
นางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงผลสำรวจ The Global State of Information Security Survey 2015 จัดทำโดย PwC ร่วมกับนิตยสาร CIO และ CSO ผ่านการสำรวจความคิดเห็นบรรดานักธุรกิจและผู้นำบริษัทไอทีชั้นนำทั่วโลกกว่า 9,700 ราย ครอบคลุม 154 ประเทศ โดยแบ่งเป็นผู้ถูกสำรวจจากทวีปอเมริกาเหนือ (35%) ยุโรป (34%) เอเชียแปซิฟิก (14%) อเมริกาใต้ (13%) และ ตะวันออกกลางและแอฟริกาใต้ (4%) ว่า จำนวนภัยคุกคามข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Information security) ทั่วโลกในปี 2557 สูงถึง 42.8 ล้านรายการ เพิ่มขึ้นถึง 48% จากปี 2556 และมีการโจมตีเฉลี่ย 117,339 ครั้งต่อวัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 66% จากปี 2552 ที่เริ่มทำการสำรวจภัยคุกคามข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก
“ปี 2557 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่สร้างความกังวลที่สุดปีหนึ่งก็ว่าได้ พบว่าภาคธุรกิจมีการลงทุนด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลลดลง สวนทางกับความถี่และความเสียหายทางการเงินที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ทุกวันนี้อาชญากรรมไซเบอร์จะกลายเป็นภัยที่แทบจะไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่รู้จัก เพราะปัจจุบันโลกเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากขึ้น แต่ความเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในระยะยาวคือการตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและรับมือกับอาชญากรคอมพิวเตอร์ ที่มีรูปแบบการก่อเหตุที่หลากหลายและสร้างความเสียหายให้แก่ธุรกิจไม่ว่าเล็กใหญ่มานักต่อนัก”นางสาววิไลพรกล่าว
ทั้งนี้ ภัยคุกคามข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในยุโรปพบว่า ภัยคุกคามข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น 41% อเมริกาเหนือ 11% และในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 5% ด้วยเหตุนี้เองทำให้มูลค่าความเสียหายทางการเงิน (Financial losses) ที่เกิดจากภัยคุกคามความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศทั่วโลกในปีนี้มีมูลค่าถึง 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 87 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 27 ต.ค. 57 ที่ 1 ดอลลาร์เท่ากับ 32.32 บาท) เพิ่มขึ้น 34% จากปี 2556 และมีจำนวนบริษัทที่ตกเป็นเหยื่อไซเบอร์โดยรายงานความเสียหายเป็นมูลค่าถึง 20 ล้านดอลลาร์ หรือราว 646 ล้านบาทขึ้นไปเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีที่ผ่านมา
งบป้องกันความปลอดภัยด้านไอทีทั่วโลกลดลง
นางสาววิไลพรกล่าวว่า เป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งที่องค์กรทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ลดลง โดยผลสำรวจในปีนี้พบว่า การลงทุนด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Information security budgets) ในปี 57 ปรับตัวลดลง 4% มาที่ 4.1 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 132 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2556 ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลในส่วนของงบด้านไอทีคงตัวอยู่ที่ 4% หรือน้อยกว่านั้นติดต่อกันมาเป็นเวลา 5 ปี
ผลสำรวจพบว่า ภาคอุตสาหกรรมที่ลดงบด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมคอมพิวเตอร์มากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน-อวกาศและการป้องกันประเทศ โดยลดลง 25% เทคโนโลยี ลดลง 21% ค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภค ลดลง 15% สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแนวโน้มธุรกิจของบางอุตสาหกรรมมีทิศทางไม่สดใสเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่มีการเพิ่มงบประมาณด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมบริการด้านสุขภาพ โดยเพิ่มขึ้นถึง 66% ทั้งนี้เพื่อรักษาฐานข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน การแพทย์ และครอบครัวของผู้ใช้บริการ รองมาได้แก่ อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 15% และอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้น 9%
“ปัจจุบันการลงทุนด้านความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญขององค์กรในระยะยาวที่ผู้บริหารทั้งไทยและต่างประเทศต้องใส่ใจ หากต้องการป้องกันความเสี่ยง รักษาความปลอดภัยของข้อมูลลับ และลดผล กระทบจากภัยบนโลกอินเทอร์เน็ตที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลสียมูลค่ามหาศาลต่อตัวองค์กรและพนักงาน” นางสาววิไลพรกล่าว
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากขนาดขององค์กรจะพบว่า องค์กรขนาดใหญ่มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าหมายในการก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น จากผลสำรวจพบว่า องค์กรที่มีรายได้ 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 32,000 ล้านบาทขึ้นไป เกิดภัยคุกคามข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้น 44% แต่เนื่องจากองค์กรขนาดใหญ่มีฐานทุน พร้อมทั้งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนากว่า จึงทำให้จำนวนภัยคุกคามน้อยกว่าองค์กรขนาดกลางที่มีรายได้ 100-1,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3,200-32,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้เกิดภัยคุกคามเพิ่มขึ้น 64%
“คนใน” ตัวการสำคัญของภัยอาชญากรรมไซเบอร์
ข้อมูลที่น่าสนใจที่พบจากผลสำรวจคือ อินไซเดอร์ (Insider) หรือกลุ่มผู้ใช้ข้อมูลภายใน ถือเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาชญากรรมคอมพิวเตอร์มากที่สุด ซึ่งในหลายกรณีเกิดจากการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น พนักงานทำการใช้ข้อมูลผ่านมือถือ หรือการถูกโจมตีแบบฟิชชิง (Targeted phishing scheme) ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของอาชญากรรมไซเบอร์ โดยอาชญากรจะทำการขโมยข้อมูลผ่านการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตหรืออีเมล เพื่อให้ผู้ใช้งานทำการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว จากผลสำรวจพบว่า ภัยคุกความด้านความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่เกิดจากพนักงานในองค์กรเพิ่มขึ้น 10%
นอกจากพนักงานปัจจุบันหรือพนักงานเก่าแล้ว บุคคลที่สาม หรือผู้ที่มีแหล่งเข้าถึงข้อมูลและเครือข่ายขององค์กรอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการรายใหม่และรายเก่า ที่ปรึกษา และผู้รับเหมา ก็ถือเป็นอาชญากรไซเบอร์อันดับต้นๆ เช่นกัน
“บ่อยครั้งที่เราพบว่า เมื่อมีภัยคุกคามเกิดขึ้น ผู้บริหารหลายรายกลับเลือกที่จะจัดการปัญหาเป็นการภายใน แทนที่จะจัดการดำเนินคดีหรือบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้แก่บริษัทอื่นๆ หากนายจ้างเหล่านั้นมีการจ้างอาชญากรพวกนี้ไปทำงานต่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ ” นางสาววิไลพรกล่าว
นอกจากนี้สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ภาคธุรกิจไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์มากเท่าที่ควร โดยขาดการสื่อสารแบบบนลงล่าง (Top-down communication) อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลที่น่าเป็นห่วงจากผลสำรวจอีกประการ คือ การขาดการจัดอบรบหรือสัมมนาเพื่อสร้างการตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาข้อมูลองค์กรอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้ตอบแบบสำรวจไม่ถึงครึ่ง (49%) เท่านั้นที่ระบุว่า บริษัทของพวกเขามีการจัดตั้งคณะทำงานหรือทีมจากหลายหน่วยงานภายในองค์กร (Cross-organisational team) ร่วมกันจัดการปัญหาด้านความปลอดภัยข้อมูลเป็นประจำ ขณะที่มีเพียง 36% ที่ระบุว่า บอร์ด หรือคณะกรรมการของบริษัทของตน มีส่วนร่วมในพิจารณานโยบายด้านความปลอดภัยอย่างจริงจัง
แนวโน้มอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ในเอเชียและไทย
นางสาววิไลพรกล่าวต่อว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นผู้นำในการดำเนินกลยุทธ์และนำมาตรการการป้องกันความปลอดภัยด้านข้อมูลในด้านต่างๆ มาใช้ โดยผลสำรวจพบว่าผู้บริหารถึง 66% มีการนำกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยข้อมูลมาใช้ควบคู่ไปกับรูปแบบและความต้องการในการดำเนินของธุรกิจ ขณะที่ 73% กล่าวว่า ผู้บริหารระดับสูงในที่ทำงานของตนมีการสื่อสารเรื่องความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งองค์กร
แม้ว่าแนวโน้มการลงทุนด้านความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ของภูมิภาคจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในปีล่าสุด กลับมีทิศทางปรับตัวลดลงถึง 13% สวนทางกับมูลค่าความเสียหายทางการเงินที่เกิดจากภัยคุกคามความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศที่เพิ่มขึ้น 22% สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ต่อเนื่องของการบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภัยคุกคามข้อมูลสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
สำหรับประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะเกิดอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ประกอบกับการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตต่างๆ นั้นสามารถทำได้จากโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ทำให้การเข้าเน็ตเป็นเรื่องง่าย ดูได้จากยอดผู้ใช้บริการ Facebook ของไทยที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 28 ล้านคน ติดอันดับที่ 9 ของโลกจากการจัดอันดับของเว็บไซต์จัดอันดับสถิติโซเชียลเน็ตเวิร์ก ZocialRank
นอกจากนี้ ข้อมูลของกองบัญชาการปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี (ปอท.) พบว่า ในปี 2556 มีการฉ้อโกง ซื้อ-ขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตมากที่สุดจำนวนกว่า 250 คดี รองลงมาเป็นการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาจำนวน 100 คดี มีมูลค่าการเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตาในระยะต่อไปคือ แนวโน้มอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ในไทยที่เพิ่มขึ้น ที่กลับสวนทางกับความพร้อมในการรับมือภัยจากโลกไซเบอร์ เพราะมาตรการรักษาปลอดภัยที่มีนั้น อาจไม่ทันสมัย หรือไม่เพียงพอต่อการก่ออาชญากรรมที่พัฒนารูปแบบไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ทางแก้ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย ก็อาจกลายเป็นบ่อเกิดของภัยคุกคามเสียเอง ทั้งจากการใช้งานผู้ให้บริการภายนอก แอปพลิเคชันมือถือ การเข้ารหัสข้อมูล และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ขององค์กร ดังนั้น ภาคธุรกิจและหน่วยงานของรัฐต้องหันมาให้ความสำคัญและหาแนวทางรับมือภัยคุกคามความปลอดภัยอย่างจริงจัง
“ยิ่งธุรกิจไทยนำบริการออนไลน์มาให้บริการแก่ผู้บริโภคมากเท่าไหร่ ยิ่งจำเป็นต้องลงทุนเพื่อป้องกันความปลอดภัยด้านข้อมูลสารสนเทศของผู้ใช้บริการมากขึ้นเท่านั้น ผู้บริหารต้องปรับกระบวนทัศน์และกลยุทธ์ให้มีความสามารถในการปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยคุกคามไซเบอร์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน” นางสาววิไลพรกล่าว