
จากการดำเนินนโยบายพัฒนาความยั่งยืน ตามเป้าหมาย CPF 2030 Sustainability in Action มาอย่างต่อเนื่อง “สถาบันไทยพัฒน์” จัดให้ซีพีเอฟ เป็น 1 ในบริษัทที่เข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 Company จาก 851 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากมีการดำเนินงานโดดเด่นทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดมั่นธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance : ESG) ที่สำคัญคือบริษัทได้รับรางวัลนี้เป็นปีที่ 6 นับตั้งแต่ปี 2558
การอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เป็นปีที่ 6 สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทฯ มีการดำเนินงานด้าน ESG โดดเด่น เป็นแบบอย่างที่ดีในอุตสาหกรรมอาหารที่นำ ESG ไปใช้ในทุกห่วงโซ่อุปทานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของบริษัท
“ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และขอขอบคุณทางสถาบันไทยพัฒน์ที่ตระหนักถึงความมุ่งมั่นของบริษัท ซึ่งให้ความสำคัญในด้าน ESG ในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด” นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าว
นายประสิทธิ์กล่าวต่อถึงแนวทางความยั่งยืนของบริษัทว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG และเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และเชื่อมั่นว่า ESG เป็นเรื่องที่สำคัญมากและเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอย่างยิ่ง สอดรับกับปรัชญา “3 ประโยชน์” ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คือการทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ประชาชนและองค์กร การที่บริษัทฯ ไปทำธุรกิจในประเทศใดก็ตาม ต้องไปสร้างสรรสิ่งที่ดี นำเทคโนโลยีที่ดี ผลิตสินค้าที่ดี เพื่อให้คนในสังคมได้รับประทานอาหารที่สะอาด ปลอดภัย อร่อย มีคุณค่าโภชนาการ ควบคู่ดูแลสภาพแวดล้อมและสังคมให้ดี ส่งผลให้บริษัทได้ประโยชน์ด้วย
ด้วยปรัชญา “3 ประโยชน์” ของเครือซีพี เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทในเครืออย่าง CPF หรือ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในบริษัทของไทยที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นธุรกิจที่ยั่งยืน
ซีพีเอฟได้วางกลยุทธ์ความยั่งยืนภายใต้แนวคิด “อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่” โดยกำหนดเป้าหมายระยะสั้น กลาง และระยะยาวคือการใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้องกับแต่ละหน่วยธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการสูญเสีย ควบคู่การทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม แนวคิดดังกล่าวสอดแทรกการดำเนินธุรกิจทั้งหมด และบริษัทตั้งเป้าหมายโดยมีรายละเอียด ดังนี้
อาหารมั่นคง
สังคมพึ่งตน
ดินน้ำป่าคงอยู่
นายประสิทธิ์ ย้ำว่า ซีพีเอฟจะเดินหน้าสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ รองรับผู้บริโภคทั่วโลก มีการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมกันนี้ยังได้ส่งเสริมเกษตรกร คู่ค้า และสังคมให้เติบโตไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ซีพีเอฟดำเนินธุรกิจมากถึง 40 ประเทศทั่วโลก ยอดขายรวมกว่า 5.1 แสนล้านบาทในปี 2564 แบ่งสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 63% ในประเทศ 31% และส่งออก 6% ส่วนรายได้ตามผลิตภัณฑ์แบ่งเป็นธุรกิจอาหารสัตว์ 25% ธุรกิจการเลี้ยงสัตว์และแปรรูป 54% และธุรกิจอาหาร 21%
ด้วยลักษณะการประกอบธุรกิจที่ครอบคลุมทั่วโลกทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่อง ‘การตรวจสอบย้อนกลับ’ จากคู่ค้าและซัพพลายเออร์ต่างๆ ตั้งแต่ขั้นแรกคือเกษตรกร คู่ค้า โรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์ม โรงงานผลิตอาหาร กระทั่งบรรจุภัณฑ์ โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ภายใต้ชื่อ ‘iTrace Blockchain’ และปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) และระบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm)
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างการค้นหาเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อมาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ประกอบกับการจังหวะเวลาในการลงทุนเทคโนโลยีที่เหมาะสม
ตัวอย่างการนำเทคโนโลยี-นวัตกรรมมาประยุกต์ใช้จนเป็นผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของซีพีเอฟ ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์เนื้อทดแทนจากพืช ‘zero meat’ โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารซีพีเอฟ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ หรือผลิตภัณฑ์ไส้กรอกปลอดสารทาร์ ด้วยนวัตกรรมกรองควันคุณภาพดี โดยใช้ข้อมูลในการเรียงลำดับการใช้วัตถุดิบไปจนถึงระบบรมควัน
ขณะเดียวกันบริษัทก็ต้องดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและชุมชน ที่ผ่านมาซีพีเอฟสนับสนุนชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรตามแนวคิด ‘เกษตรกรคือคู่ชีวิต’ เพราะบริษัทมีพันธสัญญากับเกษตรกรรายย่อย (contract farming) และได้สร้างมาตรฐานให้เกษตรกรทำฟาร์มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย และกลุ่มเปราะบางเช่น เด็ก เยาวชนและผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังมีโครงการ CPF Restore the Ocean เป็นการสร้างความร่วมมือและลงมือทำ โดยสร้างความตระหนักสู่พนักงานในองค์กร เพื่อรักษาระบบนิเวศทางทะเล ด้วยการลดปริมาณขยะในทะเลและขยะชายฝั่ง และนำมาจัดการอย่างถูกวิธี ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่านกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ กิจกรรมกับดักขยะทะเล กิจกรรมเก็บขยะชายหาด กิจกรรมเก็บขยะท่าเรือ (โครงการขยะคืนฝั่ง และกิจกรรมขยะดีมีค่า)
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของซีพีเอฟจนทำให้ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่ม ESG100 และแสดงให้เห็นว่า ESG เป็นหน้าที่ของทุกคนและทุกองค์กร และ ESG เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนให้ธุรกิจ สังคมและประเทศ