ThaiPublica > ThaiPublica Channel > “กรณ์ จาติกวณิช” อีกก้าวกับ “Dare to do – กล้าลุย ไม่กลัวล้ม”

“กรณ์ จาติกวณิช” อีกก้าวกับ “Dare to do – กล้าลุย ไม่กลัวล้ม”

14 มีนาคม 2015


เปิดตัวหนังสือกรณ์_1

“กรณ์ จาติกวณิช” ผู้ก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัยเพียง 24 ปี แต่ไม่ได้ยึดติดในความเป็นเจ้าของ ขายทิ้งให้สถาบันการเงินต่างประเทศ วางมือจากนักการเงิน ก่อนก้าวสู่เวทีการเมือง สมัครส.ส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

จากนักการเงิน นักการเมือง สู่การเป็นนักเขียน “Dare to do-กล้าลุย ไม่กลัวล้ม”

“กรณ์ จาติกวณิช” เล่าว่าลงพื้นที่เก็บข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งมีนักธุรกิจจากหลากหลายวงการ ตั้งแต่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เซียนพระ เซียนหุ้นมาจนถึงแม่ค้าขายหมูทอด รวม 12 คน นำมาถอดเป็นบทเรียนการก่อตั้งธุรกิจอย่างเข้มข้น อาทิ คุณกุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ เจ้าของร้านขนมชื่อดัง “After You”,คุณณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ เจ้าของแอปพลิเคชั่น Ookbee อีบุ๊คอันดับ 1 ของเมืองไทยที่มียอดสมาชิกถึง 5 ล้านราย และ คุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม กูรูเรื่องการลงทุน เจ้าของพอร์ตหลักทรัพย์มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Stock2morrow

12 มีนาคม 2558 “กรณ์ จาติกวณิช” เปิดตัวหนังสือ “Dare to do กล้าลุย ไม่กลัวล้ม” โดยเล่าถึงแรงบันดาลใจของหนังสือเล่มนี้ว่า”จริงๆตอนแรก ผมอยากจะเขียนเองทั้งเล่ม แต่พอมาคิดทบทวนอีกครั้ง มันอาจจะได้มุมมองที่แคบเกินไป เพราะมันเป็นประสบการณ์ในการทำธุรกิจของผม เมื่อ 20 ปีก่อน แต่ปัจจุบันโลกพัฒนาไปไกลมากแล้ว”

กรณ์เล่าว่ารูปแบบการนำเสนอ มันเป็นการผสมผสานกันหลากหลายมิติ บางส่วนมาจากตำราเรียน บางส่วนมาจากประสบการณ์ของผมเอง แต่ส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ของนักธุรกิจรุ่นใหม่ โดยผมนำมาถอดเป็นบทเรียน โดยใช้ประสบการณ์ของผมวิเคราะห์ความสำเร็จของนักธุรกิจรุ่นใหม่ เมื่ออ่านครบทั้ง 12 คน รวมทั้งประสบการณ์ของผมด้วย เชื่อว่าผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ คงจะได้มุมมองอะไรบ้าง แต่สุดท้ายผู้อ่านต้องคิดเองว่าจะอ่านเพื่อเป็นตำราเรียนก็ได้ อ่านเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ หรือ อ่านเพื่อริเริ่มกิจการใหม่ๆ

กรอบการคัดเลือกนั้น ทีมงานของผมเสนอรายชื่อขึ้นมากว่า 100 คน จากนั้นก็มาพิจารณาว่านักธุรกิจหนุ่ม สาว ที่ประสบความสำเร็จคนไหน นำมาถอดบทเรียนแล้วน่าสนใจ ผู้อ่านจะได้ประโยชน์อะไร และในที่สุดก็ได้กิจการที่มีความหลากหลาย อย่างเช่น กิจการอีอุ๊คของคุณณัฐวุฒิ ที่ถือว่าเป็นธุรกิจที่ทันสมัยที่สุดในยุคนี้ และก็มีแม่ค้าขายข้าวแกงในเขตคลองเตย ขายข้าวแกงให้กับคนยากจน ล่าสุดผมเดินทางไปเป็นประธานเปิดร้านขายข้าวแกง สาขาที่ 7 ที่ศูนย์การค้ายานถนนเทพารักษ์

ยังมีกิจการของดร.สมไทย วงษ์เจริญ ผู้เปลี่ยนขยะให้เป็นเงิน หรือ ที่เรียกว่ารีไซเคิลรายใหญ่ที่สุดของเมืองไทยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก รวมทั้งเซียนพระที่คนในวงการรู้จักกันดีในนามของ “บอย ท่าพระจันทร์” ซึ่งเป็นเพื่อนของลูกชายภรรยาผม คุณบอยสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากเด็กวัด แต่มาวันนี้เป็นกูรูของวงการพระเครื่อง ในวงการพระเครื่องนั้นเป็นธุรกิจที่ผมไม่มีความรู้เลย ผมเติบโตมาจากวงการหุ้น มีสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีผู้ตรวจสอบบัญชีประเมินราคาทรัพย์สิน แต่ในวงการพระไม่มีอะไรการกำหนดกติกาอะไร ตรวจสอบกันเอง ราคากำหนดกันเอง แต่เมื่อผมได้สนทนากับคุณบอยก็ทราบทันที่ว่าเขาเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ จึงนำประวัติของเขาเขียนลงในหนังสือเล่มนี้ด้วย

คุณกุลพัชร์ หรือ “คุณเมย์” ทีมงานของผมไม่เคยรู้จักขนมภายใต้แบรนด์ After You มาก่อน แต่บังเอิญผมรู้จักคุณพ่อของคุณเมย์ แต่ก็รู้สึกว่า คุณเมย์เป็นลูกสาวคนรวยคนหนึ่ง หากนำประสบการณ์การทำธุรกิจมานำเสนอมีอะไรน่าสนใจหรือ ทางทีมงานผมยืนยันว่าต้องไปนั่งคุย พอผมได้ไปพูดคุยกับคุณเมย์ ก็รู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ทั้งวิธีคิด และวิธีปฏิบัติมีหลายเรื่องเป็นบทเรียนที่น่าสนใจ สำหรับคนที่คิดจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

การได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ ทำให้ผมคิดย้อนกลับไปในช่วงที่เป็นวาณิชธนากร ต้องออกไปสัมภาษณ์ พบปะลูกค้า เพื่อชักชวนให้เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บางกรณีก็ต้องศึกษาวิเคราะห์ทิศทางการดำเนินธุรกิจ และประเมินความเสี่ยงในการลงทุนของกิจการแต่ละประเภท

กรณ์ จาติกวณิช

“การที่ผมได้สัมภาษณ์นักธุรกิจรุ่นใหม่ครั้งนี้ เสมือนผมได้กลับไปเป็นวาณิชธนากรหนุ่มอีกครั้ง ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆของผม เติมเต็มในสิ่งที่ผมขาด ผมไม่มีความรู้ และไม่รู้จักใครในวงการอินเทอร์เน็ต ไม่เคยรู้จัก “Ook Bee” มาก่อน พอได้ยินก็ตกใจ มีลูกค้าสมาชิกถึง 5 ล้านคน ประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการทำหนังสือเล่มนี้ ผมมีความรู้สึกว่าผมได้ใช้เวลาช่วงนี้ เติมเต็มในสิ่งที่ผมขาดหายไป ช่วงที่ทำงานการเมืองจะเน้นเรื่องการพูด ทำให้ขาดโอกาสในการเรียนรู้จากการรับฟัง ดังนั้นช่วงนี้ว่าง จึงมีเวลามารับฟังคนอื่นได้”

ข้อคิดที่ผมได้รับจากการถอดบทเรียนนักธุรกิจรุ่นใหม่ คือ โอกาสในการสร้างเนื้อ สร้างตัว ยังมีอีกมาก แต่คนเรามักจะคิดว่า โอกาสเป็นของคนอื่น เห็นคนอื่นลงมือทำแล้วรวย ก็เสียดาย หากคิดแบบเขา เราก็รวยไปแล้ว จริงๆโอกาสมันมีอยู่ตลอดเวลา แต่ที่สำคัญ “คุณรู้หรือไม่ว่ามันคือโอกาส” และเมื่อคุณรู้แล้ว “คุณกล้าหรือไม่ที่จะไขว่คว้ามัน” ตรงนี้คือหัวใจของการเป็น “entreprenure” ที่ดี

แต่ผมอยากชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญที่ได้จากการสัมภาษณ์นักธุรกิจรุ่นใหม่ทั้ง 12 คน คือทุกคนล้วงเป็นคนเก่งเฉพาะทาง แต่ไม่ใช่คนวิเศษ ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด คนที่เก่งกว่านักธุรกิจที่ผมสัมภาษณ์มีอีกมากมาย แต่มีน้อยคนที่จะประสบความสำเร็จเทียบเท่าคนที่ผมไปสัมภาษณ์

“คำถามว่า.. ทำไมคนเหล่านี้ถึงประสบความสำเร็จ ผมและทีมงานจึงต้องทำการวิเคราะห์ และนี่คือที่มาของชื่อหนังสือ Dare to do เป็นเพราะเขากล้าทำ ไม่กลัวความล้มเหลว และไม่มีใครอยากล้มเหลว แต่เมื่อล้มเหลวแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะลุกขึ้นมา และเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง นี่คือส่งที่เรียนรู้และสัมผัสได้”