Global Financial Centers Index (GFCI) 37 การจัดอันดับเมืองศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลกประจำปีล่าสุด นิวยอร์กยังคงเป็นผู้นำ ส่วนกรุงเทพที่รัฐบาลกำลังผลักดัน Ignite Thailand ไทยสู่ศูนย์กลางการเงินโลกอันดับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 96
การจัดอันดับเมืองศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลกประจำปีล่าสุด Global Financial Centres Index (GFCI) ของ Z/Yen Partners ที่ร่วมกับ China Development Institute โดย Global Financial Centers Index พบว่า นิวยอร์กยังคงเป็นศูนย์กลางการเงินอันดับหนึ่งของโลก ลอนดอนอยู่ในอันดับสอง ฮ่องกงยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 และสิงคโปร์ อันดับ 4 ส่วนซานฟรานซิสโก ชิคาโก ลอสแองเจลิส เซี่ยงไฮ้ และเซินเจิ้น ยังคงอยู่ในอันดับที่ 5 ถึง 9 ตามลำดับเช่นเดิม ขณะที่โซลกลับเข้าสู่ 10 อันดับแรกในการประเมินล่าสุด
ใน 20 อันดับแรกของศูนย์กลางการเงิน อัมสเตอร์ดัมขยับขึ้น 9 อันดับมาอยู่ที่ 18 และดูไบขยับขึ้น 4 อันดับมาอยู่ที่ 12 ซึ่งยังคงบ่งชี้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในแนวโน้มเศรษฐกิจของเศรษฐกิจชั้นนำของโลก โดยการเติบโตช้าแต่ต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อลดลง โดยรวมแล้ว คะแนนของศูนย์กลางเกือบทั้งหมดดีขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ยของศูนย์กลางทั้งหมดเพิ่มขึ้นเพียง 2% ซึ่งสะท้อนว่าความเชื่อมั่นในภาคการเงินมีความแข็งแกร่งขึ้นในช่วงนี้ ยุโรปตะวันออกและยุโรปกลางมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสูงสุด 2.48% และอเมริกาเหนือมีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นต่ำสุด 1.41%
GFCI แต่ละปีจะเผยแพร่รายงาน 2 ฉบับที่แสดงถึงความก้าวหน้าของศูนย์กลางการเงินชั้นนำของโลก คือ เดือนมีนาคมและกันยายน
Global Financial Centres Index ฉบับที่ 37 (GFCI 37) เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 โดยนำเสนอการประเมินความสามารถในการแข่งขันและการจัดอันดับในอนาคตสำหรับศูนย์กลางทางการเงิน 133 แห่งทั่วโลก ซึ่ง 119 แห่งอยู่ในดัชนีหลัก
GFCI ประมวลโดยใช้ปัจจัยเชิงเครื่องมือ 140 รายการ การวัดเชิงปริมาณเหล่านี้จัดทำโดยบุคคลที่สาม รวมถึงธนาคารโลก OECD และสหประชาชาติ ปัจจัยเครื่องมือที่ใช้ในโมเดล GFCI แบ่งออกเป็น 5 ด้านความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาภาคการเงิน และชื่อเสียง
ในทั้ง 5 ด้าน ศูนย์กลางการเงินนิวยอร์กติดอันดับหนึ่งทุกด้าน
ปัจจัยด้านเครื่องมือจะถูกนำมาผสมผสานกับการประเมินศูนย์การเงินที่จัดทำโดยผู้ตอบแบบสอบถามออนไลน์ของ GFCI ซึ่ง GFCI 37 ประเมิน 31,314 รายการจากผู้ตอบแบบสอบถาม 4,946 ราย
ในการจัดอันดับครั้งนี้มีศูนย์กลางการเงิน 49 แห่งที่ไต่อันดับขึ้น ขณะที่ 18 แห่งคงอันดับเดิมจาก GFCI 36 และ 52 แห่งร่วงลง โดยมีศูนย์กลางการเงินถึง 8 แห่งที่ร่วงลง 10 อันดับขึ้นไป ในขณะที่ศูนย์กลางการเงิน 7 แห่งที่ไต่ขึ้น 10 อันดับขึ้นไป ศูนย์กลางการเงินที่อันดับดีขึ้นมากที่สุดได้แก่ โรมที่ไต่ขึ้นมาถึง 19 อันดับ สตอกโฮล์มไต่อันดับขึ้น 16 อันดับ เวียนนาไต่อันดับขึ้น 16 อันดับ และโมนาโกไต่อันดับขึ้น 15 อันดับ ทั้งนี้ศูนย์กลางการเงินบางแห่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอันดับและข้อมูลปัจจัยเครื่องมือมากกว่า
สำหรับ GFCI ฉบับนี้ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับความท้าทายสำคัญที่ศูนย์การเงินระหว่างประเทศต้องเผชิญในระยะกลาง พบว่าความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดอย่างชัดเจน โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 18% ระบุกล่าวถึงความท้าทาย (ต่ำกว่า 20% ใน GFCI 36) การแข่งขันจากศูนย์อื่นและการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญในระดับภูมิภาค/ระดับชาติได้รับการกล่าวถึงโดยผู้ตอบแบบสอบถาม 15% และ 13% ตามลำดับ
ในระดับภูมิภาคเอเชีย/แปซิฟิก ศูนย์กลางการเงินเอเชีย/แปซิฟิก 6 แห่งติดอันในดับ 20 อันดับแรกของโลก และเรตติ้งเฉลี่ยของภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น 2.06% ทุกศูนย์กลางการเงินทั้งหมดในภูมิภาคนี้ได้เรตติ้งเพิ่มขึ้น โดย หางโจว นิวเดลี กัวลาลัมเปอร์ โฮจิมินห์ซิตี้ มะนิลา และ GIFT City-Gujarat ต่างไต่ขึ้น 6 อันดับ ส่วนต้าเหลียนร่วงลงมา 9 อันดับ
ฮ่องกงยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนำหน้าสิงคโปร์ไปเพียงเล็กน้อย เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และโซลก็ติดใน 10 อันดับแรกเช่นกัน ผู้ตอบแบบสอบถามในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือให้คะแนนศูนย์กลางเอเชียแปซิฟิกสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลก รวมถึงศูนย์กลางที่มีการดำเนินงานในหลายภูมิภาค
สำหรับกรุงเทพ ติดอันดับ 96 ใน GFCI 37 ตกลงหนึ่งอันดับจากอันดับ 95 ใน Global Financial Centres Index ฉบับที่ 36 และลดลงต่อเนื่อง จากอันดับ 93 ใน GFCI 35 และจากอันดับ 86 ใน GFCI 34
อย่างไรก็ตามจากการวัดศูนย์กลางการเงินใน 3 คือ การเชื่อมโยง(Connectivity) หมายถึง 1) การเชื่อมโยงที่ดีทั่วโลก โดยพิจารณาจากจำนวนการประเมินที่แต่ละศูนย์กลางการเงินยอมให้มีการประเมินและการประเมินที่ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญในศูนย์กลางการเงินอื่นๆ 2) ความหลากหลาย(Diversity) เป็นการประเมินความหลากหลายของศูนย์กลางการเงินโดยคำนึงถึง สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อและความเท่าเทียมกันของแต่ละด้าน คะแนนสูงหมายความว่าศูนย์กลางการเงินนั้นมีความหลากหลายดี คะแนนความหลากหลายต่ำสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความหลากหลายน้อยกว่า และ 3) ความเชี่ยวชาญ(Speciality) หมายถึงความลึกภายในศูนย์กลางการเงิน ในอุตสาหกรรม การจัดการการลงทุน ธนาคาร ประกันภัย บริการเฉพาะทาง และภาครัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล โดยการประเมินศูนย์กลางการเงินที่จัดเป็นศูนย์กลางการเงินระดับเชี่ยวชาญได้จากความแตกต่างระหว่างการจัดอันดับ GFCI และการจัดอันดับภาคอุตสาหกรรม
พบว่า กรุงเทพ ถูกจัดว่า เป็นศูนย์กลางการเงินระดับสากล(International) และมีความหลากหลายระดับนานาประเทศ(International Diversified)

ในภูมิภาคอเมริกาเหนือ นิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก ชิคาโก และลอสแองเจลิส ยังคงอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก โดยที่วอชิงตัน ดีซี และบอสตันก็อยู่ใน 20 อันดับแรกเช่นกัน อันดับเฉลี่ยศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น 1.41% ศูนย์กลางการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ซานดิเอโกมีคะแนนเพิ่มขึ้น ไมอามีและแวนคูเวอร์ก็ไต่อันดับขึ้นไป 10 อันดับขึ้นไป
ภูมิภาคยุโรปตะวันออกและเอเชียกลาง อัสตานายังคงครองตำแหน่งผู้นำในภูมิภาค รองลงมาคือ ทาลลินน์และไซปรัส โดยเฉลี่ยอันดับในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น 2.48% โดยศูนย์กลางการเงินต่างๆ ยกเว้นปรากมีคะแนนดีขึ้น อย่างไรก็ตามศูนย์กลางการเงิน 8 แห่งมีอันดับลดลง โดยปรากร่วงลง 13 อันดับ แต่ริกาขยับขึ้น 9 อันดับ
ในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา ดูไบและอาบูดาบียังคงครองอันดับหนึ่งและสองในภูมิภาคตามลำดับ โดยดูไบขยับขึ้นสี่อันดับมาที่อันดับ 12 ใน GFCI 37 คาซาบลังกาครองอันดับหนึ่งและเป็นศูนย์กลางชั้นนำของแอฟริกา ขณะที่มอริเชียสรั้งอันดับสี่ในภูมิภาค นำหน้าเทลอาวีฟ เรตติ้งเฉลี่ยในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้น 1.64% แต่ เทลอาวีฟ คูเวตซิตี้ และโจฮันเนสเบิร์ก ต่างก็ตกลงไปมากกว่า 10 อันดับ เทลอาวีฟเป็นเมืองเดียวที่เรตติ้งตกลง
ในละตินอเมริกาและแคริบเบียน เซาเปาโลขยับขึ้น 7 อันดับจนขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาค หมู่เกาะบริติชเวอร์จินและตรินิแดดและโตเบโกอันดับก็ขยับขึ้นเช่นกัน ส่วนบัวโนสไอเรสยังอยู่ในอันดับเดิม ในขณะที่ศูนย์กลางการเงินอื่นๆ อันดับตกลง เรตติ้งเฉลี่ยในดัชนีปรับตัวดีขึ้น 2.23% ในภูมิภาค โดยศูนย์กลางทั้งหมดปรับตัวสูงขึ้นในอันดับ GFCI
GFCI ได้สอบถามผู้ตอบแบบสอบถามว่าศูนย์กลางการเงินที่ไหนที่คิดว่าจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งใ 15 อันดับแรก มี 7 แห่งที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ส่วนอีก 6 แห่งอยู่ในตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นของภูมิภาคเหล่านี้ในระบบการเงินระดับโลก
ส่วน FinTech ได้ประเมินศูนย์กลาง FinTech จำนวน 115 แห่ง ซึ่งนิวยอร์กก็ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในการจัดอันดับ FinTech ตามมาด้วยลอนดอนและเซินเจิ้น
ฮ่องกงขยับขึ้นมา 5 อันดับ แซงหน้าสหรัฐฯและสิงคโปร์ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 4 ส่วน ออสโล มอริเชียส และริยาด ขยับขึ้นมา 20 อันดับในการจัดอันดับ FinTech และมี ศูนย์กลางการเงินFintech 6 แห่งร่วงลงมา 15 อันดับ