ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > ttb analytics > ttb analytics คาดธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปี’65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากสินเชื่อรายย่อยและSMEs

ttb analytics คาดธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปี’65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากสินเชื่อรายย่อยและSMEs

24 พฤศจิกายน 2021


ttb analytics คาดการณ์แนวโน้มธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปี 2565 ฟื้นตัวต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนการเติบโตของสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อ SMEs

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในปี 2565 มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนภาคเอกชน โดยคาดว่าสินเชื่อโดยรวมมีแนวโน้มขยายตัวได้ 5.5% ในขณะที่เงินฝากมีทิศทางเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและการปรับเปลี่ยนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ

ส่วนด้านคุณภาพสินเชื่อโดยรวมยังทรงตัวอยู่ในระดับ 3.0% ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายการปรับโครงสร้างหนี้ (debt restructuring) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทั้งนี้ ประเมินอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมคงที่อยู่ในระดับต่ำ จากการปรับลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทรงตัวในปี 2565

แนวโน้มสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในปี 2565 มีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของสินเชื่อทั้งภาคธุรกิจและรายย่อย ในภาพรวมสินเชื่อธุรกิจ พบว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่มีแนวโน้มขยายตัว 4.2% นำโดยสินเชื่อภาคการผลิต และ ภาคก่อสร้าง ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน EEC มาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI และการค้าระหว่างประเทศที่เติบโตดี ส่วนสินเชื่อธุรกิจ SMEs คาดการณ์เติบโตที่ 4.5% จากหลายปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีของธุรกิจภายหลังการเปิดประเทศ ความต้องการสภาพคล่องเพื่อกลับมาดำเนินธุรกิจ รองรับอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รวมถึงแรงสนับสนุนของสินเชื่อฟื้นฟูของ ธปท. และสถาบันการเงินของรัฐ โดยสินเชื่อ SMEs ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปีหน้า ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งออนไลน์ ธุรกิจการผลิตเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านอาหาร สุขภาพ เกษตรแปรรูป และ บริการด้านธุรกิจดิจิทัล เป็นต้น

สินเชื่อรายย่อยมีแนวโน้มฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น คาดการณ์การเติบโตปี 2565 ที่ 6.5% จากการฟื้นตัวของสินเชื่อในทุกหมวดหมู่ ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ และ สินเชื่อส่วนบุคคล โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัย มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น 7% จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อภายในประเทศที่ได้รับผลบวกจากการผ่อนปรนมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) และกำลังซื้อจากต่างประเทศที่กลับมาพร้อมกับการเปิดประเทศ ส่วนสินเชื่อรถยนต์มีแนวโน้มฟื้นตัวจากอุปสงค์คงค้าง (Pend up demand) จากปี 2564 โดยเติบโต 4% และในปี 2565 การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนจะช่วยสนับสนุนให้สินเชื่อส่วนบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 8.5%

ด้านคุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มทรงตัวระดับเดิม จากนโยบายส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ของ ธปท. ที่ขยายเวลาการใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้นและกันเงินสำรองอย่างยืดหยุ่นไปจนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อให้ธนาคารสามารถให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการเปลี่ยนโครงสร้างสินเชื่อจากระยะสั้นเป็นระยะยาวร่วมกับการปรับโครงสร้างหนี้วิธีอื่น ๆ โดยคาดการณ์ว่าอัตราส่วนยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ในปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 3.0% ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงปี 2564 ในระดับ 3.1%

ในส่วนอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมปี 2565 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2564 เนื่องจากคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ระดับ 0.50% ต่อเนื่องตลอดปี 2565 เพื่อเป็นการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับ ธปท. ได้ขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือร้อยละ 0.23 จากร้อยละ 0.46 ต่อปี ออกไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถส่งผ่านการลดต้นทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง

เงินฝากในปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวได้ 3.0% ลดลงเล็กน้อยจากประมาณการที่ 3.5% ในปี 2564 โดยปริมาณเงินฝากในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ยังคงเติบโตอยู่ที่ 6.5% แต่ชะลอลงจากปี 2564 ที่ขยายตัว 8.5% ตามแนวโน้มการบริโภคที่ฟื้นตัวได้เร็วหลังเปิดประเทศ ขณะที่ปริมาณเงินฝากบัญชีฝากประจำคาดว่าจะหดตัว 7% ในปี 2565 ซึ่งเป็นทิศทางที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 จากอัตราดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากประจำที่อยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวที่ 0.50% ตั้งแต่กลางปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้ผู้ฝากทั้งประชาชนและภาคธุรกิจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุน และเลือกลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทั้งนี้ในภาพรวม แนวโน้มเงินฝากที่ยังคงเติบโตในปี 2565 จะทำให้สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ในระดับสูงเกือบ 4 ล้านล้านบาท รวมทั้งการที่ยังคงมีเงินกองทุนในระดับสูง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยได้