คืนผืนดินให้ท้องทะเล โครงการสำคัญเพื่อปรับตัวสู้โลกร้อนของอังกฤษ

สุนิสา กาญจนกุล รายงาน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อทุกพื้นที่ทั่วโลกในหลากหลายรูปแบบและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไปตามภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และระดับการพัฒนา ปัญหานี้กลายเป็นความท้าทายระดับโลก การปรับตัวและหาวิธีลดผลกระทบจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

อังกฤษซึ่งเป็นประเทศหมู่เกาะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภาวะโลกร้อนในแง่ของภาวะน้ำท่วมและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อังกฤษจึงริเริ่มโครงการมากมายเพื่อรับมือกับวิกฤตินี้ และหนึ่งในนั้นคือการจัดแนวชายฝั่งใหม่แบบมีการจัดการ (Managed Realignment)

โดยใช้โครงการปรับเปลี่ยนแหลมสเติร์ตจากพื้นที่เกษตรกรรมให้กลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นตัวอย่างสำคัญในฐานะนวัตกรรมการจัดการกับปัญหาน้ำท่วมและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า “การคืนผืนดินให้ท้องทะเล” เพื่อสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

ภาพในอดีตและปัจจุบันของบริเวณแหลมสเติร์ต (Steart Pennisula) ซึ่งเดิมเคยถูกปรับใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมมาก่อน แต่ปัจจุบันมีการจัดสรรพื้นที่คืนให้ธรรมชาติจนกลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเหมือนในอดีต ที่มาภาพ: https://i.ytimg.com/vi/At_eOE18e30/hq720.jpg?sqp=-oaymwEhCK4FEIIDSFryq4qpAxMIARUAAAAAGAElAADIQj0AgKJD&rs=AOn4CLClZSoKMiIvntoUJyji9DejdOeTQw

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนปรากฏขึ้นในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ผลกระทบหลักๆ คืออุณหภูมิที่สูงขึ้นและระดับน้ำทะเลที่สูงกว่าเดิมเพราะการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก

ในเขตชายฝั่งและเกาะ น้ำทะเลที่สูงขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกคุกคามต่อการดำรงอยู่ของชุมชน ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง น้ำท่วม และสูญเสียพื้นที่อยู่อาศัย ซึ่งอังกฤษเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบนี้อย่างชัดเจน การทดลองแนวคิดการจัดการภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำอย่างจริงจังจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อังกฤษเลือกที่จะดำเนินการโดยยึดหลักการจัดแนวชายฝั่งใหม่แบบมีการจัดการ (Managed Realignment) ซึ่งเป็นแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มุ่งเน้นการปรับพื้นที่ชายฝั่งให้สามารถรับมือกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม

แนวทางสำคัญของวิธีการนี้คือ แทนที่จะต้านทานทะเลหรือแม่น้ำ ควรจะหันมาคืนพื้นที่บางส่วนให้กับธรรมชาติและระบบนิเวศ อย่างเช่นพื้นที่ชุ่มน้ำหรือป่าชายเลน เพื่อช่วยบรรเทาน้ำท่วมและเสริมความยืดหยุ่นในระยะยาว โดยการถอยแนวป้องกันชายฝั่งเข้าด้านใน เพื่อให้พื้นที่ชายฝั่งสามารถกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิม

การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแค่ช่วยดูดซับพลังจากคลื่นและลดการกัดเซาะชายฝั่ง แต่ยังช่วยสร้างระบบนิเวศที่มีความหลากหลายกว่าเดิม รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและเพิ่มความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนอีกด้วย

โดยโครงการ “คืนผืนดินให้ท้องทะเล” (Return the Land to the Sea) ที่บริเวณแหลมสเติร์ต (Steart Pennisula) คือหนึ่งในโครงการปรับโครงสร้างชายฝั่งทะเลที่ใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร

ตอบสนอง “เป้าหมาย 30×30″

ในที่ประชุมสุดยอดว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของสหประชาชาติ (UN Biodiversity Summit หรือ COP15) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ในเดือนธันวาคม ปี 2022 มีการบรรลุข้อตกลงระดับโลกที่เรียกว่า “เป้าหมาย 30×30 (Global 30×30 Target)”

สาระสำคัญของข้อตกลงดังกล่าวก็คือ การกำหนดเป้าหมายอนุรักษ์พื้นที่อย่างน้อย 30 % ของผืนดิน พื้นที่น้ำจืด และมหาสมุทรทั่วโลกภายในปี 2030 เพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว และเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศที่เป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงด้านอาหาร สุขภาพ และการอยู่รอดของมนุษยชาติ

เป้าหมาย 30×30 ได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ มากกว่า 190 ประเทศ โดยมีข้อเสนอว่าควรมีหลักประกันว่าการอนุรักษ์จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ โดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา

การถือกำเนิดของโครงการคืนผืนดินให้ท้องทะเลที่บริเวณแหลมสเติร์ตก็เพื่อตอบสนองเป้าหมาย 30×30 ของสหประชาชาตินั่นเอง

ปรับเปลี่ยนใหม่

แหลมสเติร์ตตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแพร์เร็ตในซอมเมอร์เซ็ต อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ เป็นพื้นที่ราบลุ่มต่ำซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วมจากพายุและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

การใช้เขื่อนกั้นน้ำแบบเดิมเพื่อป้องกันพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยเริ่มไม่ได้ผลเพียงพอและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูงมาก ประกอบกับความต้องการในการสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับสัตว์ป่าชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียพื้นที่ธรรมชาติ ทำให้องค์กรสิ่งแวดล้อม (Environment Agency) หน่วยงานภาครัฐของอังกฤษ ตัดสินใจดำเนินโครงการพื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตขึ้น

โดยองค์กรสิ่งแวดล้อมตกลงร่วมมือกับกองทุนไวลด์โฟวล์แอนด์เว็ตแลนด์ส (Wildfowl & Wetlands Trust – WWT) องค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าและพื้นที่ชุ่มน้ำภาคเอกชน ดำเนินการรื้อถอนเขื่อนกั้นน้ำเก่าบางส่วนที่สร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน แล้วสร้างเขื่อนกั้นน้ำแนวใหม่ขึ้นมาแทนที่

การดำเนินการดังกล่าวทำให้น้ำจากผืนทะเลสามารถไหลท่วมพื้นที่บางส่วนได้ตามธรรมชาติในช่วงที่น้ำขึ้นสูง โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมให้กลายเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งและทะเลสาบน้ำกร่อยขนาดใหญ่

ผลลัพธ์น่าพอใจ

โครงการสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตเริ่มต้นขึ้นในปี 2012 และเสร็จสิ้นในปี 2014 โดยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 600 เฮกตาร์ หรือประมาณ 3,750 ไร่

มีการการรื้อถอนเขื่อนกั้นน้ำเก่าที่ทรุดโทรมออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วสร้างเขื่อนกั้นน้ำใหม่ที่มีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ลึกเข้าไปในแผ่นดิน เพื่อปกป้องพื้นที่เกษตรกรรมและหมู่บ้านที่อยู่ด้านใน

จากนั้นจึงมีการขุดคลองและสระน้ำภายในพื้นที่เพื่อรองรับน้ำทะเลและสร้างความหลากหลายของถิ่นที่อยู่อาศัยสำหรับสัตว์ รวมถึงมีการปลูกพืชพรรณที่เหมาะสมกับสภาพน้ำเค็มและน้ำกร่อย เช่น หญ้าทะเล เพื่อเร่งการฟื้นตัวของระบบนิเวศ

ผลลัพธ์ที่ได้จากโครงการนี้เรียกได้ว่าน่าประทับใจอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถปกป้องบ้านเรือนและธุรกิจมากกว่า 100,000 แห่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพื้นที่ชุ่มน้ำที่เกิดขึ้นใหม่ทำหน้าที่เป็นเสมือนฟองน้ำธรรมชาติที่ช่วยซับน้ำท่วมและลดพลังงานของคลื่นพายุ อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่ประหยัดค่าใช้จ่ายและยั่งยืนกว่าแบบเดิม

ขณะเดียวกัน พื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตได้กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญสำหรับนกชายฝั่งหายากหลากหลายชนิด เช่น นกเป็ดน้ำ นกทะเล และนกชายเลน รวมถึงปลา กุ้ง และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งอนุบาลปลาและสัตว์น้ำแรกเกิดอีกด้วย

ผลพลอยได้

สิ่งได้รับมาพร้อมๆ กับวัตถุประสงค์หลักด้านป้องกันน้ำท่วมและการกัดเซาะของโครงการพื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตคือการดูดซับคาร์บอน เนื่องจากพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งเป็นระบบนิเวศที่มีความสามารถสูงในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีส่วนช่วยในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เป็นอย่างดี

ผลจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ เมโทรโพลิทัน แสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่มีการฟื้นฟูพื้นที่แหลมสเติร์ต มีคาร์บอนประมาณ 30,000 ตันถูกฝังอยู่ในพื้นดินบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ต การค้นพบนี้ส่งสัญญาณให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ชุ่มน้ำมีศักยภาพอย่างมากในฐานะเครื่องมือสำคัญเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

พร้อมๆ กันนั้น โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้สาธารณชนเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวกลายเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด รวมถึงนกอาโวเซต นกเหยี่ยวบึง นาก นกกระสา นกฮูก นกชายเลน และนกน้ำต่างๆ

โดยในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตมีทั้งเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ จุดชมนก และศูนย์ข้อมูล ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งไปโดยปริยาย

ความท้าทายและโอกาส

แม้ว่าโครงการพื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตจะประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นปราศจากความท้าทายไปเสียหมด ความยากลำบากอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือการสื่อสารและรณรงค์สร้างความเข้าใจกับชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องสูญเสียพื้นที่เพาะปลูกบางส่วน

อย่างไรก็ตาม ด้วยการวางแผนที่ดี การชดเชยที่เหมาะสม และการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างใกล้ชิด ทำให้ทางโครงการสามารถเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ได้

ส่งผลให้โครงการพื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตกลายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของนวัตกรรมในการจัดการชายฝั่งและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สามารถก้าวข้ามแนวคิดแบบเดิมๆ ด้วยการยอมให้ธรรมชาติเข้ามามีบทบาทและสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำชายฝั่งขึ้นมาใหม่

โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันน้ำท่วมและสร้างความยืดหยุ่นให้กับชุมชนเท่านั้น แต่ยังฟื้นฟูระบบนิเวศที่มีคุณค่าและสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอีกด้วย

กลายเป็นแรงบันดาลใจ

ด้วยความที่พื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตเป็นโครงการขนาดใหญ่แห่งแรกๆ ที่นำแนวคิดการจัดแนวชายฝั่งใหม่แบบมีการจัดการมาใช้งาน โครงการนี้จึงได้รับความสนใจและมีการตรวจสอบเชิงวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง ทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางนิเวศวิทยาและอุทกวิทยา

ข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในการโน้มน้าวภูมิภาคอื่นของอังกฤษและรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ให้เชื่อมั่นในความยั่งยืนและประสิทธิภาพของแนวคิดการจัดแนวชายฝั่งใหม่แบบมีการจัดการ

พื้นที่ชุ่มน้ำสเติร์ตจึงกลายเป็นต้นแบบให้หลายๆ แห่งนำไปประยุกต์ใช้ในการรับมือกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในพื้นที่อื่นๆ ของอังกฤษ และในต่างประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ฯลฯ

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า ในอนาคต เราจะได้เห็นผืนแผ่นดินอีกมากมายในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลกที่ถูกส่งคืนให้กับท้องทะเล

ข้อมูลอ้างอิง:
https://www.gov.uk/government/publications/criteria-for-30by30-on-land-in-england/30by30-on-land-in-england-confirmed-criteria-and-next-steps#:~:text=The%20UK%20has%20committed%20to,Summit%20(%20COP15%20)%20in%202022.
https://www.wwt.org.uk/our-work/projects/creating-steart-marshes
https://www.nytimes.com/2024/10/22/world/europe/uk-steart-marshes-carbon-climate-change-flooding.html
https://environmentagency.blog.gov.uk/2024/02/29/harnessing-the-hidden-power-of-restored-saltmarshes-for-carbon-capture/

ซีรี่ย์ Adaptation รับมือโลกเดือด……