เศรษฐกิจกัมพูชาเติบโตด้วยภาคการผลิตและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอัตรา 7% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ได้กำหนดทิศทางความก้าวหน้าของเศรษฐกิจด้วยการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนประเทศ
กัมพูชาเป็นหนึ่งในสมาชิก CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของอาเซียน ที่ประกอบไปด้วย 10 ประเทศสมาชิก คือ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม เนื่องจาก CLMV ถือเป็น Young Economy ที่เศรษฐกิจเริ่มพัฒนาได้ไม่นานนัก แต่กัมพูชามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ โดยขยายตัวเฉลี่ยในอัตราไม่ต่ำกว่า 7% นับตั้งแต่ปี 2537-2558 แม้ปี 2559 จะขยายตัวเพียง 6.9% แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และในปี 2560 นี้ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจกัมพูชายังคงเติบโตในอัตรา7%
ในช่วงปี 2537-2558 กัมพูชาเติบโตด้วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจในภาคการผลิต (Real Sector) และ Service Industry เป็นหลัก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและธุรกิจผลิตเสื้อผ้าส่งออก แต่ในระยะหลังกัมพูชาได้เปิดรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากขึ้น ที่สำคัญยังเป็นการเปิดเสรีการลงทุนอย่างเต็มที่แทบจะไม่มีข้อจำกัด ยกเว้นการถือครองที่ดินเพียงอย่างเดียวที่นักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้รับสิทธิ
ทำให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้กัมพูชาได้หันมาพัฒนาทางด้านการเงินมากขึ้น โดยได้จัดทำแผนแม่บทพัฒนาระบบการเงินฉบับแรก (Financial Sector Development Strategy 2006-2015) ขึ้นเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. (Securities and Exchange Commission of Cambodia: SECC) ขึ้นในปี 2551 และ 2 ปีต่อมามีการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งกัมพูชา (Cambodia Securities Exchange: CSX) โดยตลาดหลักทรัพย์เปิดการซื้อขายเป็นครั้งแรกในปี 2555
ปัจจุบันกัมพูชาได้จัดทำแผนแม่บทพัฒนาระบบการเงินฉบับที่ 2 (Financial Sector Development Strategy 2559-2568) ครอบคลุมทั้งภาคธนาคาร ประกันภัย และตลาดทุน โดยในส่วนของตลาดทุนนั้นจัดทำโดย SECC และจะเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาก่อนที่จะนำเสนอกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (Ministry of Economy and Finance: MEF)
นอกเหนือจากการพัฒนาตลาดทุน ซึ่งเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว กัมพูชายังได้ส่งเสริมผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาจากต่างประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจการเงินของประเทศอีกด้วย
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/07/thaipublica_image1_Sou-Socheat-620x465.jpg)
ผู้บริหารรุ่นใหม่ดีกรีนักเรียนนอก
“สำนักข่าวไทยพับลิก้า” ได้สัมภาษณ์ Sou Socheat เลขาธิการ ก.ล.ต. (Director General) กัมพูชา หนึ่งในผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มีส่วนร่วมในการวางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ถึงแนวทางการพัฒนาตลาดทุนเพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
Sou Socheat เล่าประวัติตัวเองว่า เป็นคนจังหวัดพระตะบอง ติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสเดินทางข้ามาฝั่งไทยเลย ในช่วงเด็กเล่าเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมที่บ้านเกิดก่อนจะมาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง พนมเปญ เมื่อเข้าเรียนเพียง 2 ปีได้รับทุนจากรัฐบาลให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส ทั้งระดับปริญญาตรีและโทด้านบริหารรัฐกิจ (Public Administration) สาขากฎหมาย
“การไปเรียนที่ฝรั่งเศส ถือเป็นการเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกของผม ด้วยทุนการศึกษาของรัฐบาล ซึ่งในช่วงนั้นนอกจากทุนรัฐบาลแล้วยังมีการให้ทุนการศึกษาจากหลายองค์กรที่เป็นองค์กรระหว่างประเทศ ปัจจุบันครอบครัวพ่อแม่ผมยังคงอยู่ที่พระตะบอง”
ในฐานะที่เป็นนักกฎหมาย Sou Socheat มองว่า กฎหมายคือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากการดำเนินการทุกด้านควรมีกรอบ กติกาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ กฎหมายก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการทำธุรกิจ และเป็นเครื่องมือในการคุ้มครองนักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศใด ก็ต้องศึกษาก่อนว่าประเทศนั้นมีกฎหมายหรือไม่ กฎหมายเป็นกติกาที่สำคัญในการคุ้มครองสัญญาธุรกิจ การทำสัญญาทางธุรกิจก็ต้องศึกษาข้อกฎหมายก่อนเสมอ
เมื่อสำเร็จการศึกษา Sou Socheat กลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยตามเงื่อนไขการใช้ทุน ต่อมาได้มาทำงานในกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังและมีโอกาสรับผิดชอบโครงการพัฒนาตลาดทุน ดังนั้น เมื่อมีการก่อตั้ง SECC จึงได้โยกมาสานงานต่อกับ SECC ในตำแหน่งรองเลขาธิการ ก่อนที่จะเข้าทำหน้าที่เลขาธิการเป็นคนที่สองนับจากก่อตั้ง
Sou Socheat มีความคุ้นเคยกับสื่อมวลชนเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะให้ข่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เนื่องจากมองว่า สื่อมวลชนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาตลาดทุน เพราะเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับนักลงทุนในสิ่งที่ SECC กำลังดำเนินการ แนวทางนโยบายการพัฒนาตลาดทุน รวมถึงสิ่งที่ได้ผลักดันให้เสร็จสิ้น
“ผมคุ้นเคยกับสื่อมวลชนเป็นอย่างดี เพราะถือว่าเป็นงานของผม การที่จะผลักดันให้ตลาดทุนเติบโตได้ต้องอาศัยสื่อมวลชน ผมจึงเปิดกว้างพร้อมทั้งสนับสนุนทีมงาน SECC ในการพูดคุยสัมภาษณ์กับสื่อเพื่อที่จะให้ข้อมูลในการนำเสนอต่อนักลงทุนว่า SECC กำลังจะทำอะไร มีแผนงานที่จะพัฒนาตลาดทุนอย่างไร แผนพัฒนานักลงทุนอย่างไร รวมทั้งสิ่งที่เราผลักดันให้แล้วเสร็จ”
จับ CLMV ผนึกไทยพัฒนา
Sou Socheat เปิดเผยว่า ในปี 2559 SECC ประสบความสำเร็จในการให้ความเห็นชอบการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อเข้าจดทะเบียนใน CSX จำนวน 1 บริษัท ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในอาเซียนถือว่าไม่มาก เนื่องจากไม่ต้องการที่จะเร่งการเติบโตของ CSX แต่ต้องการที่จะพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป CSX เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ตั้งมาไม่นาน SECC จึงไม่สามารถเร่งอนุมัติ IPO ครั้งละ 3-4 บริษัทได้
Sou Socheat กล่าวว่า CSX ยังต้องเรียนรู้อีกมาก จากทุกภาคส่วน ทั้งจากโบรกเกอร์ จากตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค ด้วยการเข้าร่วมในการประชุมหรือเวทีการหารือในระดับอาเซียนและระดับภูมิภาค นอกจากนี้ CSX เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่งจัดตั้ง เช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ลาว เมียนมา เวียดนาม จึงได้จัดตั้งเวทีหารือระหว่างกัน มีผู้บริหารรุ่นใหม่เข้าร่วมเพื่อหาแนวทางพัฒนาตลาดทุนไปร่วมกัน
“เวทีการหารือของพวกเรายังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในตลาดทุนจากประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์พัฒนาไปมากแล้ว เช่น ไทย มาเลเซีย เพื่อแบ่งปันแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็น ซึ่งช่วยให้เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการพัฒนาตลาดทุน นอกจากนี้เรายังมีเวที CLMVT ที่ผนวกไทยเข้ามาในกลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นการริเริ่มด้วยความร่วมมือของกัมพูชากับไทย”
Sou Socheat กล่าวว่า กัมพูชาได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจแบบทวิภาคีกับไทยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเชื่อมโยงของตลาดหลักทรัพย์ในทั้งสองประเทศ เพราะเห็นว่านักลงทุนของทั้งกัมพูชาและไทยมีความสนใจที่จะลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของอีกฝ่าย นอกจากนี้เพื่อส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนกัมพูชา SECC ยังได้ลงนามกับอีกหลายประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (The Greater Mekhong sub-region)
Sou Socheat กล่าวว่า การพัฒนาตลาดทุนกัมพูชา ต้องการเงินทุนจากต่างประเทศเช่นเดียวกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องการเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ CSX จึงเปิดรับนักลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน ปัจจุบันมีนักลงทุนในประเทศจำนวนมากแต่ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย
“เราเรียนรู้จากประเทศไทยและมาเลเซียว่า ตลาดทุนจะเติบโตได้อีกมากจากการที่นักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในตลาด นักลงทุนในประเทศของเรามี แต่ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย เราจึงต้องการนักลงทุนสถาบันจากต่างประเทศ เพราะเราต้องการเงินทุน ตลาดทุนจะเติบโตไม่เร็วหากไม่มีนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนจากต่างประเทศ และเราก็เปิดกว้างสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศ”
ปัจจุบันนักลงทุนในกัมพูชามีทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อย แต่ 90% เป็นรายย่อย นักลงทุนสถาบันมีสัดส่วนน้อยจึงต้องเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันให้มากขึ้น เพราะนักลงทุนสถาบันมีส่วนช่วยให้ตลาดทุนเติบโตและมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ทุกแห่งก็มองเห็นถึงประเด็นนี้จึงต้องการดึงนักลงทุนสถาบันโดยเฉพาะจากต่างประเทศ
กัมพูชาและไทยจึงได้ร่วมมือกันในการพัฒนาตลาดทุน เพราะตลาดทุนของทั้งสองประเทศจะได้เติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดทุนของภูมิภาคมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากว่าปัจจุบันอาเซียนไม่ได้แข่งขันกันเองแต่เป็นการจับมือกันเพื่อแข่งขันกับภูมิภาคอื่นในการดึงเงินทุนจากทั่วโลกเข้ามา ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเสริมความแข็งแกร่งของตลาดทุนทั้งภูมิภาคเพื่อดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ
สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการจะลงทุนในตลาดทุนกัมพูชา สามารถเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ได้อย่างสะดวก โดยสามารถเดินทางเข้ามาเปิดบัญชีด้วยตัวเองหรือใช้ช่องทางออนไลน์ในการติดต่อกับโบรกเกอร์ เพียงแต่นักลงทุนต้องขอ ID จาก SECC ก่อน เมื่อได้ Investors ID แล้วก็สามารถซื้อขายหุ้นได้ในวันถัดไป โดยการขอ Investor ID นั้นนักลงทุนสามารถขอได้โดยตรงหรือจะให้โบรกเกอร์ขอให้ก็ได้
Sou Socheat ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การลงทุนโดยตรงของต่างประเทศในกัมพูชาก็ไม่มีข้อจำกัดสำหรับนักลงทุนเช่นกัน กัมพูชาเปิดเสรีการลงทุนให้นักลงทุนต่างชาติ โดยนักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้เต็ม 100% สามารถนำเงินดอลลาร์เข้ามาลงทุนได้ และเมื่อต้องการส่งกำไรกลับเป็นเงินดอลลาร์ก็ทำได้อย่างไม่มีข้อจำกัดเช่นกัน เนื่องจากกัมพูชาเป็นประเทศที่ใช้เงินดอลลาร์เป็นหลัก
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/07/thaipublica_image2_Sou-Socheat-620x465.jpg)
ใช้ Mobile Trading สิ้นปีนี้
Sou Socheat เปิดเผยว่า เพื่อที่จะดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น ดังนั้นในสิ้นปีนี้ CSX จะเปิดให้นักลงทุนซื้อขายผ่านโทรศัทพ์มือถือ (Mobile Trading) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบและทดลองใช้ของ CSX กับโบรกเกอร์ ซึ่ง Mobile Trading นี้จะช่วยให้นักลงทุนรายย่อยซื้อขายหลักทรัพย์ได้สะดวกขึ้น
“เราเรียนรู้การใช้ Mobile Trading จากตลาดหลักทรัพย์ไทย จึงพัฒนาระบบขึ้นเพื่อช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถซื้อขายได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้มีการซื้อขายของนักลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ Mobile Trading จะสามารถให้บริการได้ ขณะนี้ CSX และโบรกเกอร์กำลังร่วมกันพัฒนา เมื่อระบบเสร็จสมบูรณ์ก็จะเสนอ SECC ให้พิจารณาต่อไป”
ปัจจุบันชั่วโมงซื้อขายของ CSX มีเพียงเฉพาะช่วงเช้าเปิดตั้งแต่เวลา 08.00-11.30 น. มีบริษัทจดทะเบียน 5 ราย ได้แก่ Sihanoukville Autonomous Port, Phnom Penh SEZ Plc., Phnom Penh Autonomous Port, Grand Twin International (Cambodia), Phnom Penh Water Supply Authority มีบริษัทหลักทรัพย์และที่ปรึกษาการลงทุนรวม ราย โดย ได้เป็น Securities Underwriters จำนวน 6 ราย Securities Dealers 1 ราย Securities Brokers 3 ราย Investment Advisors 2 ราย Derivative Broker 6 ราย และ Central Counterparty 4 ราย
ตั้งโครงการอบรมชวน SME เข้าตลาด
โดยที่ CSX ยังเป็นตลาดหลักทรัพย์ใหม่ มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 5 บริษัท ซึ่ง 3 บริษัทเป็นรัฐวิสาหกิจ จึงยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าในระยะต่อไป บริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไร แต่ Sou Socheat กล่าวว่า จะพยายามส่งเสริมให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดมากขึ้น โดยในปีนี้จะผลักดันให้เข้าจดทะเบียน 1 บริษัท และในปี 2561 อีก 2-3 บริษัท แต่จะไม่ใช่บริษัทใหญ่ทั้งหมด โดย 1-2 รายเป็นบริษัทใหญ่ แต่ที่เหลือเป็นธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (SME)
CSX มี 2 ตลาด ประกอบด้วย Main Board and Growth Board โดยบริษัทที่จะจดทะเบียนใน Main Board ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านเรียล ปีสุดท้ายและกำไรสุทธิก่อนยื่นจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านเรียลติดต่อกัน 2 ปี ส่วน Growth Board ซึ่งรองรับ SME เข้าจดทะเบียน กำหนดทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านเรียล และต้องมีกำไรสุทธิ หรือมีกระแสเงินสดเป็นบวกในปีสุดท้ายก่อนยื่น
Sou Socheat กล่าวว่า SECC ยังส่งเสริม บริษัททั่วไปและ SME ในกัมพูชา ให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จึงได้จัดทำโครงการ Excellence Program ให้ความรู้แก่บริษัททั่วไปและ SME โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนชั้นนำของไทยและนักธุรกิจำชั้นนำมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ในการใช้ตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ
“เราเริ่ม Excellence Program เพื่อสนับสนุนให้ SME ธุรกิจในกัมพูชารับรู้เกี่ยวกับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ว่าจะส่งผลดีและมีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร ซึ่งรูปแบบโครงการจะเป็นการสัมมนา 3 วัน มีการบรรยายจากนักธุรกิจและผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนชั้นนำจากไทยและกัมพูชา และมี in-house training อีก 2 เดือน ด้วยการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อทำเวิร์กชอปที่มีโบรกเกอร์คอยดูแล”
www.secc.gov.kh ให้ข้อมูลผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนไทยที่เข้าร่วม Excellence Program ได้แก่ นายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพีเอฟ, นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธาน บมจ.คาราบาวกรุ๊ป, นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท. และนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธาน บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ที่ขยายบริการที่ปรึกษาการลงทุนครอบคลุม CLMV
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/07/thaipublica_image5_Sou-Socheat-620x465.jpg)
เปิดแผนพัฒนาระยะ10 ปี
ปัจจุบันภาคธนาคารยังคงเป็นกลไกหลักในระบบเศรษฐกิจ ตลาดทุนไม่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อแข่งขันกับภาคธนาคาร แต่ต้องใช้ระบบธนาคารที่มีอยู่มาสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน โดย Sou Socheat กล่าวว่า SECC ชี้ให้เห็นตลอดมาว่า ตลาดทุนเป็นอีกแหล่งระดมทุนสำหรับธุรกิจที่ทั่วไปมักใช้เงินกู้จากธนาคาร แต่หากไม่ได้เงินกู้จากธนาคาร ตลาดทุนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณา
“เราต้องส่งเสริมให้ระบบธนาคารมีการพัฒนา และใช้ระบบธนาคารที่แข็งแกร่งนั้นมาสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน ปัจจุบันนี้ธนาคารเองก็มีส่วนในการพัฒนาตลาดทุน เพราะเรามีธนาคารเป็น Settlement Agent อยู่ 3 ราย และกำลังอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตจาก SECC อีก 1 ราย”
มูลค่าตลาดหลักทรัพย์ (Market Capitalization) ของ CSX ยังไม่ถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีนักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์รวม 80,000 บัญชี แต่เป็นบัญชีที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว (active) นัก ด้วยเหตุนี้ในการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาระบบการเงินฉบับที่ 2 ระหว่างปี 2559-2568 จึงบรรจุการพัฒนาตลาดทุนเข้าไว้ด้วย โดยที่การพัฒนาตลาดทุนนั้นจะมีแผนปฏิบัติงานรายปีประกอบเพื่อใช้เป็นแนวทางการทำงานอีกด้วย
Sou Socheat กล่าวว่า แผนแม่บทพัฒนาระบบการเงินฉบับแรกนั้นมีเป้าหมายเพื่อจัดตั้งตลาดทุน แต่แผนแม่บทพัฒนาระบบการเงินฉบับนี้มุ่งพัฒนาและยกระดับตลาดทุน โดยมองว่าในการพัฒนาตลาดทุนนั้นจำเป็นที่ต้องมีบริษัทจดทะเบียนและนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น SECC จึงดำเนินการในหลายด้านเพื่อชักชวนให้ธุรกิจเข้ามาจดทะเบียน รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเพื่อให้หันมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้นักลงทุนที่มีบัญชีอยู่แล้วซื้อขายให้มากขึ้น
“แผนของเรามีเรื่องสำคัญหลัก คือ ชวนธุรกิจให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น ขณะเดียวกันให้ความรู้แก่นักลงทุนถึงข้อดีในการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดทุน สร้างการรับรู้เกี่ยวกับตลาดทุนให้กับประชาชนทั่วไป รวมไปถึงจะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งหากประสบความสำเร็จในเป้าหมายหลักนี้ก็จะทำให้ตลาดทุนกัมพูชาขยายตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้ต้องใช้เวลา เพราะต้องแสดงให้เห็นถึงข้อดีของตลาดทุนก่อน ”
ทางด้านนักลงทุนนั้น ยังไม่ค่อยมีการซื้อขายกันมากนัก เนื่องจากตลาดทุนยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักลงทุน จึงยังไม่มีความรู้ความเข้าใจถึงข้อดีของตลาดทุนมากพอ อย่างไรก็ตามการให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนต้องทำทั้งสองด้านควบคู่กันไป คือ ทั้งบริษัททั่วไปและนักลงทุน เพราะบริษัทมองว่าไม่มีนักลงทุนจึงไม่น่าสนใจที่จะเข้าจดทะเบียน ส่วนนักลงทุนมองว่าจำนวนบริษัทจดทะเบียนมีน้อย ตลาดไม่มีสภาพคล่องจึงไม่สนใจลงทุน
นอกจากนี้ สินค้ามีเพียงประเภทเดียว คือ หุ้น ยังไม่มีสินค้าอื่นให้นักลงทุนได้ลงทุน ดังนั้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้สนใจลงทุนในตลาดทุนมากขึ้น ต้องเพิ่มประเภท (sector) ของบริษัทจดทะเบียนให้มากขึ้น จากที่มีอยู่ 5 บริษัทกระจุกอยู่ใน sector เดียวคือโครงสร้างพื้นฐาน โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารเข้าไป
“เราต้องกระจายบริษัทจดทะเบียนให้มีหลาย sector มากขึ้น ตามที่ได้เรียนรู้จากตลาดอื่น อสังหาริมทรัพย์และธนาคาร เป็น sector ที่นักลงทุนส่วนใหญ่สนใจ ดังนั้นเราต้องชักชวนบริษัทใน sector นี้เข้ามาจดทะเบียน ขณะนี้มี 2 บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ 1 บริษัทการเงินให้ความสนใจที่จะเข้ามาจดทะเบียน ซึ่งอาจจะเป็นในปี 2561
Sou Soucheat กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ในกัมพูชามีขนาดใหญ่พอที่จะมาเข้ามาจดทะเบียนได้ แต่จะจดทะเบียนหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคารโดยตรง SECC เพียงชี้ให้เห็นว่า การเข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุนของธนาคารพาณิชย์จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั่วไป เพราะตลาดทุนไม่เพียงเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งที่สร้างความเชื่อมั่นจากประชาชนทั่วไปได้อีกด้วย
บริษัทจดทะเบียนใน CSX จะได้รับสิทธิทางภาษี โดยจะเสียภาษีในอัตรา 10% เป็นระยะเวลา 3 ปี จากอัตราปกติ 20% ทั้งนี้เพื่อเสริมขีดความสามารถของบริษัทจดทะเบียนให้สามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นในภูมิภาคได้
เร่งตั้งตลาดตราสารหนี้เสริมแกร่ง
ตลาดทุนที่ก่อตั้งขึ้นนั้นยังไม่มีขนาดใหญ่พอที่จะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่อย่างน้อยกัมพูชาสามารถแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่ากัมพูชามีตลาดทุน การที่ตลาดทุนจะเติบโตได้ต้องมีบริษัทจดทะเบียน และต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่จะมีผลต่อ Market Capitalisation เพื่อดึงดูดนักลงทุน แต่ SECC ยังคงพัฒนาตลาดทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
ตลาดทุนที่พัฒนาตามแผนแม่บทพัฒนาระบบการเงินฉบับที่สองสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก เพราะ Market Capitalisation ยังไม่สูง เทียบกับ GDP แล้วมีสัดส่วนที่น้อยมาก ทั้งนี้ เศรษฐกิจของกัมพูชาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งไม่มีตลาดทุนนั้นก็สามารถเติบโตได้สูงในอัตรา 7% แต่ในระยะต่อไป SECC มีแผนที่จะจัดตั้งตลาดตราสารหนี้ ซึ่งขณะนี้กำลังร่างระเบียบเพื่อการกำกับดูแล ก่อนที่จะนำเสนอคณะกรรมการให้พิจารณาต่อไป โดยคาดว่าจะให้ความเห็นชอบภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ SECC ยังทำงานร่วมกับไทยในการจัดทำมาตรฐานของการเข้าจดทะเบียน 2 ตลาด หรือ Dual-listing เพื่อรองรับบริษัทจดทะเบียนของกัมพูชาและไทยที่สนใจจะจดทะเบียนแบบ Dual-listing โดยสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ของทั้งสองประเทศต้องจัดทำกระบวนการและกฎเกณฑ์ของการเข้าจดทะเบียน Dual-listing ให้เหมือนกัน เพื่อให้การกำกับดูแลมีมาตรฐาน ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วไปของทั้งสองประเทศ
ในเร็วๆ นี้ SECC จะจัดให้มีการประชุมร่วมกับ ก.ล.ต. ไทยที่กัมพูชา เพื่อหารือเกี่ยวกับการวางกฎเกณฑ์การจดทะเบียนแบบ Dual-listing โดยไทยได้กำหนดกฎเกณฑ์บริษัทจดทะเบียนที่จะเข้าจดทะเบียนแบบ Dual-listing ว่าจะต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท หลังเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน และมีกำไรสุทธิปีล่าสุดก่อนยื่นคำของไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2017/07/thaipublica_image4_Sou-Socheat-465x620.jpg)
เรียนรู้จากตลาดใหญ่อาเซียน
มองไปข้างหน้า สิ่งที่ท้าทายสำหรับ SECC ในความคิดเห็นของ Sou Socheat คือ ไม่เพียงแค่การชักชวนให้บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุน แต่ยังเป็นการแข่งขันกับตลาดทุนอื่นๆ ด้วย เพื่อทำให้ตลาดทุนของกัมพูชาเติบโต แน่นอนว่าบริษัทหรือธุรกิจที่ยังไม่รู้จักและเข้าใจตลาดทุนนั้นย่อมกังวลต่อการแข่งขันจากคู่แข่งในตลาดอื่นเช่นกัน SECC จึงต้องทำให้บริษัทมั่นใจต่อการเข้าจดทะเบียนที่จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน เช่นเดียวกับนักลงทุนที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นในการที่จะนำเงินมาลงทุน
Sou Socheat กล่าวว่า กัมพูชาเรียนรู้จากการพัฒนาตลาดทุนของประเทศ เช่น ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ที่ได้ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจการเงินมาหลายระลอก ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้จากตลาดทุนอื่นนำช่วยให้เส้นทางการพัฒนาตลาดทุนของกัมพูชาสั้นลง เพราะไม่ต้องเริ่มต้นที่จุดตั้งต้นเหมือนกับตลาดอื่น ซึ่งจะทำให้ตลาดทุนกัมพูชาเติบโตไปอย่างรวดเร็วได้
การจัดตั้งตลาดทุนกัมพูชาในระยะแรก เป็นการเรียนรู้จากสิ่งที่บันทึกไว้ ส่วนใหญ่เป็นในด้านกฎเกณฑ์ ควบคู่กับการให้คำปรึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุน พร้อมๆ กับการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง และเมื่อสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กัมพูชาได้มีการจัดตั้งขึ้นแล้ว SECC ก็ได้เข้าร่วมการประชุมและเวทีสัมมนาต่างๆ ในระดับภูมิภาคและอาเซียน ทำให้ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นในการพัฒนาตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง
“เราเรียนรู้จากไทย มาเลเซีย ว่าพัฒนาอย่างไรในระยะแรก รวมทั้งตลาดทุนในประเทศอื่นด้วย เรียนรู้ทั้งข้อผิดพลาดและสิ่งดีๆ ในตลาดอื่น แต่เราเลือกใช้เฉพาะสิ่งดีมาพัฒนาตลาดทุนของเรา ตัวอย่างเช่น เราเรียนรู้จากไทยในการพัฒนา Mobile Trading และการดึงดูดนักลงทุนสถาบันต่างประเทศให้เข้ามาลงทุน ซึ่งการพัฒาในไทยเป็นแบบตามขั้นตอน แต่สำหรับกัมพูชาไม่เริ่มต้นจากการเคาะกระดานซื้อขายแบบเดิม แต่เริ่มจากกระดานอิเล็กทรอนิกส์เลย จึงพัฒนาได้ในระยะสั้น การเรียนรู้จากตลาดอื่นทำให้การพัฒนาตลาดทุนของเราย่นระยะเวลาได้มาก ประกอบกับยุคนี้มีการพัฒนา FinTech เกิดขึ้น ทำให้การพัฒนาตลาดทุนก้าวข้ามการพัฒนาตามขั้นตอนเดิมไปได้”
จากการศึกษาการพัฒนาตลาดทุนอื่นที่ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจการเงินตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 หรือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์สหรัฐฯ ในปี 2551 Sou Socheat กล่าวว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาตลาดทุนทั่วโลกต่างผ่านมาหลายสภาวะ ทั้งในด้านไม่ดีและด้านดี ซึ่งประสบการณ์ในด้านไม่ดีนั้นก็ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ส่วนประสบการณ์ดีและคิดว่าดี บางครั้งก็มีผลผลต่อตลาดก็เป็นได้
“บางครั้งประสบการณ์ในด้านร้ายก็มีส่วนช่วยให้ตลาดเติบโตได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งประสบการณ์ในทางดีก็มีผลให้ตลาดเติบโตช้าก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกให้ตลาดโตเร็วแต่เต็มไปด้วยปัญหาหรือโตช้าแต่มีเสถียรภาพ บางครั้งประสบการณ์ในด้านร้ายก็กลับเป็นข้อได้เปรียบของตลาด สำหรับเราแล้วโตช้าแต่มั่นคงจะดีกว่าเพราะจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ดี”