ Mobile Internet และ 136% สำหรับ Fixed Internet” ผลการสำรวจความเร็ว Internet ของไทยโดย Surfshark พบว่าการเชื่อมต่อ Internet ผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) ของไทยอยู่ในอันดับที่ 41 ของโลก โดยมีความเร็วเฉลี่ย 79.2 Mbps สูงกว่าความเร็วเฉลี่ยทั่วโลกที่ 74.8 Mbps ราว 6% ส่วนความเร็วของ Internet บรอดแบนด์ประจำที่ (Fixed Internet) หรืออาจเรียกสั้นๆ ว่า “เน็ตบ้าน” ของไทยนั้นพบว่ามีความเร็วเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 2 ของอาเซียน โดยมีความเร็วถึง 254.6 Mbps สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 107.8 Mbps อยู่ 136%
นอกจากมิติด้านความเร็วแล้ว Surfshark ยังระบุว่า Internet ของไทยมีความเสถียรที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอีกด้วย เมื่อประเมินความเสถียรของ Internet โดยวัดจากการเปลี่ยนแปลงของความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า Mobile Internet ไทยมีคะแนนด้านการมีเสถียรภาพอยู่ในอันดับ 16 ของโลก ใกล้เคียงกับ Fixed Internet ที่อยู่ในอันดับ 17 ของโลก
ข้อมูลทั้ง 2 มิติแสดงให้เห็นว่า Internet ของไทยมีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ “ดี” เมื่อเทียบกับทั่วโลก

2) โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล: “คนไทยเข้าถึง Internet ได้มากขึ้น” Surfshark จัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยดีขึ้นจากอันดับ 64 ในปี 2563 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 47 ในปี 2566 โดยมีสาเหตุมาจากความสามารถในการเข้าถึง Internet ของคนไทยที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึง Internet ที่ง่าย และมีความครอบคลุมในเชิงพื้นที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงขับเคลื่อนของภาครัฐผ่านนโยบายพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีเป้าหมายขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้าน และทำให้คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น
3) e-Government: “รัฐบาลไทยมีความพร้อมในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริการประเทศ” ในมิติด้านรัฐบาลดิจิทัล (e-Government) ซึ่งประเมินจากการจัดการบริการต่างๆ ของภาครัฐให้กับประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ และความพร้อมสำหรับการนำ AI มาประยุกต์ใช้ พบว่า e-Government ของไทยอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียนเป็นรองเพียงสิงคโปร์และมาเลเซียเท่านั้น
เนื่องจากไทยเข้าสู่การเป็น e-Government มาได้ระยะหนึ่งแล้ว โดยมีระบบต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ภาคธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น ระบบ Tax Single Sign On (Tax SSO) ที่เชื่อมโยงข้อมูลด้านภาษีของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร หรือระบบ SSO Connect ของสำนักงานประกันสังคม ที่ใช้ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของผู้ประกันตน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เป็นข้อสังเกตว่ายังมีอีก 2 มิติ ที่ไทยสามารถปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเพื่อยกระดับความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้พร้อมกับการแข่งขันในอนาคต ประกอบด้วย
การชำระค่าบริการเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต (Internet Affordability) เมื่อพิจารณาในมิติด้านความสามารถในการชำระค่าบริการเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งประเมินจากค่าบริการ Internet ต่อรายได้เฉลี่ย พบว่า ไทยอยู่อันดับที่ 91 ในปี 2566 ลดลงถึง 40 อันดับ จากอันดับที่ 51 ในปี 2563
ความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Security) ขณะที่ในมิติด้านความปลอดภัย ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 60 ในปี 2566 โดยมีสาเหตุจากกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของไทยที่จัดอยู่ในเกณฑ์ต่ำมากติดต่อกัน 2 ปี สอดคล้องกับผลการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ที่ชี้ว่า ในปี 2566 คนไทยประสบปัญหาถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล 14.1% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 3.4% และยังพบว่ามีคนไทยที่เชื่อมั่นต่อนโยบายด้านดิจิทัลเพียง 57% ขณะที่เกือบ 30% มีความกังวลต่อระบบความปลอดภัยของระบบการชำระเงินในการซื้อสินค้า/บริการออนไลน์2 ซึ่งไทยอาจพิจารณานำแนวนโยบายของประเทศต่างๆ อาทิ General Data Protection Regulation (GDPR)3 ของกลุ่มสหภาพยุโรป มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทยเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล หรือเพิ่มมาตรฐานการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความปลอดภัย เป็นต้น
Internet
คนไทยเข้าถึง Internet มากขึ้นแต่ระยะเวลาใช้งานต่อวันสั้นลง เมื่อเทียบกับช่วงโควิด-19
ไทยมีผู้ใช้งาน Internet 63.2 ล้านคนในปี 2567 หรือคิดเป็น 88% ของประชากรทั้งประเทศ และใช้เวลาราว 1 ใน 3 ของวันไปกับการท่องโลก Internet การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ผูกติดกับเครือข่าย Internet และสื่อออนไลน์มากขึ้น โดย Digital Agency ชื่อดังอย่าง We Are Social ได้รายงานข้อมูลการใช้ Internet ของประเทศไทยว่า ไทยมีจำนวนผู้ใช้งาน Internet เพิ่มขึ้น 13.7% จาก 55.6 ล้านคน ในปี 2563 มาอยู่ที่ 63.2 ล้านคนในปี 2567
ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าระยะเวลาใช้ Internet ของคนไทยนั้นกลับลดลงจากวันละ 9 ชั่วโมงในปี 2563 เหลือวันละ 7 ชั่วโมง 58 นาทีในปี 2567 ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งเกิดจากคนกลับสู่ชีวิตปกติหลังล็อกดาวน์และออกไปใช้ชีวิตมากขึ้น เช่น กลุ่ม Gen Z ที่มีอายุ 9-24 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงวัยเรียนก็สามารถกลับไปเรียนที่สถานศึกษาได้ อย่างไรก็ดี ระยะเวลาการใช้งาน Internet ของคนไทยก็ยังสูงติดอันดับ Top 10 ของโลก และสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่วันละ 6 ชั่วโมง 40 นาที อย่างเห็นได้ชัด

3 กิจกรรม ทาง Internet ยอดฮิต ของคนไทย
ค้นหาข้อมูล ติดตามข่าวสาร และดูรายการทีวี/ภาพยนตร์ ยังเป็น 3 กิจกรรมยอดฮิตของคนไทย โดยข้อมูลจาก We Are Social เผยว่า 3 เหตุผลหลักที่คนไทยใช้ Internet คือ
อันดับ 1 ค้นหาข้อมูล 64% คนไทยส่วนใหญ่นิยมเข้าใช้งาน Internet เพื่อค้นหาข้อมูลจาก Search Engine ได้แก่ Google เป็นหลัก โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าคนไทยกว่า 31% ใช้รูปภาพในการค้นหา และอีกกว่า 15% ที่ใช้เสียงเพื่อหาข้อมูล ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ค้นหามีโอกาสเจอสิ่งที่ตรงความต้องการและเป็นวิธีที่ช่วยอำนวยความสะดวกมากขึ้น
อันดับ 2 ติดตามข่าวสารออนไลน์ 60% โดยช่วงอายุ 55-64 ปี เป็นกลุ่มที่นิยมเข้าใช้งาน Internet เพื่อเข้าถึงข้อมูลข่าวสารออนไลน์ เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารออนไลน์มากที่สุด ตามมาด้วยช่วงอายุ 45-54 ปี และ 35-44 ปี ตามลำดับ4
อันดับ 3 ดูรายการทีวี/ภาพยนตร์ 58% โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจ คือ คนไทยกว่า 96% ของผู้ใช้งาน Internet ดูรายการทีวีผ่านช่องทางออนไลน์ หรือแอปสตรีมมิ่งต่างๆ และใช้เวลาเฉลี่ย 1 ชั่วโมง 41 นาทีต่อวัน ซึ่งได้แชร์ส่วนแบ่งเวลาดูทีวีของคนไทยไปเกือบ 50% แต่มีข้อสังเกตว่ามีคนไทยเพียง 23.7% เท่านั้นที่จ่ายเงินเพื่อดูหนังออนไลน์

Social Media
คนไทยเข้าถึง Social Media เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ Baby Boomer
ไทยมีผู้ใช้งาน Social Media 49.1 ล้านคนในปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.1% จากปี 2566 ซึ่งสัดส่วนของชาย-หญิงค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดย We Are Social ได้เผยรายงานสถิติการใช้ Social Media ของคนไทยเพิ่มขึ้นจาก 48.1 ล้านคนในปี 2566 มาอยู่ที่ 49.1 ล้านคนในปี 2567 หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 68.3% ของประชากรทั้งหมด และในปี 2567 คนไทยใช้เวลาไปกับการเล่น Social Media โดยเฉลี่ยมากถึง 2 ชั่วโมง 31 นาทีต่อวัน ไม่แตกต่างมากนักจากปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าสัดส่วนการใช้งานระหว่างผู้ชายและผู้หญิงกลับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันที่ 49.2% ต่อ 50.8% หลังจากที่ในปี 2566 สัดส่วนของผู้ใช้งานเพศชายนั้นต่ำกว่าเพศหญิงอย่างเห็นได้ชัดที่ 47.7% ต่อ 52.3%
หากพิจารณาลึกลงไปในมิติของช่วงอายุ พบว่า ผู้ใช้งานอายุ 55 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการใช้งานเพิ่มขึ้นมาก สำหรับภาพรวมกลุ่มคนที่ใช้ Social Media มากที่สุดจะอยู่ในช่วง 25-34 ปี มีสัดส่วนการใช้งาน อยู่ที่ 34.1% (เพิ่มขึ้น 1.6% จากปีก่อนหน้า) รองลงมาได้แก่กลุ่มอายุ 35-44 ปี ที่มีสัดส่วนผู้ใช้งาน 20.7% (+0.7%)

อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่ากลุ่มวัยรุ่นอายุ 18-24 ปี มีสัดส่วนการใช้งานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนจาก 22.1% ในปี 2566 เหลือ 18.2% ในปีนี้ (-3.9%) สวนทางกับกลุ่ม Baby Boomer ที่มีอายุ 55 ปี ขึ้นไปกลับมีสัดส่วนการใช้งานเพิ่มขึ้นจาก 12.2% เป็น 13.4% (+1.2%) ในช่วงเวลาเดียวกัน ภาพดังกล่าวสามารถยืนยันได้ว่าการทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะ Social Media ต่างๆ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในกลุ่มผู้สูงอายุนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ
TikTok มาแรง
ขึ้นแท่นอันดับ 3 Social Media ยอดนิยมของคนไทย ภายใน 5 ปี
Facebook และ Line ยังเป็น Social Media ยอดนิยมของคนไทย แต่ที่น่าสนใจคือ TikTok ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยข้อมูลจาก We Are Social ชี้ว่า แพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทยยังคงเป็น Facebook และ Line ที่มีสัดส่วนการใช้งานในปี 2567 สูงถึง 91.5% และ 90.5% ของผู้ใช้งาน Internet ตามลำดับ และที่น่าสนใจคือ TikTok แพลตฟอร์มน้องใหม่ที่มีการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และใช้เวลาเพียง 5 ปี แซงหน้าขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 จาก 36% ในปี 2563 ขึ้นมาอยู่ที่ 83% ในปี 25675 และครองอันดับ 2 แพลตฟอร์ม Social Media ที่คนไทยใช้เวลาด้วยมากที่สุด โดยใน 1 วัน คนไทยใช้เวลาบน TikTok เฉลี่ยวันละ 1 ชั่วโมง 17 นาที น้อยกว่าการใช้เวลาบนแพลตฟอร์มอันดับหนึ่งอย่าง YouTube ที่มีค่าเฉลี่ยวันละ 1 ชั่วโมง 23 นาที เพียง 6 นาทีเท่านั้น และมากกว่าการใช้งาน Facebook และ Line ที่มีเวลาใช้งานเฉลี่ยวันละ 48 นาที และ 20 นาที ตามลำดับ เกือบ 2-4 เท่าตัว

นอกจากในมิติของความนิยม และการใช้เวลาแล้ว TikTok ยังเติบโตอย่างโดดเด่นในมิติของจำนวนผู้ใช้งานอีกด้วย โดยมีจำนวนผู้ใช้งานชาวไทยเพิ่มขึ้น 10.2% จาก 40.3 ล้านคน ในปี 2566 มาอยู่ที่ 44.4 ล้านคน ในปี 2567 เป็นอันดับ 9 ของโลก โดยสาเหตุที่ทำให้ TikTok มาแรง และเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คนไทยชื่นชอบ เนื่องจากสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่นิยมใช้เวลาไม่นานในการดูหรืออ่านคอนเทนต์ อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น ระบบ For You Feed ที่คัดเลือกคอนเทนต์ที่แต่ละคนสนใจ รองรับระบบ E-Commerce ที่มีฟีเจอร์เบ็ดเสร็จครบวงจรเรื่องการขายของออนไลน์ ตั้งแต่เริ่มการสต็อก การจัดส่ง จนถึงการชำระเงิน โดยผู้ซื้อสามารถกดสั่งซื้อ และชำระเงินได้อย่างง่ายดายบน TikTok ได้เลย โดยไม่ต้องออกจากแอป ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการรวมแพลตฟอร์ม Social Media เข้ากับ E-Commerce ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของตลาดดิจิทัลที่เรียกว่า Social Commerce ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
44% ของผู้ใช้งาน Internet ใช้ Social Media หาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ
หากพิจารณาพฤติกรรมการใช้ Social Media ของคนไทย ยังมีข้อมูลน่าสนใจจาก We Are Social ที่ชี้ว่า คนไทยกว่า 44% ของผู้ใช้งาน Internet ใช้ Social Media ในการค้นหาข้อมูลของแบรนด์และสินค้า เช่น เปรียบเทียบราคา ดูรีวิว เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ6 ขณะที่ผลการสำรวจ Thailand Digital Outlook ที่จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ระบุว่า คนไทยกว่า 68% เลือกใช้ Social Media7 เป็นช่องทางในการซื้อสินค้า
เราจึงมองว่าการมีตัวตนบน Social Media ของแบรนด์สินค้าหรือบริการถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากการรีวิวของผู้บริโภคคนหนึ่งจะมีอิทธิพลกับการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภครายอื่นๆ ตามกัน
95% ของผู้ประกอบการใช้ Social Media มากกว่า 2 แพลตฟอร์มในการทำตลาด
จากกระแสความนิยมในการใช้ Social Media ของคนไทย ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า การทำการตลาดผ่าน Social Media คงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในภาคธุรกิจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารกับผู้บริโภค ทั้งในแง่การสร้างตัวตนของแบรนด์ และเป็นช่องทางการขายที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย จำนวนมาก และไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์ม Social Media หลักที่ภาคธุรกิจนิยมเลือกใช้ในการทำการตลาดกับผู้บริโภคมากที่สุด คือ Facebook โดย Wisesight ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูล Social Media ชั้นนำในไทย ได้ระบุว่า 99% ของผู้ประกอบการ เลือกใช้ Facebook ในการทำตลาดตามมาด้วย Instagram, YouTube, TikTok และ X ที่มีสัดส่วนการใช้งาน 73%, 50%, 38% และ 34% ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังพบว่า 95% ของแบรนด์ มีบัญชี Social Media ทางการอย่างน้อย 2 แพลตฟอร์มในการทำการตลาดกับผู้บริโภค8 โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่กว่า 26.4% จะมีบัญชีทางการมากถึง 5 แพลตฟอร์ม ครอบคลุมเกือบทุกแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย ซึ่งการเลือกใช้แพลตฟอร์มของแต่ละธุรกิจจะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค9 หรือตามลักษณะของคอนเทนต์ที่ต้องการสื่อสาร เช่น กลุ่มการท่องเที่ยวและโรงแรม มักจะใช้ Facebook และ Instagram
อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่าเมื่อพิจารณาระหว่างความสนใจของผู้บริโภค และการเลือกใช้แพลตฟอร์มของแต่ละธุรกิจผ่านช่องทางต่างๆ พบว่า ในแต่ละแพลตฟอร์มยังมีช่องว่างให้ผู้ประกอบการเข้าทำการตลาดกับผู้บริโภคได้มากขึ้น เช่น ธุรกิจ Skincare และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมี Room เหลือให้ผู้ประกอบการเข้าไปทำการตลาดผ่านช่องทาง Facebook เพิ่มเติม

E-Commerce
จากพฤติกรรมการเข้าถึง Internet และ Social Media ของคนไทยที่มากขึ้น และแทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน ในส่วนนี้อยากชวนผู้อ่านมาร่วมวิเคราะห์ตลาด E-Commerce ของไทยที่มีโอกาสได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเทรนด์ดิจิทัลจะมีทิศทางเป็นอย่างไร? เติบโตได้มากน้อยแค่ไหน? และสินค้าหมวดหมู่ใด? ที่คนไทยนิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
ตลาด E-Commerce ของไทยเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าแฟชั่น
ตลาด E-Commerce ได้รับความนิยมจากคนไทยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจาก ตลาด E-Commerce ของไทยที่โตเกือบเท่าตัวจากปี 2563 ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มูลค่าตลาด E-Commerce มีการเติบโตสูง คือ การพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล บวกกับการเข้าถึง Internet, Social Media และ Smart Phone อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่คุ้นชินกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น หลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีการประกาศล็อกดาวน์จนทำให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคจำเป็นต้องหันมาขายและซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์แทน
นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ตลาด E-Commerce ของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ การแข่งขันด้านราคาจากร้านค้าออนไลน์ และการแข่งขันของแพลตฟอร์ม ที่มีการแจกจ่ายส่วนลดสำหรับการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มนั้นๆ ผ่านแคมเปญต่างๆ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า/บริการของผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว สะท้อนจากข้อมูลของ We Are Social ที่ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของการใช้เงินซื้อของผ่านตลาด E-Commerce สูงขึ้น 259% จากปีละ 3,900 บาทต่อคนในปี 2563 ขึ้นมาอยู่ที่ 14,000 บาทต่อคนในปี 2566 และจากข้อมูลล่าสุด ยังพบว่า 2 ใน 3 ของคนไทยมีพฤติกรรมซื้อของออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก
และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญให้ตลาด E-Commerce ของไทยเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ขยายตัวกว่า 76% จาก 3.19 แสนล้านบาทในปี 2563 ขึ้นมาอยู่ที่ 5.64 แสนล้านบาทในปี 2564 และขึ้นมาแตะระดับ 6.22 แสนล้านบาท ในปี 2566 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% (CAGR ปี 2564-2566)
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ประเมินว่า ตลาด E-Commerce ของไทย มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องขึ้นไปแตะระดับ 7.47 แสนล้านบาทในปี 2568 เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.6% (CAGR ปี 2566-2568) และเมื่อเราพิจารณาแนวโน้มสินค้าที่ผู้บริโภคนิยมซื้อผ่านช่องทาง E-Commerce ในช่วงปี 2563-2567 สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มเติบโต: เป็นกลุ่มสินค้าที่มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% ได้แก่ กลุ่มอาหาร กลุ่มเครื่องดื่ม และกลุ่มสินค้าแฟชั่น โดยมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 14.2%, 6.2% และ 10.5% ตามลำดับ ในปี 2563 มาอยู่ที่ 20.4%, 9.7% และ 12.0% ในปี 2567
2) กลุ่มทรงตัว: เป็นกลุ่มสินค้าที่มีส่วนแบ่งตลาดที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2563 มากนัก โดยมีสัดส่วนลดลง/เพิ่มขึ้น ในช่วงระหว่าง -0.9% ถึง +0.9% อาทิ ยาเพื่อการดูแลสุขภาพเบื้องต้น ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม/ดูแลร่างกาย ของเล่น เป็นต้น
3) กลุ่มชะลอตัว: เป็นกลุ่มที่มีส่วนแบ่งตลาดลดลงมากกว่า 1% ประกอบด้วย กลุ่มสินค้าประเภท DIY
&Hardware กลุ่ม Media และกลุ่ม Electronics โดยมีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 3.8%, 2.1% และ 40.5% ตามลำดับในปี 2563 มาอยู่ที่ 2.8%, 1.1% และ 30.4% ในปี 2567
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มสินค้าที่อยู่ในกลุ่มเติบโตส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีอัตราการบริโภคหมุนเวียนรวดเร็ว ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม หรือกลุ่มสินค้าที่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสและเทรนด์ ได้แก่ กลุ่มสินค้าแฟชั่น อาทิ เครื่องแต่งกาย รองเท้า ส่วนกลุ่ม Electronics แม้ยอดขายจะขยายตัวตามตลาดE-Commerce กว่า 59% จาก 1.29 แสนล้านบาทในปี 2562 ขึ้นมาอยู่ที่ 2.06 แสนล้านบาทในปี 2567 แต่กลับมีส่วนแบ่งตลาดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาลดลงถึง 10%

จากเทรนด์ดิจิทัลที่กล่าวไปแล้วไปข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของคนไทยที่คุ้นชินกับการใช้ Internet และ Social Media ความนิยมในการสั่งของออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น หรือการที่ผู้บริโภคจะดูรีวิวสินค้าจากผู้บริโภครายอื่นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ Krungthai COMPASS ขอนำสนอ 3 แนวทางในการทำการตลาด ให้สอดรับไปกับเทรนด์ดิจิทัล ได้แก่
1) Digital Marketing หรือ การตลาดออนไลน์
เป็นอีกช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภคในยุคที่ Internet ได้แทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยภาคธุรกิจอาจนำช่องทางการตลาดบนโลกดิจิทัลที่มีอยู่หลากหลาย มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับภาคธุรกิจ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเจาะลึก 5 ช่องทางการตลาดออนไลน์ที่น่าสนใจ ได้แก่
2) AI ตัวช่วยธุรกิจเข้าถึงผู้บริโภค
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI กำลังทวีความสำคัญและกลายเป็นส่วนสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค ตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการผ่านแชทบอท เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต จัดการคลังสินค้า การจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลได้จำนวนมาก ตัวอย่างภาคธุรกิจที่นำ AI มาใช้ เช่น แอปพลิเคชันแต่งหน้าเสมือนจริง ซึ่งพัฒนามาจากเทคโนโลยี AI Face Recognition และถูกนำมาใช้ในการแนะนำเครื่องสำอางที่เหมาะสมกับสีผิวของลูกค้า หรือ เทคโนโลยี Virtual Tours หรือ ทัวร์เสมือนจริง ที่ถูกพัฒนามาใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถสำรวจแบบบ้านหรือคอนโดมิเนียมในรูปแบบเสมือนจริง
3) เตรียมพร้อมเพื่อจับผู้บริโภคในกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไป หรือกลุ่ม Baby Boomer ที่มีศักยภาพและยังมีกำลังซื้อ
ไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หรือ Super-Aged Society ในปี 2572 ทำให้กลุ่ม Baby Boomer จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ใช้ Social Media กลุ่มหลัก และเป็นผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งที่สำคัญต่อตลาด E-Commerce โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้นิยมสั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านช่องทาง Social Media สูงสุด ตามมาด้วย E-Marketplace เช่น Shopee Lazada Kaidee Grab และส่วนใหญ่จะจ่ายเงินค่าสินค้าเป็นเงินสดแบบเก็บเงินปลายทาง โดยหมวดหมู่สินค้าที่ชาว Baby Boomer นิยมซื้อผ่านช่องทางออนไลน์สูงสุด ได้แก่ ยาเวชภัณฑ์/อาหารเสริม รองลงมา ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม13
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาแนวทางในการเตรียมความพร้อมและปรับตัวเพื่อรับมือและไขว่คว้าโอกาสจากลูกค้ากลุ่ม Baby Boomer ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจและมีศักยภาพ ตัวอย่างเช่น
-
(1) ศึกษา และวางแผนกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม ที่มีพฤติกรรมและความต้องการต่างจากช่วงอายุอื่นๆ
(2) เลือกช่องทางการสื่อสารตามความถนัด โดยผู้สูงวัยส่วนใหญ่นิยมใช้ LINE มากเป็นอันดับหนึ่งเพราะใช้งานง่ายทั้งการส่งข้อความและแชร์ข้อมูล รวมทั้ง
(3) เลือกใช้ภาษา และรูปแบบนำเสนอที่เหมาะสม เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาที่นำเสนอ นอกจากนี้ อาจเลือกใช้อักษร (Font) ขนาดใหญ่ให้มองเห็นง่ายและเป็นที่จดจำ หรือออกแบบขั้นตอนการซื้อและช่องทางชำระเงินที่สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน เป็นต้น
Implication:
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ตลาด E-Commerce ของไทย มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องขึ้นไปแตะระดับ 7.47 แสนล้านบาทในปี 2568 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.6% (CAGR ปี 2566-2568) โดยได้รับอานิสงส์จากความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ค่อนข้างดี บวกกับการเข้าถึง Internet, Social Media และ Smart Phone ของคนไทยที่เพิ่มขึ้น
โดยปัจจัยที่ทำให้ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอยู่ในเกณฑ์ “ดี” ได้แก่ คุณภาพอินเทอร์เน็ตที่พัฒนาตามลำดับ แต่ยังมีบางด้านที่ต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เช่น ความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยคนไทยมีความเชื่อมั่นต่อนโยบายด้านดิจิทัลเพียง 57% และอีกราว 30% มีความกังวลต่อระบบความปลอดภัยของระบบการชำระเงินในการซื้อสินค้า/บริการออนไลน์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อการเติบโตของตลาด E-Commerce ทั้งนี้ ไทยอาจพิจารณานำแนวนโยบายของประเทศต่างๆ อาทิ General Data Protection Regulation (GDPR) ของกลุ่มสหภาพยุโรป มาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทยเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล หรือเพิ่มมาตรฐานการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความปลอดภัย เป็นต้น
ขณะที่คนไทยเข้าถึง Internet และ Social Media เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Baby Boomer ปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ใช้งาน Internet สูงถึง 63.2 ล้านคน และมีผู้ใช้งาน Social Media 49.1 ล้านคน โดยชาว Gen Y เป็นกลุ่มที่มีการใช้งาน Internet และ Social Media สูงสุด ขณะที่ชาว Baby Boom เป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ใช้ Social Media กลุ่มหลักที่สำคัญต่อตลาด E-Commerce ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงควรพิจารณาแนวทางในการเตรียมความพร้อมและปรับตัวเพื่อรับมือและไขว่คว้าโอกาสจากลูกค้ากลุ่มนี้ ตัวอย่างเช่น ศึกษา และวางแผนกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม เลือกช่องทางการสื่อสารตามความถนัด รวมทั้ง เลือกใช้ภาษาที่เหมาะสม เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาที่นำเสนอ และเลือกใช้อักษร (Font) ขนาดใหญ่ให้มองเห็นง่ายและเป็นที่จดจำ หรือออกแบบขั้นตอนการซื้อและช่องทางชำระเงินที่สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในตลาด E-Commerce อาจต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงและรุนแรงมากขึ้น จุดเด่นของตลาด E-Commerce คือ การซื้อขายสินค้า/บริการผ่านช่องทางออนไลน์ที่ทำได้ง่าย สามารถซื้อขายได้ทุกที่ทั่วโลก ตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีช่องทางขายหลายรูปแบบ เช่น E-marketplace, Social Commerce ทำให้ในระยะถัดไปตลาด E-Commerce จะกลายเป็นช่องทางการซื้อสินค้าสำคัญมากขึ้น อย่างไรก็ดี การเข้าสู่ตลาด E-Commerce ที่ทำได้ง่าย และเป็นทางเลือกหลักของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ขณะที่สินค้าที่ขายไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก ทำให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบราคาสินค้าได้ง่าย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันสูง และยังถูกซ้ำเติมจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทยผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันลำบากมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรพิจารณาแนวทางการทำตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจ อาทิ สร้างจุดเด่นของสินค้า หรือเลือกช่องทางสื่อสารกับผู้บริโภคที่เหมาะสม ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น การทำตลาดบน Social Media, Google Ads, การทำ SEO หรืออาจเลือกใช้กลยุทธ์ Omni Channel ที่ผสมผสานระหว่างช่องทางออนไลน์ (Online) และการขายหน้าร้าน (Offline) เป็นต้น
อ้างอิง
1.DQL Index พิจารณาจาก 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1)ความสามารถในการชาระค่าบริการเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต2) คุณภาพอินเทอร์เน็ต3) โครงสร้างขั้นพื้นฐานด้านอิเล็กทรอนิกส์ 4) ความปลอดภัยทางอิเล็กทรอนิกส์ และ 5) การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้กับการทางานของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ
2.อ้างอิง Thailand Digital Outlook Annual Report 2023
3.GDPR มีสาระสำคัญในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว กำหนดบทลงโทษเป็นค่าปรับสูงถึง 10 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้ต่อปีของบริษัท และมีผลบังคับใช้ในการปกป้องข้อมูลของชาวยุโรปทุกที่ทั่วโลก แม้ว่าธุรกิจจะตั้งอยู่นอกเหนือขอบเขตสหภาพยุโรป
4.อ้างอิง DIGITAL 2024: GLOBAL OVERVIEW REPORT
5.การสำรวจ Social Media ยอดนิยมของ We Are Social ในปี 2565-2567 ไม่มีการใส่ตัวเลือก YouTube เข้าไปในแบบสอบถาม แต่คาดว่า YouTube ยังคงได้รับความนิยมเช่นเดิม สะท้อนจากข้อมูลของ Similarweb ที่ชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (ธ.ค. 2565-พ.ย. 2566) คนไทยเข้าชมเว็บไซต์ YouTube เป็นอันดับ 2 รองจาก Google
6.อ้างอิง DIGITAL 2024: THAILAND
7.อ้างอิง Thailand Digital Outlook Annual Report 2023
8,9 อ้างอิง ผลการสำรวจการใช้ Social Media ในเชิงธุรกิจของผู้ประกอบการกว่า 2,000 แบรนด์ จาก 20 กลุ่มอุตสาหกรรม ในช่วง Q1-3/2566 จัดทำโดยWisesight
10. อ้างอิง Influencer Marketing in Thailand in 2024
11. อ้างอิงWhat’s Next 2023 Trend Report
12. อ้างอิง7-Eleven ยังอดใจไม่ไหว กระโดดเข้าสู่สังเวียน Affiliate Marketing
13. อ้างอิง Digital Marketing และ Digital Economy แรงกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง