ThaiPublica > Sustainability > Global Issues > องค์กรภาคประชาสังคมเรียกร้องอาเซียนแสดงบทบาทผู้นำเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก

องค์กรภาคประชาสังคมเรียกร้องอาเซียนแสดงบทบาทผู้นำเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก

22 เมษายน 2024


ที่มาภาพ: https://ejfoundation.org/news-media/csos-call-for-asean-leadership-for-a-successful-global-plastics-treaty-to-end-plastic-pollution

องค์กรภาคประชาสังคม (CSOs)เรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนมีจุดยืนที่เข้มแข็งต่อการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก(Global Plastics Treaty)ที่กำลังดำเนินอยู่ เพื่อพัฒนาเครื่องมือที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยุติมลพิษจากพลาสติก รวมถึงในสภาพแวดล้อมทางทะเล

วันที่ 18 เมษายน 2567 กรุงจากาตาร์ ประเทศ อินโดนีเซีย — เครือข่าย Global Alliance for Incinerator Alternatives(GAIA) ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม อาทิ Environmental Justice Foundation และ Basel Action Network ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงสำนักงานเลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนมีจุดยืนที่เข้มแข็งต่อการเจรจาเพื่อพัฒนาเครื่องมือที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยุติมลพิษจากพลาสติก ที่กำลังดำเนินอยู่ โดยมีองค์กรภาคประชาสังคม(civil society organizations:CSOs)ร่วมลงนามกว่า 100 องค์กรจากทวีปเอเชียและนานาชาติ

ผู<แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมด้วยรัฐสมาชิกของสหประชาชาติกว่า 170 ประเทศจะรวมตัวกันที่เมืองออตตาวาประเทศแคนาดา เพื่อเข้าร่วมการประชุมครั้งที่สี่ของคณะกรรมการเจรจาระหว่างประเทศ (International Negotiating Committee:INC-4) เพื่อพัฒนาเครื่องมือที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อยุติมลพิษจากพลาสติก รวมถึงในสภาพแวดล้อมทางทะเลตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 29 เมษายน 2567

  • “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” ไทยพร้อมหรือยังที่จะยุติขยะมลพิษ
  • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชายฝั่งและหมู่เกาะ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาขยะทะเล และมลพิษตลดห่วงโซ,อุปทานพลาสติก ตั้งแต่การสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิลไปจนถึงการผลิตพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัด อีกทั้ง ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลากหลายประเทศยังต้องเผชิญกับปัญหาการค้าขยะพลาสติกผิดกฎหมายจากประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นที่ทิ้งขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เช่นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ก่อให้เกิดไมโครพลาสติก รวมไปถึงมลพิษจากเตาเผาขยะ การที่ทั่วโลกยังไม่ลดการผลิตพลาสติกใหม่ จะทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องแบกรับภาระมลพิษที่เป็นพิษอย่างไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม สถานการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากผู้นำอาเซียนลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงมัน

    “ผู้นำอาเซียนต้องใช้การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกเป็นโอกาสในการแก้ไขช่องว่างทางกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวกับการทิ้งขยะ และผลักดันให้รัฐบาลในประเทศที่พัฒนามากกว่าเกิดความรับผิดชอบ ลดการผลิตซ้ำวาทกรรมที่ว่าอาเซียนเป็นภูมิภาคที่สร้างมลพิษมากที่สุด และยกเลิกการลงทุนในวิธีการแก้ปัญหาที่ผิดจุด เช่น เทคโนโลยีจัดการขยะที่เป็นพิษ ผ่านกลไกความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ในขณะที่เขายังมาทิ้งขยะพลาสติกไว้ที่ชายแดนของเรา”

    Mayang Azurin รองผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ของ Global Alliance for Incinerator Alternatives (GAIA) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว “เราขอเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนปกป้องภูมิภาคของเรา ในฐานะที่ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งรวมพลัง ความยั่งยืน และวิธีแก้ปัญหาที่ถูกจุด ผ่านการผลักดันให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกมีความทะเยอทะยานมากที่สุด”

    องค์กรภาคประชาสังคมจากทั่วทั้งภูมิภาคเรียกร้องให้ผู้แทนอาเซียนยกระดับสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันในการจัดการกับมลพิษตลอดวงจรชีวิตของพลาสติกอย่างแท้จริง โดยให้ความสำคัญกับการลดการผลิตพลาสติกทั่วโลก และการเลิกใช้สารเคมีอันตราย รวมถึงโพลีเมอร์ที่ประกอบเป็นพลาสติก ถึงเวลาแล้วที่การส่งผ่านมลพิษพลาสติกข้ามพรมแดน กำจัดสารเคมีที่เป็นพิษ รับประกันความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับของสารเคมีตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก เพิ่มขนาดโครงสร้างพื้นฐานการใช้ซ้ำและการเติมดำเนินการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต ปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิของประชาชนในเรื่องสุขภาพ อากาศและน้ำที่สะอาด สนับสนุนเพียงการเปลี่ยนแปลง และยุติการแก้ป้ญหาที่ผิดจุด เช่น กลไกพลาสติกเครดิตและเทคโนโลยีที่ไม่จัดการกับมลพิษที่แหล่งกำเนิด ตลอดจนสิ่งทดแทนพลาสติกที่น่าห่วงกังวล เช่น พลาสติกชีวภาพ ซึ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้นเท่านั้น เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนในการเจรจาสนธิสัญญา INC-4 ถือเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชิกในการปกป้องสิทธิของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดี ปกป้องความยุติธรรมว่าเราจะไม่ผลักภาระให้คนรุ่นหลัง รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำทางเพศ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการเจรจาสนธิสัญญาครั้งนี้

    “เราขอเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกให้มีบทบัญญัติการควบคุมที่เข้มงวดและมีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม” Chinkie Pelino-Golle เครือข่ายกำจัดมลพิษระหว่างประเทศ (IPEN) ผู้ประสานงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก กล่าว “ในการทำเช่นนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับวิธีแก้ปัญหาที่ป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำจัดสารเคมีที่เป็นพิษ และการเพิ่มความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก”

    องค์กรต่างๆ ยังเน้นย้ำว่าอาเซียนสามารถผลักดันสนธิสัญญาที่มีประสิทธิผลได้เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีแนวทางแก้ไขปัญหาที่นำโดยประชาชนจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในภูมิภาคต่อการดำเนินนโยบายเพื่อลดมลพิษจากพลาสติกในประเทศ ขณะนี้ เป็นเวลาที่สำคัญจะใช้แนวทางเหล่านี้ในระดับโลก โดยการผลักดันให้มีข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย

    อาเซียนเป็นภูมิภาคที่รวบรวมวิธีการแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกที่สร้างสรรค์และใช้ได้จริง แต่เป็นเวลานานเกินไปแล้วที่ภูมิภาคนี้ต้องเผชิญกับปัญหาบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวและไม่จำเป็นที่มากเกินควร ซึ่งมักประกอบด้วยสารเคมีที่เป็นพิษที่ไม่ได้รับการควบคุม” ศลิษา ไตรพิพิธสิริวัฒน์ นักรณรงค์อาวุโสและผู้จัดการโครงการพลาสติกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของมูลนิธิความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม กล่าว “ด้วยเหตุผลด้านโครงสร้างพื้นฐานและช่องว่างด้านนโยบายที่ไม่เพียงพอ ส่งผลให้อาเซียนต้องรับวิธีการแก้ไขปัญหาที่หลายครั้งผิดจุดมาดำเนินการ ซึ่งเป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่ทำให้ระบบยังคงเดิม

    การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้นำอาเซียนในการแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ความมุ่งมั่น และความพร้อมในการจัดการกับมลพิษจากพลาสติก INC-4 และ INC-5 เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับผู้นำอาเซียน—ผู้นำของเรา—ในการเรียกร้องสนธิสัญญาที่เข้มแข็งและทะเยอทะยานที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก”

    การประชุมครั้งที่ 3ของคณะกรรมการเจรจาระหว่างประเทศ

    หลังจากการประชุม INC-4 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติจะจัดการประชุมอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ที่เกาหลีใต้สำหรับการเจรจารอบที่ 5 และรอบสุดท้าย

    Abdul Ghofar นักรณรงค์ด้านมลพิษและความยุติธรรมในเมืองของ Wahana Lingkungan Hidup Indonesia (WALHI) กล่าวว่า “ประเทศในกลุ่มอาเซียนหลายประเทศแหล่งรวมขยะประเทศที่พัฒนาแล้วมาทิ้งในนามของการค้าขยะ อาเซียนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับบริษัทข้ามชาติที่ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกหลายล้านตัน โดยเฉพาะซองขนาดเล็ก (sachets) พวกเขาทำกำไรในขณะที่เราประสบปัญหา สนธิสัญญาพลาสติกโลกถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศในอาเซียนในการแสดงให้โลกเห็นว่าเราไม่ใช่แหล่งที่มาหลักของมลพิษจากพลาสติก แต่เราคือแหล่งที่มาของแนวทางแก้ไขเพื่อเอาชนะมลพิษจากพลาสติก เราในฐานะพลเมืองอาเซียนหวังว่าผู้นำอาเซียนจะเป็นผู้นำผ่านการสนับสนุนความพยายามในการยุติการค้าขยะข้ามชาติ ลดการผลิตพลาสติก และสร้างการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบใช้ซ้ำสำหรับอนาคต”

    Mageswari Sangaralingam เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโสของ Consumers’ Association of Penang และ Sahabat Alam Malaysia กล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าเราไม่สามารถรีไซเคิลเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติพลาสติกได้ ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือความยั่งยืนของพลาสติกไม่มีอยู่จริง โลกจำเป็นต้องหยุดการผลิตพลาสติกที่ไม่จำเป็นและเป็นอันตราย และลดการผลิตพลาสติกโดยรวม ขณะเดียวกันต้องรับประกันการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมยุติธรรมสำหรับกลุ่มที่เปราะบางที่สุด ชุมชนพื้นเมือง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่คุณค่าของพลาสติก เช่น คนเก็บขยะ คนงานกำจัดขยะ และผู้ที่ทำงานในระบบรีไซเคิล อาเซียนควรก้าวเป็นผู้นำในการเจรจาเพราะชุมชนชาวอาเซียนของเรามีแนวทางแก้ไขที่พร้อมยุติวิกฤติพลาสติก”

    Xuan Quach ผู้ประสานงาน/ผู้อำนวยการประจำประเทศของ Vietnam Zero-Waste Alliance/Pacific Environment Vietnam กล่าวว่า “มีอุปสรรคมากมายที่พยายามขัดขวางความก้าวหน้าของการร่างสนธิสัญญา หนึ่งในนั้นคือการออกแบบสนธิสัญญาอย่างไรให้ครอบคลุมการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบบทบัญญัติยกเว้น อย่างไรก็ตาม การออกแบบโดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อกำหนดเกณฑ์และตัวชี้วัดสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดสิทธิการยกเว้นที่สมเหตุสมผลสำหรับประเทศต่างๆ

    เครือข่าย Break Free From Plastic เสนอให้ใส่เกณฑ์และตัวชี้วัดในการพิจารณาสิทธิการยกเว้นไว้ในภาคผนวก และดำเนินการพัฒนาเกณฑ์และตัวชี้วัดชุดนี้ นอกจากนี้ การดำเนินการบังคับตามข้อกำหนดเกี่ยวกับ “การออกแบบผลิตภัณฑ์ องค์ประกอบ และประสิทธิภาพ” ทั่วโลกจะต้องสร้างโอกาสให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ไปสู่การผลิตและการบริโภคพลาสติกที่ยั่งยืน”

    เกี่ยวกับ BFFP — #BreakFreeFromPlastic เป็นเครือข่ายเคลื่อนไหวระดับโลกที่มุ่งหวังอนาคตที่ปราศจากมลพิษพลาสติกนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2559 องค์กรมากกว่า 2,700 แห่งและผู้สนับสนุนรายบุคคล 11,000 รายจากทั่วโลกได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และผลักดันให้เกิดแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนต่อวิกฤติมลพิษจากพลาสติก องค์กรและสมาชิกบุคคลภายใต้เครือข่ายของ BFFP รวมตัวกันเพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมทางสังคม และทำงานร่วมกันผ่านแนวทางความร่วมมือเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นต่อการจัดการกับมลพิษจากพลาสติกตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าของพลาสติก ตั้งแต่การกลั่นน้ำไปจนถึงการกำจัดพลาสติกที่ปลายทาง โดยมุ่งเน้นที่การป้องกันมากกว่าการรักษา และการจัดหาวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ www.breakfreefromplastic.org

    เกี่ยวกับ GAIA – Global Alliance for Incinerator Alternatives ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2543 โดยเป็นเครือข่ายของกลุ่มรากหญ้า ตลอดจนพันธมิตรระดับชาติและระดับภูมิภาคที่เป็นตัวแทนขององค์กรต่างๆ มากกว่า 1,000 องค์กรจาก 92 ประเทศ ซึ่งมีวิสัยทัศน์สูงสุดคือโลกที่ไร้ขยะ ที่ยุติธรรมและสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงขีดจำกัดทางนิเวศน์ และสิทธิชุมชน โดยที่ประชาชนปลอดภัยจากภาระมลพิษที่เป็นพิษ และทรัพยากรได้รับการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ไม่ถูกเผาทิ้ง https://www.no-burn.org/

    เกี่ยวกับ IPEN – International Pollutants Elimination Network เป็นเครือข่ายระดับโลกที่รวบรวมองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์มากกว่า 600 องค์กรใน 125 ประเทศ เพื่อสร้างโลกที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น โดยที่ผู้คนและสิ่งแวดล้อมจะไม่ได้รับอันตรายจากการผลิต การใช้ และการกำจัดสารเคมีที่เป็นพิษอีกต่อไป IPEN ทำงานเพื่อเสริมสร้างนโยบายด้านสารเคมีและของเสียในระดับโลกและระดับประเทศ มีส่วนร่วมในการวิจัยที่ก้าวหน้า และสร้างการเคลื่อนไหวระดับโลกเพื่ออนาคตที่ปราศจากสารพิษ https://ipen.org/; https://stoppoisonplastic.org/

    เกี่ยวกับมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) ทำงานในระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันนโยบายและขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างเป็นระบบและยั่งยืน เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนผ่านการตรวจสอบและการสนับสนุนนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม กลุ่มชาติพันธ์ ชุมชน และนักข่าวอิสระ โดยเป้าหมายของการรณรงค์ คือเพื่อการธำรงไว้ซึ่งอนาคตที่สมบูรณ์ เสมอภาค และยั่งยืน